บทที่ 1103 พลิกสถานการณ์
บทที่ 1103 พลิกสถานการณ์
ใบหน้าของเฉินซีมืดลง แววตาดูประหลาดใจ เขาโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างรอยฝ่ามือนับพัน พร้อมกับถอยร่นอย่างรวดเร็ว
ครืน!
รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นดุจสายฝนโปรยปรายลงมา การปะทะกันอย่างรุนแรงฟังดูราวกับแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดที่บด ถล่ม และทำลายภูเขาจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียง ฝุ่นผงฟุ้งกระจายบดบังอากาศชวนให้หายใจไม่ออก
ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเจี่ยงหนิงก็เป็นเหมือนดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ยงคงกระพัน ทำลายการโจมตีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แล้วพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเฉียบคมที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่เปิดโอกาสให้เฉินซีได้มีโอกาสพักหายใจหรือหลบเลี่ยง
โครม!
ฝ่ามือมหาดาราที่เพิ่งใช้ออก ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างง่ายดายราวกับเศษกระดาษอีกครั้ง สายลมเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยจิตสังหารปัดผ่านใบหน้า ทิ้งรอยแผลเปื้อนเลือดไว้
การแสดงออกของเฉินซีมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ เผยให้เห็นร่องรอยของความกลัว
สิ่งนี้ทำให้ที่มุมปากของเจี่ยงหนิงยกยิ้มเยาะเย้ย ในใจรู้สึกดูถูกและสงสัยเล็กน้อย เหตุใดนายน้อยจึงต้องใช้องครักษ์โมฆะถึงสิบสองคน กระทั่งให้ผู้บัญชาการหลูเฉินมาเป็นผู้นำกลุ่ม ในเมื่อเพียงแค่ตัวเขาเองก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับตัวตนเล็ก ๆ เช่นนี้
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่การเคลื่อนไหวกลับไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม การโจมตีกลับรุนแรงขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทุกการโจมตีล้วนแฝงพลังแห่งกฎที่พลุ่งพล่าน พร้อมด้วยรัศมีที่ควบแน่น ดุร้าย และรวดเร็ว
ในฐานะสมาชิกขององครักษ์โมฆะ แม้ในใจเจี่ยงหนิงจะดูถูกคนตรงหน้ามากเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดประมาท จนกว่าอีกฝ่ายจะตายลง จิตใจถึงจะผ่อนคลายลงได้
นี่คือสัญชาตญาณที่ได้รับการฝึกฝนผ่านการเข่นฆ่ามานับครั้งไม่ถ้วน มันทำให้เขาปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจังและสุดกำลังทุกครั้ง และไม่ได้รับผลกระทบจากความรู้สึกที่หลากหลายจนประเมินศัตรูต่ำเกินไป
โครม!
เสียงกระแทกเสียดหูดังขึ้นอีกครั้ง เฉินซีถูกแรงระเบิดส่งลอยไป ทำให้เลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าซีดเซียว ร่างซวนเซใกล้จะล้มลง
“ตาย!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจี่ยงหนิงก็เผยยิ้มเย็นเยียบ แล้วพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่แสงสีดำหมุนวนอยู่รอบมือ ราวกับเมฆดำที่กดทับลงมาเพื่อสังหารศัตรู!
เฉินซีกัดฟันแน่น แต่แทนที่จะถอยกลับ ชายหนุ่มกลับก้าวไปข้างหน้า ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ร่างแปลงสวรรค์และอวตารเทพ กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงกว่าร้อยจั้ง ปราณจ้าววิญญาณแผ่ซ่านออกมาอย่างรวดเร็ว แขนทั้งหกหนาเท่าเสาหิน มัดรวมติดกันราวกับกำลังโอบกอดโลกไว้ แล้วทุบเข้าหาเจี่ยงหนิงอย่างรุนแรง!
“ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์!”
เจี่ยงหนิงไม่ได้หลบหลีก เขายกมือขึ้นแล้วคว้า ฉีกแขนข้างหนึ่งของร่างอวตารอย่างง่ายดาย แล้วอาศัยช่องว่างนี้ พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า รวดเร็วดุจสายฟ้า แล้วกวาดฝ่ามือออกไป เป้าหมายคือศีรษะของเฉินซี!
ฟุ่บ!
เลือดพุ่งกระจายออกมาราวธารน้ำ ย้อมเสื้อผ้าของเจี่ยงหนิงเป็นสีแดงสด
ฉากนี้ทำให้เจี่ยงหนิงคลั่งยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มสะบัดมือครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างคมมีดจำนวนมากที่แฝงพลังแห่งกฎ ตัดเฉือนร่างไร้ศีรษะออกเป็นชิ้น ๆ กระเด็นขึ้นไปทั่วท้องฟ้า เลือดกระเซ็น ทำให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศ
อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่สามารถฆ่าเฉินซีได้อย่างสมบูรณ์ เศษเนื้อที่ถูกสับบิดเบี้ยวและหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว!
“เซียนสวรรค์ที่บ่มเพาะขัดเกลากายาสังหารได้ยากเย็นเสียจริง”
เมื่อเห็นสิ่งนี้เจี่ยงหนิงก็ตกตะลึง ก่อนจะโบกแขน ปรากฏเปลวไฟสีขาวปะทุออกมา ปกคลุมเลือดเนื้อทุกชิ้น จากนั้นเริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรง
“เพลิงกระดูกขาวมรณาของข้า สังหารได้แม้กระทั่งวิญญาณบรรพกาล มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้อีกนานแค่ไหน” เจี่ยงหนิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชาจากด้านข้าง
แม้มองเห็นได้เพียงราง ๆ ว่า ร่างของเฉินซีจะถูกสร้างขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันกลับพร่ามัวอยู่ภายในเปลวเพลิงสีขาวที่พวยพุ่ง และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากเปลวเพลิงได้
สิ่งนี้ทำให้ เจี่ยงหนิงผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มอำมหิต ขณะพึมพำ “เมื่อฆ่าเด็กคนนี้ได้แล้ว ข้าก็สามารถรายงานนายน้อยได้…”
โครม!
ในตอนนั้นเอง เฉินซีผู้อยู่ภายในทะเลเพลิงสีขาวก็ได้เปล่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลออกมา ชายหนุ่มหยุดดิ้นรนและพุ่งเข้าหาเจี่ยงหนิงแทน ดูเหมือนตั้งใจจะลากเจี่ยงหนิงตกตายไปกับตน!
เจี่ยงหนิงตกตะลึง จากนั้นก็พูดด้วยความขบขัน “พลังของสหายผู้นี้นี่ช่าง…”
ยังไม่ทันจบประโยค จู่ ๆ กลิ่นอายอันตรายก็พุ่งเข้าสู่หัวใจ ชวนให้หนาวสั่นไปทั่วร่างกาย รูม่านตาหดตัวอย่างกะทันหัน และหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
ฉึก!
น่าเสียดายที่ช้าไปเพียงครึ่งก้าว ปราณกระบี่แทงทะลุอกซ้ายอย่างแม่นยำ เผยให้เห็นรูเลือดขนาดเท่าชาม เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด
“ใครกัน? รนหาที่ตาย!” ใบหน้าของเจี่ยงหนิงมืดลง หันศีรษะกลับอย่างรวดเร็ว และเห็นเฉินซีอีกคนปรากฏตัวขึ้น! เฉินซีผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีเขียวและถือกระบี่เซียนที่เรียบง่าย
“หืม? นี่คือร่างที่แท้จริงของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เจี่ยงหนิงหรี่ตา สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย มันแข็งแกร่งมากกว่าร่างอวตารที่บ่มเพาะการขัดเกลาถึงสองเท่า
เฉินซียังคงเงียบและวาดดาบไปข้างหน้า
การโจมตีก่อนหน้านี้ แม้จะได้ว่าประสบความสำเร็จ แต่เจี่ยงหนิงก็ยังพอหลบเลี่ยงได้ทัน สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตระหนักว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้นน่าเกรงขามเพียงใด เขาไม่สามารถปล่อยให้เจี่ยงหนิงมีเวลาพักหายใจเป็นอันขาด!
เมื่อคู่ต่อสู้บาดเจ็บ ย่อมเป็นโอกาสดีในการสังหารศัตรู มิฉะนั้น หากเจี่ยงหนิงฟื้นตัว การต่อสู้ที่ดุเดือดย่อมปะทุอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชู่ว!
ปราณกระบี่ที่พร่างพราวและเปล่งประกายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทันทีที่มันปรากฏขึ้น เพียงลมปราณที่แผ่ออกมาก็กวาดล้างภูเขา ป่าไม้ และโขดหินที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้แหลกเป็นผุยผง
รูม่านตาของเจี่ยงหนิงหดตัว “กฎทั้งเก้าแห่งมหาเต๋า?”
ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เห็นชัดเจนว่าปราณกระบี่ของเฉินซีนั้น เต็มไปด้วยพลังของกฎแห่งธาตุทั้งห้า หยิน หยาง ลม และสายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมันก่อตัวขึ้นจากทักษะมากมาย รวมกันเป็นการโจมตีเดียว เห็นได้ชัดว่าเต๋ากระบี่ของอีกฝ่ายได้บรรลุถึงระดับปรมาจารย์แล้ว!
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์!
“ข้าคิดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนในองครักษ์โมฆะเป็นพวกประหลาดแล้ว ไม่คิดเลยว่าสหายคนนี้จะผิดแผกยิ่งกว่าเราเสียอีก หากเติบโตขึ้น คนผู้นี้จะพิเศษได้มากอีกเพียงใดกัน?”
ตอนนี้ เขาไม่กล้าประมาทอีกและตัดสินใจใช้กำลังอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับเฉินซี
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปนานขึ้นเท่าไหร่ เจี่ยงหนิงก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เพราะพลังในการต่อสู้ของเฉินซีนั้นทรงพลังยิ่ง ทั้งยังครอบครองเจตจำนงกระบี่ที่ไม่ธรรมดาเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรคนผู้นี้ได้เลย เมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บที่ยังคงมีเลือดไหลริน หากการต่อสู้ดำเนินต่อไป สถานการณ์มีแต่จะยิ่งเลวร้ายลงเท่านั้น…
โชคดีที่ร่างอวตารที่บ่มเพาะการขัดเกลากายาของเฉินซี ยังคงถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงกระดูกขาวมรณา และไม่สามารถหลบหนีได้ในตอนนี้ มิฉะนั้น สถานการณ์อาจจะยิ่งแย่กว่านี้หลายเท่าตัว!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ เจี่ยงหนิงก็เปิดเผยการแสดงออกที่ไร้ความปรานี ออกมา ร่างกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร และเดือดพล่านไปด้วยพลังที่เพิ่มขึ้น รัศมีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างบ้าคลั่ง!
โฮก!
ทันใดนั้น เสียงคำรามสั่นสะเทือนก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้าของสัตว์อสูรก็ดังขึ้น อสูรเซียนสีเงินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศเบาบาง ก่อนที่มันจะใช้กรงเล็บของมัน ทำให้เกิดคลื่นพลังลึกลับที่เย็นยะเยือกและผันผวนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
“อสูรวิญญาณดารา!” เจี่ยงหนิงตกตะลึงและพลิกมือโดยสัญชาตญาณ ฝ่ามือนั้นมีพลังยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา แต่เมื่อเผชิญกับความผันผวน มันกลับถูกกลืนหายไปจนหมด เหมือนโยนวัวโคลนปั้นลงไปในทะเล
“กฎแห่งการกลืนกิน!” เจี่ยงหนิงตกตะลึงอีกครั้ง ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เฉินซีไม่เพียงแต่มีอสูรวิญญาณดาราที่หายากเท่านั้น แต่อสูรวิญญาณดาราตัวนี้ยังครองกฎแห่งการกลืนกินมาแต่กำเนิดด้วย!
ทั้งหมดนี้ทำให้เจตจำนงเหล็กเริ่มสั่นคลอน
ฟุ่บ!
ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ เฉินซีก็วาดดาบที่มีพลังของพายุพุ่งเข้ามา พร้อมกับอสูรวิญญาณดารากู่ร้องคำรามและโจมตีเจี่ยงหนิงจากอีกด้านหนึ่ง
เจี่ยงหนิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในทันที!
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าหนักใจ ในที่สุดก็ตระหนักว่าเป้าหมายในครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด!
โครม!
พื้นที่รอบตัวพลันลุกโชนด้วยเพลิงสีขาว เขาพูดด้วยเสียงอันน่ากลัว “เจ้ามดปลวก! คิดจะเอาชนะข้าอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!”
เจี่ยงหนิงเหยียดมือทั้งสองออก มือซ้ายเป็นเหมือนมังกรไฟทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มือขวาเป็นเหมือนเต่าดำแหวกว่ายในท้องทะเล เข้าสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดของเฉินซีและอสูรวิญญาณดาราได้ทันท่วงที!
“ฮ่าฮ่า! เจ้าตัวบัดซบ เจ้ายังไม่เข้าใจหรือว่าเจ้าอ่อนแอเพียงใด!?” เจี่ยงหนิงเงยหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะลั่น ทว่าในหนึ่งลมหายใจต่อมา เสียงพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแข็งทื่อ ดวงตาปูดโปน และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ลำคอถูกบีบอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกัน เสียงของเฉินซีก็ดังก้องขึ้นข้างหู “เจ้าคิดว่า เพลิงกระดูกขาวมรณาจะสามารถทะลวงการป้องกันของเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกของข้าได้จริงหรือ?”
เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก?
เจี่ยงหนิงตกอยู่ในความสับสน เขาไม่รู้ว่านั้นเป็นทักษะการบ่มเพาะแบบใดแต่ตอนนี้ร่างอวตารที่ฝึกฝนการขัดเกลากายาได้หายไปจากเพลิงกระดูกขาวมรณาแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่าแขนที่บีบรัดลำคออยู่นี้มาจากไหน
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี ผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นจะไม่กลัวไฟเพลิงกระดูกขาวได้อย่างไร?
กร๊อบ!
ก่อนจะทันได้คิดอะไรไม่มากกว่านี้ ชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง กระดูกคอถูกแยกออกจากลำตัว ศีรษะเอนเอียงแล้วตกไปทางด้านข้าง
“เจ้า… เจ้าแสร้งเป็นอ่อนแอจนมาถึงเมื่อครู่นี้? น่าเสียดาย… ช่างน่าเสียดายจริง ๆ…”
แต่ถึงอย่างนั้น เจี่ยงหนิงก็ยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ ร่องรอยของสีแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าสีซีด เสียงก็ดูเหมือนถูกบีบเค้นออกมาจากช่อง
ยามนี้ หัวใจของเฉินซีกระตุกอย่างไม่มีเหตุผล เขารับรู้ได้ว่าภายในร่างกายของเจี่ยงหนิงมีพลังแห่งการทำลายล้างที่บ้าคลั่งแฝงอยู่ มันแพร่กระจายจวนเจียนระเบิดออกมาจากภายใน!
“บัดซบ!” ความรู้สึกอันตรายก่อตัวขึ้นในใจฉับพลัน ก่อนที่เฉินซีจะพาอสูรวิญญาณดาราและร่างอวตารพุ่งออกไปให้ไกลโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ตู้ม!
ในทันทีที่เฉินซีจากไป ร่างของเจี่ยงหนิงก็ระเบิดเหมือนลูกหนังที่พองตัวจนสุด แรงปะทะที่เทียบได้กับการระเบิดของภูเขาไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อเป็นเมฆรูปเห็ดที่ปกคลุมไปหลายพันลี้
ทำให้ดินแดนในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ ตกสู่การสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ภูเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ แผ่นดินแยกออกจากกัน กระแสความปั่นป่วนรุนแรงกำลังโหมกระหน่ำ บดขยี้ความว่างเปล่าจนแตกร้าว ทำให้ทั่วสวรรค์และปฐพีตกตะลึง
พรวด!
เฉินซีที่ได้รับผลกระทบกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ร่างกายปลิวไปตามกระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ จนเกือบหมดสติ
ชายหนุ่มกัดฟันอย่างเร่งรีบและอาศัยเจตจำนงอันแรงกล้าประคองร่างของตนไว้ และหลบหนีอย่างสุดกำลัง ชายหนุ่มกระเสือกกระสนแทบเอาตัวไม่รอด ก่อนจะหยุดอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง
“ช่างไร้ความปรานีจริง ๆ! ถึงกับเลือกระเบิดตัวเองเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นี้จะเป็นทหารที่ถูกฝึกให้สละชีวิตเพื่อเป้าหมายของตน?”
เฉินซีสีหน้าซีดเซียว ขณะหอบหายใจหนัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นเพื่อเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เมื่อมองไปยังฉากที่ถูกทำลายล้างห่างไกล ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังคงล่องลอยอยู่ในหัวใจเล็กน้อย