บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1108 ดาราแกว่งไกวใต้ม่านราตรีนิรันดร์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1108 ดาราแกว่งไกวใต้ม่านราตรีนิรันดร์

บทที่ 1108 ดาราแกว่งไกวใต้ม่านราตรีนิรันดร์

ตู้ม!

เฉินซียังไม่ทันหายตกใจ จิตวิญญาณสะท้านโดยพลัน สองหูเหมือนมีระฆังดังก้องกังวาน สั่นสะเทือนไปถึงดวงจิต

พริบตาต่อมา พลังชีวิตในร่างก็โคจรอย่างต่อเนื่อง ปราณเซียนคำรามลั่นดั่งคลื่นสมุทรไหลไปตามทางเส้นปราณ เข้าสู่จุดป่ายฮุ่ย

จุดป่ายฮุ่ยนั้นอยู่ส่วนบนสุดของศีรษะ ตรงจุดที่วิญญาณหลักพำนัก เรียกันว่า ‘ตำหนักหนี่หวาง’

ในหมู่ด่านไตรวิญญาณ ด่านแรกจะเกี่ยวข้องกับจุดนี้

ตอนนี้ปราณเซียนในกายเฉินซีนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไหลเวียนอย่างรุนแรงเข้าสู่ตำหนักหนี่หวาง ที่นั่นคล้ายกับมีปราการไร้รูปคอยขวางพลังที่พวยพุ่งเข้ามา ทำให้เกิดเสียงลั่นครืนดังก้อง

โชคดีว่าที่นี่คือโลกแห่งดารา ไม่เช่นนั้นเสียงลั่นครืนดังปานฟ้าร้องคงได้สะเทือนไปนับพันลี้ อีกทั้งคงได้เกิดปรากฏการณ์ที่สะท้านสะเทือนทั่วฟ้าดิน กระทบไปถึงจิตวิญญาณของหลากสิ่งมีชีวิตเป็นแน่

ตอนนี้ เฉินซีไม่กล้าเสียสมาธิ เขากลั้นใจตั้งมั่น พยายามรักษาจิตใจให้ใสกระจ่าง นำทางพลังชีวิตและปราณเซียนในร่างกายให้ไหลเวียนเข้าสู่ตำหนักหนี่หวางเต็มกำลัง

เขารู้ดีว่าวิญญาณของตนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ทำให้ตำหนักหนี่หวางที่วิญญาณหลักพำนักอยู่แข็งแกร่งดั่งหินผา สะเทือนได้ยากยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มจึงทำการจู่โจมอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อเปิดตำหนักหนี่หวางให้ได้ ไม่เช่นนั้นพลาดโอกาสนี้ ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกถึงนานเท่าใด

นี่คือการทะลวงผ่านด่านขวางกั้นด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ!

ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะพลังหรือเซียนต่างก็ให้ความสำคัญกับการสังหารด้วยจิตใจแน่วแน่ กับการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่งกันทั้งสิ้น หากใครไม่ต่อสู้ ผู้นั้นจะถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง!

ครืน!

ปราณเซียนแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นพลังพวยพุ่งส่งเสียงครืน เข้าปะทะกับด่านของตำหนักหนี่หวาง คล้ายคลื่นลมซัดเข้าฝั่ง กลิ่นอายดุดันมั่นคงเหมือนแสงแดดร้อนระอุ

ทุกการปะทะส่งผลให้เฉินซีสะท้านไปถึงดวงจิต เป็นความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ราวกับได้พบพรมแดนใหม่ ส่วนตนยืนมองภาพทิวทัศน์อยู่ไกล ๆ ว่าจะสามารถฝ่าด่านเข้าไปได้หรือไม่

ซึ่งดำเนินเช่นนี้ต่อไปเช่นนี้อีกสามชั่วยาม

สุดท้ายเมื่อด่านที่ขวางกั้นรอบตำหนักหนี่หวางใกล้จะพังทลาย พลังชีวิตในร่างก็เริ่มอ่อนกำลังลง

ส่งผลให้เฉินซีใจสั่น ยังจะต้องลังเลอีกหรือ? ชายหนุ่มกัดฟันเค้นแดนฮุ่นตุ้นจนถึงขีดสุด กระทั่งปราณเซียนพิสุทธิ์ภายในมหาสมุทรมังกรฟ้า เต่าดำ วิหคเพลิง และพยัคฆ์ขาวถูกดึงมาใช้ พากันพุ่งเข้าใส่ตำหนักหนี่หวางพร้อมกัน!

จังหวะนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าเส้นปราณภายในร่างจวนเจียนระเบิดเต็มทน แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาทั่วกาย ราวกับตัวเขาเป็นลูกแสงกลม ๆ ลูกหนึ่ง

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงตู้มดังลั่นสามครั้งติดต่อกันภายในห้วงจิตวิญญาณ คล้ายจังหวะตื่นรู้ ในตอนนั้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าทุกรูขุมขนและทุกความคิดในกายก้าวขึ้นสู่ ‘ความตื่นรู้’ แล้ว!

ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงปริแตกดังลั่นขึ้นจากภายในตำหนักหนี่หวาง ด่านอันแข็งแกร่งทลายลงในที่สุด ทำให้ปราณเซียนพากันพุ่งเข้าไปคล้ายพบทางระบายออก

ตอนนี้ เฉินซีรู้สึกสบายไปทั่วร่างจาก ‘จิตวิญญาณอาบหิมะ ชำระล้างจนกระจ่างไร้มลทิน’ รู้สึกราวกับจิตวิญญาณได้รับการชำระล้างจากวารีบริสุทธิ์ ชะล้างมลทินทั้งหลาย เหลือไว้เพียงความสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น

ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าชายหนุ่มสามารถทะลวงผ่านด่านแรกในด่านไตรวิญญาณได้แล้ว นั่นก็คือด่านสวรรค์ลี้ลับ ตำหนักหนี่หวางกลายเป็นทะเลแห่งปราณเซียนที่หลอมรวมเข้ากับวิญญาณหลัก ทำให้สามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับได้!

ชิ้ง!

ทันใดนั้นก็มีรัศมีทรงกลมลอยขึ้นปรากฏอยู่หลังศีรษะของเฉินซี มันลึกล้ำและดำมืดดั่งราตรีนิรันดร์ ภายในคือดวงดาวโคจรพร้อมเปล่งแสงกระจ่าง

ทุกครั้งที่สุดลมหายใจเข้าออก รัศมีสีทมิฬดั่งรัตติกาลจะแกว่งไกว พร้อมกับปลดปล่อยกระแสแสงนับพันและแสงมงคลกระจายตัวออกไปไกลกว่าหกสิบลี้ หากมองจากไกล ๆ ชายหนุ่มคล้าย ‘เทพ’ ที่ผู้คนบนโลกมนุษย์กราบไหว้บูชา ดูเคร่งขรึม สง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ และสูงสง่า

มันคือ ‘แสงมรกต’!

เมื่อข้ามด่านสวรรค์ลี้ลับได้จะปรากฏแสงมรกตขึ้นมา อันเป็นลักษณะของขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น

แสงมรกตที่ขอบเขตเซียนลึกลับทุกคนมีนั้นแตกต่างกันไป โดยสามารถประเมินรากฐานและฝีมือของอีกฝ่ายได้จากแสงนี้

แสงมรกตของเซียนลึกลับที่อ่อนแอจะมีขนาดเท่ากับกำปั้นและมีความแวววาวเหมือนไข่มุกส่องแสง

แสงมรกตของขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นธรรมดาจะมีขนาดเท่าพัดใบปาล์ม สามารถส่องสว่างไปทั่วดินแดน

แสงมรกตของขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นที่มากฝีมืออาจถึงขั้นคล้ายม่านสวรรค์ส่องแสงเรืองรองไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า!

แต่ชายหนุ่มไม่เหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นคนอื่น ๆ เพราะแสงมรกตของเฉินซีนั้นเหมือนดาราพร่างพราวใต้ท้องฟ้ายามนิรันดร์กาล เป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่และลึกล้ำกว่าขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นฝีมือชั้นยอดมากกว่าเป็นไหน ๆ

หากมองจากที่ไกล ๆ ร่างของเฉินซีจะคล้ายถูกโอบล้อมด้วยราตรีมืดมิด รอบกายเต็มไปด้วยดาราพร่างพราวเป็นอนันต์ ราวกับบุตรแห่งดารา หากคนขอบเขตเซียนลึกลับอื่นมาเห็นภาพนี้เข้า คงได้อ้าปากค้าง ขากรรไกรร่วงจนถึงพื้นด้วยความตกตะลึงแน่

สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินซีมีรากฐานมั่นคงเพียงใด

ในจังหวะเดียวกันกับที่เฉินซีเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ท้องฟ้าที่เดิมทีใสกระจ่างเหนือโรงเตี๊ยมที่ชายหนุ่มพักอยู่พลันแต่งแต้มด้วยสีหมึก แปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาลแห่งความมืดมิด พร้อมกับดวงดาวมากมายเหนือท้องนภา ปลดปล่อยแสงดาวออกมาพร่างพราวตา

ภาพนี้ทำให้เซียนทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที

ตามถนน โรงเตี๊ยม และร้านรวงภายในระยะพันลี้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด เซียนทั้งหลายต่างพากันแหงนหน้ามองต้นทางของปรากฏการณ์โดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะพากันตกตะลึงพรึงเพริด

“นี่คือ!?”

“ดูเหมือนจะมีคนรุดหน้าขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ!”

“โอ้สวรรค์! หรือนี่จะเป็นปรากฏการณ์แห่งแสงมรกต?”

“ดาราแกว่งไกวใต้ม่านราตรีนิรันดร์ มีแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนยามหกสุริยันอันเจิดจ้ารุดหน้าขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับที่สามารถเทียบเคียงได้กระมัง?”

“ใช่แล้ว! เท่าที่ข้ารู้ เมื่อวิหคอมตะหยก ว่านเจี้ยนเซิงขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับเมื่อหลายปีก่อนก็เกิดปรากฏการณ์ ‘ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ หมูเมฆาเผยแววคมกริบ’ เทียบได้กับปรากฏการณ์ตรงหน้าพวกเราได้เลย แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุการณ์ไหนจะเหนือกว่ากัน”

“พวกเจ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตา จะไปตัดสินได้อย่างไร? เลิกคุยเรื่องนี้แล้วรีบไปดูกันว่ายอดฝีมือคนใดทะลวงขอบเขตได้ เมืองวาฬหยกเราไม่ได้พบยอดอัจฉริยะเช่นนี้นานแล้ว…”

ทุกคนแตกตื่นวุ่นวาย พากันพูดคุยกันอย่างออกรสพลางมองเหตุการณ์บนท้องฟ้าไปด้วย อีกทั้งหลายคนยังพากันมุ่งตรงมายังโรงเตี๊ยม หมายจะมาดูว่าเป็นใครกันแน่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อปรากฏการณ์นั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท้องฟ้าดาราประกายยามรัตติกาลถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้าใสกระจ่างอีกครั้ง

เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม ก็พบว่ามันร้างผู้คนไปนานแล้ว

“ไอ้หยา ไม่ว่าอย่างไรก็คงเป็นยอดฝีมือแน่ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์เช่นนั้นยามทะลวงขอบเขตได้” มีคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเสียดาย

คนอื่น ๆ ล้วนเห็นด้วย

แท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากเฉินซีระหว่างบ่มเพาะพลังอยู่ภายในโลกแห่งดารา หากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ โลกภายนอก เช่นนั้นก็คงกระจายตัวทั่วทั้งเมืองวาฬหยกแล้ว!

ฟ้าว!

ภายใต้ท้องนภากว้าง เงาร่างหนึ่งก้าวเท้ายาวย่ำลงบนมวลเมฆแล้วหายตัวไปยังสุดฟ้าไกล

ไม่คิดเลยว่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์สะท้านฟ้าดินยามทะลวงขอบเขตเช่นนี้ กระทั่งโลกแห่งดารายังไม่สามารถแยกภายในกับภายนอกออกจากกันได้โดยสมบูรณ์… เฉินซีรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ คิดว่าโชคดีแล้วที่ตนรีบจากมา ไม่เช่นนั้นคงเกิดปัญหาทำให้การเดินทางไปเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าช้าลงกว่าเดิมแน่

เพราะรั้งอยู่ในเมืองวาฬหยกมาเจ็ดวันแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบวันก็จะถึงช่วงรับศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ในขณะที่ตัวเขายังไม่ได้ข้ามเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าไปทวีปสารทเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดินทางไปทวีปดาราวีรบุรุษด้วยซ้ำ!

ดังนั้นจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว!

ถึงแม้จะเสียเวลาทำความเข้าใจเคล็ดกระบี่วารีไปบ้าง แต่ก็สามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับได้โดยบังเอิญ นับว่าเป็นความบังเอิญที่ดียิ่ง… เฉินซีสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของพลังชีวิตยามเหินร่าง ในใจรู้สึกผ่อนคลายจากอาการวิตกกังวลจากเมื่อหลายวันก่อน

เดิมทีเพียงทำความเข้าใจเคล็ดกระบี่วารี รวมกับกำลังของร่างอวตารและเจ้าชิงชิง เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิบองครักษ์โมฆะอีกต่อไป

ทว่าตอนนี้ยังสามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับได้ ทำให้พลังต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน แข็งแกร่งกว่าเดิมมากกว่าสิบเท่า!

นับเป็นการรุดหน้าขึ้นขอบเขตหนึ่งเต็ม ๆ!

ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งอยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง เขาสามารถเอาชนะคนขอบเขตเซียนลึกลับได้ เมื่ออยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ กระทั่งเหลียงปิงใช้สมบัติอมตะระดับจักรวาลอย่างกระสวยแสงเงิน ยังรับมือลำบาก ตอนนี้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ พลังต่อสู้คงสามารถข้ามได้มากกว่าหนึ่งขั้น!

แต่อย่างไรก็ระวังไว้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด องครักษ์โมฆะเป็นทหารสังเวยของตระกูลจั่วชิว นับว่าเป็นยอดฝีมือที่คัดเลือกมาจากทั่วทั้งภพเซียน ฝึกปรือฝีมือมาแล้วกว่าพันครั้ง ไม่อาจนำมาเทียบกับเซียนลึกลับธรรมดาได้ เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกลับคืนสู่ความสงบ จากนั้นรีบออกเดินทางต่อเต็มกำลัง

เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าตั้งอยู่สามหมื่นลี้นอกเมืองวาฬหยก เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เฉินซีจึงเริ่มเห็นเทือกเขาไร้พรมแดนมากมายที่เส้นขอบฟ้า ยอดเขาสูงต่ำละลานตาจนแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ฟ้าว!

ทันทีที่มาถึง เฉินซีก็รีบพุ่งเข้าไปในป่าเหมือนลำแสง ฝ่าป่าลึกเข้าไปทีละชั้น

หากยังเหินร่างอยู่กลางอากาศต่อก็คงสะดุดตาเกินไป เป็นจุดสังเกตให้เห็นได้ง่าย

อีกทั้งชายหนุ่มยังไม่มั่นใจว่าองครักษ์โมฆะจะไปรออยู่ที่สะพานจรัสแสงเมฆาหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงคิดว่าใช้ปราการธรรมชาติพรางตัวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ว่ากันว่าเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้ามีภูเขาเป็นแสนลูก มียอดเขากว่าล้านยอด นับว่าเป็นพื้นที่กว้างขวางอย่างแท้จริง ภายในเทือกเขาไม่ได้มีเพียงป่าหนาแน่น แต่ยังมีหุบเขาตัดกันซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย

เฉินซีเพิ่งเข้าป่ามาได้เค่อเดียวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสัตว์อสูรดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว พวกมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนทองคำเลยด้วยซ้ำ!

โชคดีที่เฉินซีปกปิดกลิ่นอายยามเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงเขตอันตรายเหล่านั้นไปได้

ชั่วยามต่อมา เฉินซีกลับขมวดคิ้วแล้วหยุดฝีเท้าลง ญาณมหาเทวะอมตะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผันผวน ทั้งยังเคลื่อนเข้าหาตนอย่างรวดเร็ว!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท