บทที่ 1104 มหาค่ายกลนพวายุ
บทที่ 1104 มหาค่ายกลนพวายุ
เดิมเฉินซีวางแผนจับเป็นเจี่ยงหนิง แต่อีกฝ่ายเลือกระเบิดตัวเอง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากตัดใจ
หลังหอบหายใจพักหนึ่ง สีหน้าซีดเซียวก็กลับมาปกติ บาดแผลที่ได้รับก่อนหน้านี้ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ส่วนร่างอวตาร แม้จะถูกเจี่ยงหนิงฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หากพูดถึงความสามารถการฟื้นตัว มันกลับแข็งแกร่งกว่าร่างหลัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ นอกจากโลหิตที่เสียไปมาก บาดแผลส่วนอื่นล้วนหายเป็นปลิดทิ้ง
“เสี่ยวชิง ไปกันเถอะ”
เฉินซีครุ่นคิดสักพัก ก่อนลูบศีรษะหัวสัตว์ร้ายวิญญาณดาราที่อยู่ข้างกาย แล้วหันหลังจากไป
ชายหนุ่มจะยังไม่ออกจากที่นี่ แต่หาหุบเขาลับที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อนั่งทำสมาธิ
พละกำลังของเจี่ยงหนิงแข็งแกร่งมาก แม้จะอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง แต่พลังต่อสู้ไม่อาจเทียบกับยอดฝีมือเซียนลึกลับผู้อื่น มันมากจนยากจะพรรณนา
เฉินซีทราบดีว่า หากพึ่งเพียงพลังของร่างอวตาร เขาอาจสามารถต่อสู้อย่างดุเดือดกับอีกฝ่ายได้นาน แต่สุดท้ายก็จะพ่ายแพ้อยู่ดี
ข้าไม่มีทางพบคู่ต่อสู้เช่นนี้ระหว่างทางได้แน่… เฉินซีนึกถึงเยว่เจิ้น
เฉินซีไม่ทราบนามของเยว่เจิ้น แต่อีกฝ่ายกับเจี่ยงหนิงอยู่กลุ่มเดียวกัน พละกำลังย่อมไม่ด้อยกว่ากันแน่
ในทำนองเดียวกัน เฉินซีไม่เข้าใจภูมิหลัง และจุดกำเนิดของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายคือศัตรู ต้องการเอาชีวิตตน และอาจมีกองกำลังขนาดใหญ่คอยหนุนหลังอยู่
เช่นนั้น อีกฝ่ายคือใคร?
ปิงซื่อเทียน?
ตระกูลจั่วชิว?
หรือกองกำลังศัตรูที่กำจัดนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน?
ความไม่รู้ เป็นบ่อเกิดของความหวาดกลัว เฉินซีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากไม่ทราบตัวตนของอีกฝ่าย เขาจะกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน
จึงตัดสินใจที่จะรั้งรอการมาถึงของเยว่เจิ้น!
…
ทันทีที่ตัดสินใจได้ เฉินซีก็หยุดครุ่นคิด ก่อนเริ่มเตรียมการ เพื่อรับมือกับเยว่เจิ้นผู้นั้น
ประการแรก มันคือการแข่งขันของพลังต่อสู้
สิ่งนี้สามารถใช้พละกำลังของเจี่ยงหนิงเป็นตัวชี้วัดได้ แต่ในใจของเฉินซี ประเมินพละกำลังของเยว่เจิ้นเอาไว้สูงกว่ามาก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้น
ในทางกลับกันพอมองพลังต่อสู้ของตน ร่างหลักนี้ไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง ทำให้สามารถสำแดงพลังของกฎทั้งเก้าประเภทได้พร้อมกัน และสามารถติดอันดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้ มันคือเครื่องพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขา
แต่ถึงอย่างไรมันเป็นเพียงอันดับ ไม่ใช่พลังที่สามารถปลดปล่อยในการต่อสู้จริงได้
หากจวนตัวขึ้นมา ด้วยการพึ่งพลังของร่างหลักเพียงอย่างเดียว แล้วใช้เคล็ดระเบิดสังหารเทวะ ก็จะสามารถสังหารเจี่ยงหนิงได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ร่างหลักจะอยู่ในสภาพอ่อนแอเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เสียเปรียบอย่างยิ่งในการสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เขาจะไม่ใช้เคล็ดนี้โดยเด็ดขาด
ส่วนการขัดเกลาของร่างอวตารยังคงอยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น มันสามารถสำแดงพลังของกฎทั้งห้าประเภทได้พร้อมกัน ทว่าเพราะการฝึกเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก ทำให้พลังต่อสู้แท้จริงด้อยกว่าร่างหลักเล็กน้อย
หากร่างอวตารนี้เข้าร่วมการแข่งขันสำหรับเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป น่าจะติดยี่สิบอันดับแรกได้อย่างง่ายดาย หากสู้อย่างสุดกำลัง ก็มีหวังที่จะติดสิบอันดับแรก
ด้วยเหตุนี้ หากร่างหลักร่วมมือกับร่างอวตาร ก็น่าจะมากพอในการสังหารเยว่เจิ้นได้
หากรวมสัตว์ร้ายวิญญาณดาราเสี่ยวชิงเข้าไป ย่อมเป็นการเพิ่มโอกาสให้อย่างแน่นอน
เมื่อเอ่ยถึงสัตว์ร้ายวิญญาณดารานี้ แม้แต่เฉินซีก็ยังประหลาดใจ เสี่ยวชิงน่าจะเป็นสัตว์แรกเกิด ยังไม่เติบใหญ่ แต่พลังต่อสู้กลับน่าทึ่งจนเทียบเท่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางได้เลยทีเดียว!
ประกอบกับกฎแห่งมหาเต๋าแห่งลม ไฟ น้ำ และกลืนกินที่มันครอบครอง ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ทรงพลังกว่ายอดฝีมือของขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางหลายเท่า!
พลังชีวิตของเสี่ยวชิงแข็งแกร่งเช่นกัน ร่างของมันประหนึ่งเหล็กไหล อักขระยันต์นับไม่ถ้วนถูกประทับบนขนและกระดูกของมัน ทำให้พรสวรรค์ และรากฐานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสัตว์เทพโบราณที่แท้จริง!
เฉินซีคาดการณ์ได้ว่า หากเสี่ยวชิงเติบใหญ่ มันจะกลายเป็นตัวตนอันน่าสะพรึง ที่กลืนกินสวรรค์และปฐพี!
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เสี่ยวชิงไม่ต้องการศิลาอมตะ หรือโอสถวิญญาณเลย มันสามารถดูดกลืนปราณเซียนแห่งสวรรค์และปฐพีเพื่อเสริมพลังร่างกาย และพัฒนาการบ่มเพาะได้ด้วยตัวเอง
และความเร็วการบ่มเพาะของมันก็น่าสะพรึงมาก หากบอกว่าผู้บ่มเพาะเซียนกลืนกินปราณเซียนอย่างเนิบช้า เช่นนั้นเสี่ยวชิงจะเปิดปากแล้วกลืนกินเข้าไปในคำเดียว!
นี่คือพรสวรรค์ของมัน ผู้ครอบครองพลังกฎแห่งการกลืนกิน แม้จะเป็นการต่อสู้จริง มันก็สามารถกลืนกินการโจมตีของอีกฝ่ายเข้าไป เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเองได้!
นี่คือความน่ากลัวของมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน ที่ทำให้โลกตกตะลึง สามารถเทียบเคียงกับมหาเต๋าแห่งแสงสว่าง ความมืด ลืมเลือนและอื่น ๆ ได้
ทำได้แค่รอเท่านั้น อีกอย่างต้องเตรียมวิธีรับมือเอาไว้ด้วย… เฉินซีพึมพำ ก่อนลุกขึ้นยืน
…
สองวันต่อมา
ซู่!
บนทวีปสัปยุทธ์เรืองรอง ในหุบเขานอกเมืองประทีปแสง ร่างหนึ่งพลันเร่งความเร็ว ชายหนุ่มมีร่างกายกำยำ กับลวดลายเปลวเพลิงบนแก้มซ้าย คนผู้นั้นคือเยว่เจิ้น
“ตายแล้วจริง ๆ… หรือว่าจะมียอดฝีมือให้การช่วยเหลือ?”
จนถึงตอนนี้ เยว่เจิ้นยังไม่สามารถยอมรับข่าวการตายของเจี่ยงหนิงได้ แต่เจี่ยงหนิงก็ตายไปแล้ว ป้ายชะตาวิญญาณของอีกฝ่ายอยู่ในมือของเขามาตลอด และบัดนี้มันแตกสลายเป็นผุยผง
มันหมายความว่า เจี่ยงหนิงถึงแก่ความตายอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีก
เยว่เจิ้นสูดหายใจเข้า สายตากลับมาสงบอีกครั้ง ทั่วร่างพลันเกิดความผันผวนแปลกประหลาดขึ้น มันส่งเสียงหึ่ง ๆ ประหนึ่งยุง ก่อนกลายเป็นความผันผวนที่มองไม่เห็น แล้วกระจายไปทุกทิศทาง
ไม่ช้า เขาพลันหันหลัง แล้วทะยานออกไปยังทิศทางหนึ่ง
ครู่ต่อมา ร่างของเยว่เจิ้นปรากฏขึ้นในป่าเขาที่ราบเป็นหน้ากลอง
เห็นได้ชัดว่าเคยมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นี่ ป่าเขาภายในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ถูกกวาดล้าง พื้นดินแตกร้าว เผยให้เห็นรอยแยกน่าตกตะลึง เทียบกับขุนเขาเขียวขจีรอบข้างแล้ว มันเหมือนกับดินแดนแห่งความตาย
เจี่ยงหนิงเลือกระเบิดตัวเอง…
เยว่เจิ้นหยุดอยู่บนดินแดนที่ถูกทำลายล้างพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็เข้าใจ ดวงตาเผยแววเศร้าโศก และหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนสีหน้าจะกลับมาเย็นชาและโหดเหี้ยมอีกครั้ง
“ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเด็กนั่นหนีไปที่ไหน ไม่สิ ข้าต้องรีบรายงานเรื่องนี้ เรื่องนี้มันเกินการควบคุมของข้าแล้ว…”
ครู่ต่อมา สีหน้าของเยว่เจิ้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา ก่อนสูดหายใจเข้า เพื่อวางแผนจะบันทึกทุกสิ่งที่เห็นลงไป
ฟ้าว!
แต่ในตอนนี้ ปราณกระบี่ยอดเยี่ยมสายหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ มันฉีกกระชากความว่างเปล่า ก่อนฟาดฟันมาทางเยว่เจิ้น พลังของมันน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเห็นฉากนี้ เยว่เจิ้นกลับไม่แตกตื่นแม้แต่น้อย สีหน้าสงบจนผิดปกติ ประหนึ่งคาดไว้แล้ว
ริมฝีปาก ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา
ร่างถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า หลบการโจมตีของเฉินซีได้อย่างง่ายดาย
“ข้านึกแล้วว่าเจ้ายังไม่ไปจากที่นี่”
เยว่เจิ้นมีสีหน้าสงบ แต่ลวดลายเปลวเพลิงบนแก้มซ้ายเกิดการเคลื่อนไหวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เกิดสีสันแปลกประหลาดบนใบหน้า ขณะเอ่ยคำ สายตายังคงมองรอบข้าง
“เจ้าคิดว่า ข้ามีผู้ช่วยหรือ?”
เฉินซีถือยันต์ศัสตราเอาไว้ในมือ ร่างลอยล่อง และมีสีหน้าสงบเฉยชา การที่อีกฝ่ายสามารถหลบการโจมตีได้ เป็นไปตามที่คาดคิดเช่นกัน หาไม่แล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่มีค่าพอจะเป็นสหายของเจี่ยงหนิง
เยว่เจิ้นขมวดคิ้วแน่น ราวกับไม่เชื่อคำพูดของเฉินซี เขายังคงมองรอบข้าง ผ่านไปพักใหญ่ จึงถามว่า “เจ้าเพียงคนเดียว สามารถทำให้เจี่ยงหนิงระเบิดตัวเองได้หรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรืออย่างไร?”
เฉินซีไหวไหล่แล้วตอบว่า “จะเชื่อหรือไม่มันก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย สิ่งเดียวที่ข้าสงสัยก็คือ ใครส่งเจ้าให้มาตาย?”
“ตายหรือ?”
เยว่เจิ้นยิ้มหยัน “พูดตามตรง หากเป็นพลังต่อสู้แท้จริง ข้าอาจจะไม่ดีเท่าเจี่ยงหนิง แต่ถ้าพูดถึงการสะกดรอยและการหลบหนี เจี่ยงหนิงไม่ดีเท่าข้า”
เฉินซีคิ้วขมวด “เจ้าไม่ตั้งใจจะฆ่าข้าตอนนี้หรือ? นี่คือโอกาสครั้งสุดท้าย หากเจ้าปล่อยไปก็จะไม่ได้รับโอกาสนั้นอีก”
“เจี่ยงหนิง… ระเบิดตัวเอง!”
เยว่เจิ้นถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
แต่เฉินซีเข้าใจ ความหมายของอีกฝ่ายเรียบง่าย ขนาดเจี่ยงหนิงยังระเบิดตัวเอง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เขาจะไปทำอะไรได้?
ซู่!
ในขณะนี้ เยว่เจิ้นกลายเป็นแสงสว่างสีดำ ก่อนหันหลังแล้วทะยานไปอีกทางหนึ่ง “เฉินซี หากยังไม่ไปสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตอนนี้ เจ้าตายแน่! และครั้งหน้าที่พวกเราพบกัน มันจะเป็นวันตายของเจ้า!”
เสียงแว่วมาแต่ไกล มันเต็มไปด้วยความเย็นชาและโหดเหี้ยม
ทว่าเฉินซียืนอยู่กับที่ ไม่คิดไล่ตามอีกฝ่าย แต่มุมปากกลับเหยียดออกเป็นรอยยิ้มหยัน “หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ เช่นนั้นการศึกษายันต์อักขระตลอดหลายปีของข้าก็สูญเปล่ากันพอดี…”
ยังไม่ทันสิ้นคำ มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นประหนึ่งฟ้าร้อง เพียงชั่วอึดใจ มันแผ่ขยายปกคลุมภายในระยะหลายหมื่นลี้
ในเวลาเดียวกัน ทิวทัศน์ระหว่างสวรรค์และปฐพีพลันแปรเปลี่ยน ท้องนภาที่เดิมแจ่มใส ขุนเขาเรียงราย และป่าเขียวชอุ่ม ล้วนถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา จนไม่อาจมองเห็นนิ้วของตัวเองได้
“บัดซบ! ค่ายกล!”
ไกลออกไป เสียงหนึ่งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวดังขึ้น มันเป็นเสียงของเยว่เจิ้น เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาติดอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ไม่อาจหลบหนีไปได้!
“ข้าต้องใช้วัตถุดิบเซียนที่มีไปกว่าครึ่ง เพื่อติดตั้งมหาค่ายกลนพวายุ ถ้าเจ้าหนีไปได้ คงน่าเสียดายแย่… และตอนนี้ ถึงเวลาปิดตาข่ายกลแล้ว…”
สิ้นเสียงพึมพำแผ่วเบา ทั่วร่างของเฉินซีกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหมอกหนา แล้วหายไปในทันที
น่าเสียดาย ด้วยจำนวนวัตถุดิบเซียนที่มี ทำให้ติดตั้งได้แค่ค่ายกลกับดัก หาใช่ค่ายกลโจมตี แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มากเกินพอแล้ว
ขอเพียงกักขังอีกฝ่ายไว้ได้ เฉินซีย่อมได้เปรียบอย่างแน่นอน!
เพราะมันคือค่ายกลของเขา มันคืออาณาเขตของเขา!