บทที่ 1093 พายุกำลังก่อตัว
บทที่ 1093 พายุกำลังก่อตัว
บริเวณตรงหน้ากำแพงแสงที่ลอยอยู่นั้น ต่างพลุกพล่านและอึกทึกครึกโครมไปด้วยผู้คน ราวกับมหาสมุทรแห่งเสียงที่แพร่กระจายออกไป
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังอันดับที่ห้าบนกำแพงแสง ขณะอุทานด้วยความตกใจ พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิดว่าสีหน้าของเฉินซีได้กลายเป็นเย็นชาและหนักอึ้ง
ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่มีใครสักคนที่สังเกตเห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีเหลือง คนผู้นี้มีรูปลักษณ์ที่ธรรมดา ซึ่งดูอ้วนเกินไปที่จะเคลื่อนไหว และดูเหมือนกับพ่อค้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเงินได้ปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซี
มือของชายวัยกลางคนกุมไว้ในแขนเสื้อของตน ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเฉินซี ท่าทางดูธรรมดา และไม่ได้แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามใด ๆ ทว่ากลับทำให้ผู้อื่นไม่สามารถหยั่งการบ่มเพาะจากเขาได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีบุคคลผู้นี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อเกิดความรู้สึกอันตรายเสียดแทงเข้ามาในใจ ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาทันที!
ราวกับปรากฏตัวออกมาจากอากาศ!
แม้ว่าจะไม่ได้ดึงความสนใจของคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างก็ตาม
เพราะคนที่ทำเช่นนี้ได้ ก็มีแต่เซียนทองคำเท่านั้น! และมีเพียงเซียนทองคำเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติภายใต้กฎแห่งภพเซียนได้
“เขามาด้วยเจตนาร้าย!”
เฉินซีสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนจะยิ้ม แต่กลับดวงตากลับไร้แวว มันเต็มไปด้วยความเย็นชา สงบนิ่ง เยือกเย็นและไร้ความรู้สึก
คนผู้นี้เป็นใครกัน?
เฉินซีไม่มีเวลาที่พิจารณาคำถามนี้ เส้นประสาททุกเส้นในร่างกายตึงเครียด ประหนึ่งสายธนูที่ถูกดึงอย่างเต็มที่จนเหมือนพระจันทร์ และสี่มหาสมุทรภายในแดนฮุ่นตุ้นเริ่มเดือดพล่าน ในขณะที่แก่นแท้ ดวงวิญญาณ รวมถึงพลังงานก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในทันที
แต่จิตใจของเฉินซีกลับสงบนิ่งราวกับน้ำแข็ง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ทุกคนที่อยู่รอบข้างรวมถึงเหลียงปิง หลัวจื่อเฟิง และกู่อวี่ถังที่อยู่ใกล้ที่สุด ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
ถึงขนาดที่การเปลี่ยนแปลงในพลังชีวิต ก็ดูเหมือนจะถูกแยกออกโดยพลังที่ไร้รูปร่าง ดังนั้นมันจึงไม่ได้รับความสนใจใด ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหนทาง!
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีดิ่งลง เขารู้ว่าสิ่งนี้ย่อมเกิดจากชายวัยกลางคนผู้นี้อย่างแน่นอน และชายวัยกลางคนที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
มันอาจใช้เวลานานในการอธิบาย แต่ในยามนี้ ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในจิตใจของเฉินซีภายในชั่วพริบตา และเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาที่ชายวัยกลางคนปรากฏตัว
หนึ่งลมหายใจอาจจะดูสั้น แต่ในสายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง มันก็เพียงพอที่จะสังหารศัตรูไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง!
เห็นได้ชัดว่า ชายวัยกลางคนมาเพื่อสังหารเฉินซีจริง ๆ
เพราะทันทีที่ปรากฏตัว อีกฝ่ายก็เปิดฉากโจมตีทันที มือที่อยู่ในแขนเสื้อยื่นออกมา และรวบนิ้วเป็นกำปั้น ก่อนจะฟาดออกไป ทุบกำปั้นที่สุดแสนจะธรรมลงไปที่ศีรษะของเฉินซี
ทันทีที่เขาลงมือ กลิ่นอายพลันแปรเปลี่ยน ร่างอ้วนท้วนกลับดูน่ากลัวและดุร้าย ใบหน้าแสนธรรมดากลับเต็มไปด้วยท่าทางน่าเกรงขามจนข่มขวัญวิญญาณ ประหนึ่งดาบแหลมคมไร้ที่เปรียบซึ่งถูกผนึกไว้ในฝักที่ยังไม่ได้ปลดออก!
คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้กล่าวอะไรเลยแม้แต่คำเดียว และไม่ได้ให้โอกาสเฉินซีได้กล่าวเช่นกัน ชายร่างอ้วนฟาดกำปั้นที่เรียบง่ายแต่รุนแรง พุ่งเป้าไปที่ศีรษะของเฉินซีโดยตรง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะปล่อยให้เฉินซีมีโอกาสรอดชีวิต!
นี่คือนักฆ่าที่แท้จริง!
เพราะยามมา เขาไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปจนคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น แต่เมื่อลงมือ กลับรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด!
กำปั้นที่ฟาดลงมาอย่างกะทันหันนี้ รวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด แม้จะไร้สุ้มเสียง แต่กลับแผ่กลิ่นอายของสายฟ้าอันน่าหวั่นเกรงได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามันได้ผ่านยุคสมัยและความว่างเปล่า แฝงไปด้วยแรงกดดันที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายอย่างแท้จริง ทว่าเขาได้เตรียมตัวมานานแล้ว และเตรียมใช้เคล็ดวิชาต่าง ๆ เช่นระเบิดสังหารเทวะ หรือใช้ร่างอวตารเพื่อต้านทานการโจมตีนี้…
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร
เนื่องจากทันทีที่ชายวัยกลางคนโจมตี แขนมากมายก็ปรากฏขึ้นมาจากทุกทิศทาง
แขนหนึ่งผอมแห้งเหมือนไม้ไผ้ และก่อตัวเป็นกรงเล็บที่พุ่งไปยังลำคอของชายวัยกลางคน
อีกแขนขาวและผอมเพรียวแต่ก็ทรงพลัง มันก่อตัวเป็นดาบ ฟาดฟันไปยังชายโครงด้านซ้ายของชายวัยกลางคน
อีกแขนปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดโป่งบวมและปกคลุมด้วยชั้นเงาของโลหะแวววาว ก่อตัวเป็นกำปั้นที่ดุร้าย ราวกับค้อนศึกฟาดไปยังหน้าอกของชายวัยกลางคน
แขนมากมายเหล่านี้ แสดงถึงตัวตนอันน่าเกรงขาม และพลังที่พวกมันปล่อยออกมานั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากำปั้นของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย!
ภาพที่ปรากฏนั้นเหี้ยมโหดเสียเป็นอย่างยิ่ง ราวกับฝูงแมงมุมกำลังรุมทึ้งแมลงที่พยายามหนีออกจากใย
ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกว่าภาพตรงหน้าถูกปกคลุมไปด้วยแสงเจิดจ้า จนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัด เพราะกลิ่นอายอันน่าเกรงขามนั้นรุนแรงเกินไป เขาที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ตู้ม!
เสียงระเบิดเขย่าไปทั่วทั้งฟ้าดินดังก้องอยู่ในหู จากนั้นเสียงร้องโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกปะปนกับเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังขึ้นในบริเวณโดยรอบ
แม้จะไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แต่เฉินซีก็สามารถจินตนาการผ่านเสียงที่ได้ยินว่าชายวัยกลางคนที่มาลอบสังหารตน จะต้องพบกับจุดจบภายใต้การโจมตีครั้งนี้อย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ กำแพงแสงที่ลอยอยู่ ต่างก็ตื่นขึ้นจากอาการตกใจและแตกตื่นโกลาหล
เส้นประสาทที่ตึงเครียดของเฉินซี และพลังชีวิตที่เดือดพล่านก็กลับมาสงบในที่สุด
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนเกินจินตนาการ แต่สำหรับเฉินซี มันรู้สึกเหมือนได้ประสบกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายที่ยาวนาน ซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร
เมื่อทัศนวิสัยตรงหน้าดีขึ้น เฉินซีก็มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน บริเวณตรงหน้ากำแพงแสงที่ลอยอยู่ได้กลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงซากศพเย็นเยียบนอนกองอยู่บนพื้น ศพนั้นเป็นของชายวัยกลางคนผู้นั้น ใบหน้าของชายร่างอ้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และดูเหมือนเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวได้อย่างไร
“เฉินซี เจ้าปลอดภัยหรือไม่?” เหลียงปิง หลัวจื่อเฟิง และกู่อวี่ถังเดินเข้ามาด้วยท่าทางกังวล
มีร่างสองร่างยืนอยู่ข้างหลังของแต่ละคน มีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งพวกเขาทั้งหมดก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำ และมีกลิ่นอายที่คลุมเครืออย่างน่าตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเซียนทองคำเหล่านี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ และตระกูลหลัว
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจได้ทันทีว่า เป็นเซียนทองคำเหล่านี้ที่ช่วยเหลือตน และสังหารชายวัยกลางคนในกระบวนท่าเดียว!
เฉินซีพลันส่ายศีรษะ แล้วมองไปที่เหลียงปิง กู่อวี่ถัง หลัวจื่อเฟิง และเซียนทองคำเหล่านี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่มองไปที่ศพบนพื้นแล้วกล่าวว่า “นั่นคือคนจากตระกูลอินหรือ?”
“ใช่แล้ว เขาคืออินเทียนหู ผู้อาวุโสของตระกูลอินที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ” เหลียงปิงอธิบาย
“เซียนทองคำหรือ? ตระกูลอินประเมินข้าไว้สูงเกินไปจริง ๆ …” เฉินซีพึมพำด้วยใบหน้าสงบนิ่ง และทำให้คนอื่นไม่สามารถเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“หึ ข้ารู้ว่าตระกูลอินจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แต่ข้าก็นึกไม่ถึงว่าเราจะจับปลาตัวใหญ่ได้ในทันทีที่เราปรากฏตัว” หลัวจื่อเฟิงหัวเราะเสียงเย็น
“เราจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ เช่นกัน ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราติดตามเฉินซีมาด้วย ตระกูลอินอาจลอบสังหารได้สำเร็จจริง ๆ” กู่อวี่ถังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง
“ที่นี่มีคนมากเกินไป ไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้เถอะ” เหลียงปิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะนำทุกคนกลับไปที่ตระกูลเหลียงทันที ศพของอินเทียนหูก็ถูกเก็บกวาดและนำออกไปโดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำของตระกูลเหลียงเช่นกัน
…
หลังจากที่กลับมาถึงตระกูลเหลียง หลัวจื่อเฟิง และกู่อวี่ถังก็จากไปอย่างเร่งรีบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจที่จะกลับไปยังตระกูล รายงานเรื่องนี้ต่อบิดาของตน
“พวกเจ้าคงคาดการณ์ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหรือ?” เมื่อเฉินซีอยู่ตามลำพังกับเหลียงปิง เขาก็อดถามคำถามนี้ไม่ได้
“ไม่ เราเพิ่งทราบว่าตระกูลอินจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงส่งผู้เยี่ยมยุทธ์บางส่วนมาคุ้มกันอย่างลับ ๆ” เหลียงปิงอธิบาย
เฉินซีเริ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมด
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก การกระทำของตระกูลอินเท่ากับเป็นการแก้ตัวให้เรา ในอดีต มันไม่สะดวกที่จะต่อสู้กับตระกูลอินอย่างเปิดเผย แต่ตอนนี้มันต่างออกไป พวกมันกล้าที่จะลอบสังหารกลางท้องถนน และมันได้แตะต้องคนของเราแล้ว”
เหลียงปิงแสดงออกอย่างสงบ ในขณะที่นางกล่าวอย่างเฉยเมย “หลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องออกหน้าอีกต่อไป ตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ และตระกูลหลัวของเราจะกดดันตระกูลอินเอง อีกทั้งตระกูลอินจะต้องชดใช้เป็นร้อยเท่าสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้!”
เฉินซีรู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกับตระกูลอินได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นมีแต่จะต้องอาศัยความแข็งแกร่งของตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่เท่านั้น ที่จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับตระกูลอินได้
“ขอบคุณ” เฉินซีกล่าวจากใจจริง
เหลียงปิงยิ้มและกล่าวอย่างกะทันหันว่า “จริงสิ ว่าแต่อันดับของเจ้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า คืออันดับที่เท่าไหร่กัน? ตอนนั้นมันวุ่นวายเกินไป ข้าเลยไม่มีโอกาสได้ดู”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ “อันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า และสามารถอยู่ในพันอันดับแรกได้ ก็ถือว่าข้าโชคดีแล้ว”
เหลียงปิงตกตะลึง “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็สามารถไปที่ทวีปดาราวีรบุรุษได้เลยกระมัง?”
“ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ข้าวางแผนเอาไว้ ในตอนนี้ เหลือเวลาอีกเพียงสามเดือน ก่อนถึงวันรับสมัครของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าต้องผ่านกว่าร้อยทวีปจากทวีปทักษิณา เพื่อไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องออกเดินทางล่วงหน้า” เฉินซีพยักหน้าและไม่ได้สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเหลียงปิงดูหดหู่ลง
“แล้วเจ้าคิดจะไปเมื่อใด” เหลียงปิงถาม
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าตั้งใจว่าจะไปพรุ่งนี้เลย” เฉินซีกล่าวหลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก
เหลียงปิงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเฉินซีด้วยดวงตาสุกใส ขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องแสดงความยินดีต่อความสำเร็จที่เจ้าเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้อย่างราบรื่นล่วงหน้า”
นางรู้ดีว่าการจากไปของเฉินซี เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ยื้อเขาไว้จะมีประโยชน์อะไร?
เฉินซียิ้มเช่นกัน “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดี”
วันนี้คงไม่มีความสงบ เพราะข่าวการขึ้นสู่อันดับที่ห้าของเฉินซีในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และอินเทียนหูผู้อาวุโสของตระกูลอินที่ลอบสังหารเฉินซีล้มเหลว เป็นเหมือนข่าวใหญ่สองเรื่องที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วทวีปทักษิณา และทำให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วน
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้คนระดับสูงของตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่ ต่างก็มารวมตัวกันในคืนนั้น และเริ่มการประชุมลับ
หลังจากนั้น ข่าวก็แพร่กระจายออกไปในตอนดึก หากตระกูลอินไม่ชดใช้ต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่จะขีดเส้นแบ่งระหว่างกัน และจะถือว่าพวกเขาเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์!
ข่าวนี้เป็นเหมือนก้อนหินที่โยนลงน้ำ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นนับพันไปทั่วทวีปทักษิณา ซึ่งทั้งหมดดูเหมือนจะตกอยู่ในแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และไม่มีใครกล้าเชื่อว่าสี่ตระกูลใหญ่ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล จะเกิดความขัดแย้งกันเพียงเพราะเรื่องนี้
คืนนี้พายุกำลังจะก่อตัวในเมืองจตุรเทพ!