บทที่ 1107 จังหวะแห่งการตระหนักรู้
บทที่ 1107 จังหวะแห่งการตระหนักรู้
ทันทีที่กฎแห่งวารีสัมผัสกับยันต์เทวะอนันต์ มันก็เป็นกลายเป็นอักขระยันต์แห่งธาตุวารีจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะควบแน่นเป็นปราณกระบี่ต่าง ๆ
โครม!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยความคิดของตน พลังงานแห่งมรดกจำนวนมหาศาลพลันพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณราวกับสายน้ำ
มันเป็นสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่มากมายที่มีแก่นแท้และความแข็งแกร่งของกฎแห่งวารี อีกทั้งยังถูกควบคุมโดยเต๋าแห่งยันต์อักขระ ซึ่งก่อตัวกลายเป็นกระบวนท่ากระบี่มากมาย…
น้ำคือต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง มันมีความจุมหาศาลที่รวบรวมทุกสิ่งในโลกไว้
สิ่งนี้ทำให้มรดกของเคล็ดกระบี่วารีกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร บางครั้งก็แหลมคมดุจสายฝน บางครั้งก็ทรงพลังเหมือนห่าพายุ บางครั้งก็นิ่งดุจหนองน้ำ…
ทุก ๆ กระบวนท่าจะแฝงไปด้วยลึกล้ำที่แท้จริงน้ำ และมันถูกควบแน่นเป็นกฎแห่งกระบี่!
เฉินซีเปียกโชกอยู่ในโลกแห่งน้ำ กำลังทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงและจังหวะของน้ำ โดยทั้งหมดนี้เป็นเหมือนร่องรอยของกระบวนท่ากระบี่ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจ
แม้ว่าการสืบทอดในลักษณะนี้จะเป็นเพียงกระบวนท่ากระบี่ที่มีกฎแห่งวารี แต่มันก็ได้ผสานแก่นแท้ของน้ำเข้ากับกระบวนท่ากระบี่อย่างละเอียดและไร้ที่ติ แม้แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจอันล้ำเลิศ ก็ยังไม่อาจเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ในระยะเวลาสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ในตอนนี้ หัวใจกลมเกลี้ยงเหมือนพระจันทร์ดวงโต จิตใจปลอดโปร่งเหมือนท้องฟ้าสีคราม และตกสู่การทำความเข้าใจอันลึกซึ้ง
ในชั่วพริบตา ในโลกแห่งดาราก็ผ่านไปแล้วสี่เดือน
ในขณะที่ ในโลกภายนอกผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน
ร่างอวตารของเฉินซีได้เข้าสู่อาณาเขตของทวีปพันวังวนจากเมืองประทีปแสงในทวีปสัปยุทธ์เรืองรองแล้ว หลังจากเดินทางผ่านเมืองต่าง ๆ กว่าร้อยเมือง ก่อนที่เข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองสระพิสุทธิ์ เพื่อมายังทวีปเมฆาพำนักในที่สุด
ตลอดการเดินทาง ชายหนุ่มได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตน ทำให้การเดินทางราบรื่นอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่อุปสรรคเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี
เฉินซีทราบดีว่า ศัตรูกำลังเฝ้ารอตนอยู่ที่เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า และนั่นคืออุปสรรคที่ยากที่สุดที่ตนจะต้องเผชิญ!
…
ทวีปเมฆาพำนัก เมืองวาฬหยก
เฉินซีที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มกำลังเดินช้า ๆ เข้าไปในภัตตาคาร ก่อนจะนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง ชายหนุ่มสั่งอาหารสองสามอย่าง ก่อนจะเริ่มรินสุราดื่ม
ในใจกำลังคิดถึงเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า
เนื่องจากที่นี่คือทวีปเมฆาพำนัก หากต้องการไปทวีปสารท ก็ทำได้เพียงเดินทางข้ามเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสองทวีปเท่านั้น
มันเป็นเทือกเขาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เทือกเขาทอดยาวไล่ระดับออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และว่ากันว่ามันมีภูเขาขนาดมหึมากว่าหนึ่งแสนลูกกับยอดเขาอีกหนึ่งล้านยอด มันจึงกว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน มีเพียงเส้นทางเดียวที่มุ่งหน้าสู่ทวีปสารทจากที่นี่ นั่นคือ สะพานจรัสแสงเมฆา!
สะพานจรัสแสงเมฆาตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของเทือกเขา และถูกล้อมรอบด้วยพายุห้วงมิติที่รุนแรง ด้วยเหตุนี้ มีแต่ต้องเดินผ่านสะพานนี้เท่านั้น จึงจะสามารถไปถึงทวีปสารทได้อย่างปลอดภัย
ท้ายที่สุด พายุห้วงมิติก็ก่อตัวขึ้นจากการไหลของกฎที่วุ่นวายในภพเซียนที่มาบรรจบกัน มันเหมือนกับกำแพงที่พาดผ่านระหว่างสองทวีป ยิ่งไปกว่านั้น หากถูกพัดพาไปกับพายุห้วงมิติ แม้แต่เซียนปราชญ์ก็ไม่อาจรอดชีวิตได้ ดังนั้นมันจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“องครักษ์โมฆะอีกสิบคนในความทรงจำของเยว่เจิ้น อาจซุ่มรออยู่ที่สะพานจรัสแสงเมฆาในตอนนี้…” เฉินซีขมวดคิ้วขณะไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
เคยได้ยินมาว่า สะพานจรัสแสงเมฆาถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนกระดูกสันหลังของเทพเจ้าที่ดับสูญในภพเซียนเมื่อช่วงยุคบรรพกาล มันอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ไม่เกรงกลัวต่อพลังทำลายล้างของพายุห้วงมิติ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะพานจรัสแสงเมฆาได้กลายเป็นเส้นทางเดียวระหว่างทวีปเมฆาพำนักและทวีปสารท ดังนั้นหากองครักษ์โมฆะเหล่านั้นซุ่มรออยู่ที่สะพานจรัสแสงเมฆา เฉินซีก็จะต้องต่อสู้กับพวกมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเปิดรับสมัคร ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องไปถึงทวีปสารทให้ได้ และตราบใดที่ข้าเข้าสู่ทวีปสารท ข้าจะสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติภายในทวีป เพื่อไปยังทวีปดาราวีรบุรุษได้ทันที”
เฉินซีสูดลมหายใจลึก ๆ รู้สึกได้ว่าหากร่างหลักได้รับมรดกของ ‘เคล็ดกระบี่วารี’ ภายในโลกแห่งดารา และสามารถบ่มเพาะให้เสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า จะสามารถเข้าสู่เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าได้โดยไม่ต้องเสียเวลาได้อีกต่อไป
“บางทีข้าควรจะฉวยโอกาสนี้เพื่อเตรียมการอื่น ๆ …”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจใช้โอกาสนี้ เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง เพราะมีองครักษ์โมฆะสิบคนกำลังรอเขาอยู่ ซึ่งมีผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดอย่างหลูเฉินด้วย เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ ไม่อาจประมาทแม้แต่ครึ่งก้าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหนุ่มตั้งใจมุ่งหน้าไปยังร้านค้าในเมืองวาฬหยก เพื่อหาซื้อสมบัติที่ตนต้องการ คลื่นของการสนทนาภายในภัตตาคารก็ดึงความสนใจของเขา
“อันใดกัน? สะพานจรัสแสงเมฆาถูกปิดตายหรือ? ใครกันที่กล้าทำเช่นนี้?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนก็ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม และพยายามที่จะฝ่าฝืน แต่ไม่มีใครรอดกลับมาเลยสักคน”
“บัดซบ! พวกมันเป็นใครกัน? เหตุใดผู้ยิ่งใหญ่ในทวีปเมฆาพำนักของเราไม่คิดจะจัดการ?”
“จัดการหรือ? หึ! ตำหนักราชันเซียนส่งเซียนทองคำมาสี่คน เจ้าลองเดาว่าเกิดอะไรขึ้นสิ? พวกเขาต่างวิ่งแจ้นกลับมาอย่างกับสุนัข!”
“เป็นไปไม่ได้! หรือพวกมันจะมาจากขุมพลังที่ยิ่งใหญ่จากทวีปอื่น?”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน มิฉะนั้น เซียนทองคำทั้งสี่คงไม่กลับมาทั้งที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ และยังไม่พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวภูมิหลังของคนเหล่านั้น”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าสะพานจรัสแสงเมฆาจะถูกปิดตายไม่นาน อย่างมากที่สุดก็ราวหนึ่งเดือน”
“พวกเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
“ไม่รู้สิ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไล่ล่าใครบางคนอยู่”
“ฮึ่ม! มารดามัน! สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในทวีปดาราวีรบุรุษจะเริ่มเปิดรับสมัครในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือน และผู้เยี่ยมยุทธ์สามอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปเมฆาพำนัก เหลี่ยปิงหาน หวังทา และซือถูจื่ออิ๋งจะต้องมุ่งหน้าไปเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ถ้าพวกเขาล่าช้า จะไม่เท่ากับพลาดโอกาสเข้าร่วมกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือ?”
“เฮ้อ เราไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้”
แขกทุกคนในภัตตาคารกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงบ่นและแสดงความไม่พอใจออกมาเท่านั้น
หลังจากที่เฉินซีได้ยินก็เข้าใจทันทีว่า กลุ่มของหลูเฉินอาจรู้ว่าตนสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ และหลีกเลี่ยงจากการตรวจจับของเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ ได้ และหากต้องการเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องผ่านสะพานจรัสแสงเมฆา
คนเหล่านั้นจึงปิดสะพานจรัสแสงเมฆาทันที และสังหารทุกคนที่ไม่ใช่เป้าหมาย ทั้งยังใช้ชื่อของตระกูลจั่วชิว ทำให้ตำหนักราชันเซียนแห่งทวีปเมฆาพำนักไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฮึ่ม! พวกมันก็เป็นแค่พวกสารเลวที่มาจากทวีปอื่น หากพวกมันกล้าขวางทาง ข้าจะฆ่าพวกมันแน่!” มีเสียงฮึดฮัดดังก้องขึ้นมา ราวกับเสียงฟ้าร้องทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน จนร่างกายแข็งทื่อไปหมด และทุกสายตาล้วนจับจ้องไปทางเจ้าของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา และดวงตาหงส์คู่หนึ่ง เขานั่งอย่างเฉื่อยชาอยู่ตรงนั้น แต่กลับแผ่กลิ่นอายกดดันมหาศาลออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มันเหมือนกับดาบที่แหลมคม ทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง จนไม่กล้าจ้องมองคนผู้นั้นอีกต่อไป
“หวังทา อันดับที่สองของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!” มีคนร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อจำตัวตนของชายหนุ่มได้ และเมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ทุกคนเริ่มแตกตื่น เพราะไม่คิดเลยว่าหลังจากพวกเขาพูดถึงหวังทา หวังทาดันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา!
ชายหนุ่มเป็นดั่งบุคคลในตำนานของคนรุ่นใหม่ของทวีปเมฆาพำนัก ซึ่งบรรลุการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้น เต๋าแห่งดาบก็บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าของผู้นี้ได้แม้แต่ครั้งเดียว!
ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา มีผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนท้าทายหวังทา แต่กลับไม่สามารถต้านหวังทาได้เกินสามกระบวนท่า เนื่องจากเคล็ดวิชาดาบนั้นงดงามและไร้การควบคุม จึงได้รับสมญานามว่า ดาบปีศาจหวังทา
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินการสนทนาจากรอบข้าง อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่แปลกใจกับอันดับของหวังทาในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป แต่กลับรู้สึกประหลาดใจแทน เพราะแท้จริงแล้ว หวังทาก็ตั้งใจที่จะมุ่งหน้าไปยังทวีปดาราวีรบุรุษเพื่อรับการคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเช่นกัน
ในเมื่อหวังทาคืออันดับสองของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปเมฆาพำนัก อันดับของชายผู้นี้ในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าจะต้องอยู่ในพันอันดับแรกอย่างแน่นอน หมายความว่าเขามีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
“ไปเถอะ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” ท่ามกลางเสียงอึกทึกและการสนทนา ชายหนุ่มสวมชุดสีเทาธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็ลุกยืนขึ้นจากทางด้านข้างของหวังทา ก่อนจะหันหลังและจากไป
หวังทาพยักหน้ารับ และจากไปพร้อมกับชายหนุ่มที่สวมชุดสีเทา ยิ่งกว่านั้น เขาเผยร่องรอยของความเคารพบนหว่างคิ้วอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นใครกัน?”
“ดูเหมือนว่า…จะเป็นเหลี่ยปิงหาน?”
“ควรจะเป็นเขา เพราะมีแต่คนผู้นี้เท่านั้น ที่สามารถทำให้ดาบปีศาจหวังทามีท่าทางเช่นนั้นได้”
“เฮ้อ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะมีวาสนาที่จะได้พบกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในตำนานถึงสองคน พวกเขาคงไม่คิดที่จะผ่านสะพานจรัสแสงเมฆาด้วยกำลังใช่หรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้มากจริง ๆ”
ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูหวังทาจากไปพร้อมกับชายหนุ่มที่สวมชุดสีเทา อารมณ์ของทุกคนในภัตตาคารก็ไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นทวี และเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับตัวตนของชายหนุ่มสวมชุดสีเทากันอย่างออกรส
เฉินซีไม่ได้สนใจอีก ร่างสูงลุกขึ้นยืนและออกจากภัตตาคารทันที
ณ ศาลาเซียนคลื่นทองคำ
เฉินซีเข้ามาพร้อมกับแสดงตราแขกผู้ทรงเกียรติที่อู๋หยวนมอบให้ และกลับมาในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา
ชายหนุ่มแลกเปลี่ยนสมบัติทั้งหมดที่ไม่มีประโยชน์ กับวัตถุดิบเซียนต่าง ๆ จากนั้นตรงไปยังโรงเตี๊ยม เพื่อเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ
เจ็ดวันต่อมา ในที่สุด เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะกำลังพินิจธงค่ายกลที่ปรับแต่งเสร็จแล้ว และพึมพำเบา ๆ “ธงค่ายกลพิฆาตอสูรทั้งหนึ่งพันแปดอันนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างค่ายกลสังหารขนาดใหญ่…”
หลังจากพินิจพวกมันทีละอัน และยืนยันว่าไม่มีปัญหา เฉินซีก็วางธงค่ายกลเหล่านี้ทันที ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏที่มุมปาก “ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ‘เคล็ดกระบี่วารี’ แล้ว!”
ในเวลาเดียวกัน ภายในโลกแห่งดารา ร่างหลักของเฉินซีก็ตื่นขึ้นจากสภาวะการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อลืมตาขึ้น กระบี่นับไม่ถ้วนได้พุ่งตัดไปมาผ่านสายตา ก่อนจะแสดงความลึกล้ำอันไร้ขอบเขต กลายเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ครืน!
กฎแห่งวารีที่กำลังพลุ่งพล่าน ขดตัวล้อมรอบร่างหลักของเฉินซีราวกับแม่น้ำขนาดใหญ่ รวมกับกระแสปราณเซียนจำนวนมากที่ปล่อยไอหมอกออกมา มันส่งเสียงดังก้องไปด้วยกลิ่นอายอาฆาต ดุร้าย และทรงพลัง!
ขณะสัมผัสกลิ่นอายอันน่าเกรงขามของ ‘เคล็ดกระบี่วารี’ ในที่สุด เฉินซีก็เผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา ทว่าเมื่อเขาตั้งใจจะยืนขึ้นและออกจากโลกแห่งดารา คิ้วพลันขมวดเข้าหากัน ความประหลาดใจสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้า
โอม! โอม!
คลื่นเสียงของพลังชีวิตดังก้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับภูเขาไฟจำนวนมากกำลังปะทุภายใน แก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณเหมือนถูกจุดไฟจนลุกโชน
“นี่มัน… จังหวะแห่งการตระหนักรู้!” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง ไม่เคยคิดเลยว่าจังหวะในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับจะปรากฏขึ้นในขณะนี้!