บทที่ 1117 ความเป็นศัตรู
บทที่ 1117 ความเป็นศัตรู
เมืองเซียนสัประยุทธ์ ณ เขตวิญญาณยุทธ์
ภายในโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปทักษิณา
ภายในห้องโถงกว้างขวาง มีชายชราร่างผอมนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดูง่วงซึมและเหมือนจะหลับอยู่ตลอดเวลา ชายผู้นี้คือเถี่ยชิวอวี้ที่ครั้งหนึ่งเคยออกป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ให้กับเฉินซี
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่ข้าง ๆ เถี่ยชิวอวี้ เขามีรูปลักษณ์แข็งแกร่ง เย็นชา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายแวววาวดั่งดาราที่ฉายแสงเยียบเย็นทุกครั้งที่กะพริบตา
ช่างน่าตกใจ ชายผู้นี้คือเหลียงเริ่นที่อยู่ในอันดับสี่ของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา!
เหลียงเริ่นมองไปนอกห้องโถง จากนั้นจึงมองเถี่ยชิวอวี้กำลังหลับลึก และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เหลือเวลาอีกเพียงเจ็ดวันก่อนสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเปิดรับสมัคร เหตุใดเฉินซีถึงยังไม่มาอีก?”
เปลือกตาของเถี่ยชิวอวี้กระตุกวูบแต่ยังไม่เปิดออกและพึมพำ “รออีกสักพัก ตราบใดที่ไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขาจะต้องมาอย่างแน่นอน”
คิ้วของเหลียงเริ่นขมวดเข้าหากันแน่นขณะครุ่นคิด และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ชายหนุ่มออกเดินทางมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และมาที่เมืองเซียนสัประยุทธ์ จึงไม่มีความสัมพันธ์กับเฉินซีมากนัก เพียงได้เห็นเฉินซีจากระยะไกลในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
แต่ในฐานะศิษย์ของตระกูลเหลียง เหลียงเริ่นรู้ว่า เฉินซีมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลเหลียงของตน ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงหลายคนในตระกูลได้ส่งแผ่นหยกมา เนื้อหาในแผ่นหยกได้กำชับให้เขาดูแลเฉินซีเป็นพิเศษ และต้องปฏิบัติต่อเฉินซีด้วยความสุภาพที่สุด
ถึงขนาดที่ผู้นำตระกูลได้ออกคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้เฉินซีจะต้องต่อสู้กับคนทั้งโลก เหลียงเริ่นก็ต้องยืนเคียงข้างเฉินซี!
นอกจากรู้สึกประหลาดใจแล้ว เหลียงเริ่นก็ไม่กล้าประมาท ดังนั้นนอกเหนือจากการบ่มเพาะแล้ว เขามักจะรออยู่ในโถงวิญญาณยุทธ์ เพื่อรอคอยเฉินซี
แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจะไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ เหลียงเริ่นก็ยังต้องดูแลเฉินซีเป็นพิเศษ เพราะเฉินซีได้ขึ้นสู่อันดับห้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ในขณะที่ยังอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น… คือแม้แต่ญาติผู้น้องก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซี!
บุคคลที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ คือคนที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังจากเหลียงเริ่น
แต่รอคอยมานานกว่าหนึ่งเดือน แต่กลับไม่เห็นวี่แววของเฉินซีเลย ดังนั้นนอกจากจะรู้สึกกระวนกระวายใจแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย กังวลว่าอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นกับเฉินซีในระหว่างทาง
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังก้องออกไปนอกห้องโถง และมันทำให้เหลียงเริ่นซึ่งกำลังครุ่นคิดอยู่ได้สติขึ้น ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และเห็นร่างสูงกำลังเดินมาจากนอกห้องโถง
“เฉินซี!”
“ในที่สุดเขาก็มาถึง!”
เหลียงเริ่นรู้สึกเบิกบานยิ่ง แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนกายไปไหน เขาก็เห็นบางสิ่งแวบผ่านหางตา เป็นเถี่ยชิวอวี้ที่ง่วงงุนลุกขึ้นยืน ก่อนจะพุ่งตัวออกไปนอกห้องโถง
เหลียงเริ่นตกตะลึงยิ่ง “ที่แท้ตาเฒ่าจอมละโมบผู้นี้ได้แสร้งทำมาตลอด และเขาตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
แม้จะรู้สึกดูถูกการกระทำของเถี่ยชิวอวี้ แต่เหลียงเริ่นยังคงยืนขึ้นอย่างเร่งรีบและเดินไปต้อนรับเฉินซี
“ฮ่า ฮ่า! เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว เจ้าปล่อยให้ข้าต้องรอจริง ๆ!” เถี่ยชิวอวี้มีท่าทางอบอุ่นขณะจ้องเฉินซีตั้งแต่บนลงล่าง อีกทั้งยังไม่ปกปิดความยินดีและความโล่งใจแม้แต่น้อย
เฉินซียิ้ม จากนั้นป้องมือแล้วกล่าว “ระหว่างทางข้าประสบเหตุล่าช้าเล็กน้อย ขออภัยที่ปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องรอ”
“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” เหลียงเริ่นเดินเข้ามาต้อนรับเฉินซี
“พี่ใหญ่เหลียงเริ่น” เฉินซีป้องมืออีกครั้ง เพราะเหลียงเริ่นเป็นญาติผู้พี่ของเหลียงปิง ถึงแม้จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ระหว่างพวกเรา แต่เนื่องจากเหลียงเริ่นเป็นฝ่ายต้อนรับด้วยไมตรี มันจึงทำให้เขารู้สึกยินดีเล็กน้อย
“ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น? เจ้าหนู เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เวลาผ่านไปไม่ถึงปี แต่เจ้ากลับสามารถบรรลุจากขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นไปสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นแล้ว!” เถี่ยชิวอวี้กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ดวงตากลับต้องเบิกกว้าง ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของเหลียงเริ่นสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเช่นกัน สายตาจ้องมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของเฉินซีนั้นลึกลับและเก็บงำ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของขอบเขตเซียนลึกลับอย่างแน่นอน!
เฉินซีถูจมูกด้วยความกระอักกระอ่วน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส พี่ใหญ่เหลียงเริ่น ไว้เราค่อยพูดคุยกัน หลังจากเข้าไปในห้องโถงได้หรือไม่?”
เถี่ยชิวอวี้เข้าใจได้อย่างฉับพลันและเสียงหัวเราะเสียงดัง “ใช่แล้ว เจ้านี่ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ ฮึ่ม! ไอ้แก่หวังต้าวหลูมีแต่ตาหามีแววไม่ เขาสมควรถูก…”
ขณะที่เถี่ยชิวอวี้กล่าวยังไม่ทันจบ ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าไม่ควรกล่าวต่อหน้าเฉินซี จึงรีบหุบปากทันที
“หวังต้าวหลู?” เฉินซีตกตะลึง
“มาเถอะ มาเถอะ! อย่าได้กล่าวถึงเขา! เขาเป็นแค่ไอ้แก่ที่ทำให้ข้าเสียศิลาอมตะไปหนึ่งแสนก้อน” เถี่ยชิวอวี้คร่ำครวญก่อนจะเดินนำเฉินซีเข้าไปในห้องโถง
…
เฉินซี เหลียงเริ่น และเถี่ยชิวอวี้ต่างนั่งลงในห้องโถง
เหลียงเริ่นเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ ศิษย์ทุกคนของทวีปทักษิณาที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ได้มารวมตัวกันแล้ว”
เฉินซีทราบดีว่า นอกจากตนและเหลียงเริ่นแล้ว อินเหมียวเมี่ยว กู่เยวหมิงและเจียงจูหลิวที่เป็นสามอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ก็ได้ไต่ขึ้นสู่หนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าเช่นเดียวกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาจะเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างแน่นอน
ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกัน เสียงฝีเท้าก็ดังก้องมาจากนอกห้องโถงอีกครั้ง
เฉินซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาหรี่ลงอย่างระแวดระวัง ผู้มาใหม่คือชายหญิงคู่หนึ่ง ชายหนุ่มมีรูปร่างผอมบาง สวมชุดสีดำ และมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีสีหน้าซีดเซียวอย่างน่าสยดสยองและเกือบจะโปร่งแสง
ริมฝีปากบางราวกับคมมีด ขบเม้มเข้าหากันเบา ๆ ชายหนุ่มแสดงสีหน้าดุร้ายและน่ากลัวในขณะที่กลิ่นอายรอบตัวดูสงบคลุมเครือ ทั้งยังแฝงไปด้วยแรงกดดัน เหมือนมีภูเขาไฟอยู่ในร่าง แม้จะดูสงบ แต่ก็พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม สายตาของเฉินซีเพียงแค่กวาดผ่านชายที่สวมชุดสีดำคนนั้น และหยุดอยู่ที่สตรีที่อยู่เคียงข้าง
นางมีผมยาวสลวยปล่อยลงมาดุจน้ำตก รูปร่างเพรียวบางและสง่างาม ผิวขาวราวกับหยกที่บอบบาง นางสวมเสื้อผ้าสีดำโปร่งสบาย เผยให้เห็นท่าทางโดดเดี่ยวและเย็นชา ประหนึ่งดอกโบตั๋นสีดำยืนต้นอย่างภาคภูมิบนหน้าผาสูงชัน
นางคือ อินเหมียวเมี่ยว ผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับสามในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!
เมื่อจ้องมองไปยังอินเหมียวเมี่ยว อุณหภูมิในดวงตาที่หรี่ลงของเฉินซีก็เย็นลงทันที จนไร้อารมณ์ดุจน้ำแข็ง
ในเวลาเดียวกัน อินเหมียวเมี่ยวก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน นางตกตะลึง ก่อนที่ความเกลียดชังและจิตสังหารที่ไม่สามารถปกปิดได้จะเปล่งประกายภายในดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวคู่นั้น
เมื่อสายตาของทั้งสองปะทะกัน เสียงฟ้าร้องก็ดังก้องอยู่ในอากาศ!
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มกดดันเล็กน้อย
เหลียงเริ่นเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ เขาทราบดีถึงความเป็นศัตรูระหว่างเฉินซีและอินเหมียวเมี่ยว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้
เถี่ยชิวอวี้อาศัยอยู่ภายในเมืองจตุรเทพตลอดทั้งปี และเป็นผู้นำทางในโถงวิญญาณยุทธ์ ชายชราย่อมทราบเรื่องนี้อย่างชัดเจน เขาจึงหัวเราะขึ้นมาทันที “ตอนนี้ข้ากำลังอธิบายเกี่ยวข้องกับการทดสอบให้เฉินซีฟัง เจ้าทั้งคู่ต้องการฟังมันด้วยหรือไม่?”
อินเหมียวเมี่ยวชำเลืองมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นยะเยือกอีกครั้ง ก่อนจะเบือนสายตาออก จากนั้นส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น”
ขณะที่กล่าว นางก็หันหลังกลับและเดินไปยังส่วนลึกของห้องโถง
มีห้องหลายห้องภายในห้องโถง มันเป็นที่พักสำหรับศิษย์ที่จะเข้าร่วมในการทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
เมื่ออินเหมียวเมี่ยวจากไป บรรยากาศในห้องโถงก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
แต่ในช่วงเวลาต่อมา บรรยากาศนี้ถูกทำลายด้วยเสียงเสียงหนึ่ง “ในอดีต ฝีมือของเจ้าไม่คู่ควรที่จะท้าทายแม่นางเหมียวเมี่ยว และตอนนี้เจ้าก็ยังไม่คู่ควร”
ขณะที่ชายสวมชุดสีดำเดินเข้าไปในห้องโถง จู่ ๆ เขาก็หยุดอยู่ข้าง ๆ เฉินซีชั่วครู่ แต่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่ร่างของอินเหมียวเมี่ยวที่กำลังจะหายไปในส่วนลึกของห้องโถงขณะกล่าวอย่างใจเย็น “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอาจถูกคัดออกในรอบแรกของการทดสอบด้วยอันดับของเจ้าในตอนนี้”
เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ แหบแห้ง สงบ เผยกลิ่นอายที่เปี่ยมด้วยพลัง มันเหมือนกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอย่างไม่ใส่ใจ ไม่มีการเยาะเย้ยหรือดูถูกอยู่ในน้ำเสียง แต่กลับเปิดเผยความต้องการปฏิเสธออกมาเด่นชัด
และทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มชุดดำก็เดินจากไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉินซีแม้แต่หางตา ซึ่งในทำนองเดียวกัน เหลียงเริ่นและเถี่ยชิวอวี้ก็ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาเลย ชายในชุดดำจึงไม่สนใจทั้งสองเช่นกัน
ราวกับนอกจากตัวเขา ก็มีเพียงอินเหมียวเมี่ยวเท่านั้นที่อยู่ในสายตา
สีหน้าของเหลียงเริ่นมืดมนเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเย็น “มารดามัน! ถูกอินเหมียวเมี่ยวซื้อตัวด้วยโอสถศักดิ์สิทธิ์เพียงขวดเดียว!”
สีหน้าของเถี่ยชิวอวี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชายชรายิ้มขณะมองเฉินซี “เจ้าเด็กนั่นคือเจียงจูหลิว เจ้าจำเขาไม่ได้หรือ?”
เฉินซีพยักหน้า “ข้าไม่รู้จัก และไม่อยากรู้จักในอนาคตเช่นกัน”
เฉินซีไม่ได้หงุดหงิดกับการที่เจียงจูหลิวปฏิเสธความแข็งแกร่งของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เฉินซีรู้สึกผิดหวังเพียงเล็กน้อย เพราะมักได้ยินคนกล่าวว่าเจียงจูหลิวเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาและน่าตกใจ เนื่องจากเจียงจูหลิวมีชาติกำเนิดต่ำต้อยและไม่ได้สังกัดนิกายใด ๆ แต่กลับสามารถครองอันดับหนึ่งของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปมาได้หลายสิบปี อีกทั้งยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่ง
ก่อนหน้านี้เฉินซีก็ค่อนข้างชื่นชมในตัวเจียงจูหลิว แต่เมื่อได้พบกับเจียงจูหลิว และถูกตัดสินอย่างตรงไปตรงมาจากอีกฝ่าย เฉินซีจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดหวังได้
“ไม่จำเป็นต้องสนใจ เขาเป็นเพียงคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย จึงคิดว่าตนเองสามารถไต่เต้าขึ้นไปยังกิ่งไม้ที่อยู่สูงอย่างตระกูลอินได้ แล้วจะนำเกียรติยศและความรุ่งเรืองมาแก่บรรพบุรุษ ข้าเคยเห็นคนที่น่าขยะแขยงแบบนี้มามากนัก” เหลียงเริ่นกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามและปลอบใจเฉินซี
เฉินซีขมวดคิ้ว “ตระกูลอินคงจ่ายให้เขาอย่างงามกระมัง?”
เหลียงเริ่นหัวเราะเยาะเย้ยและเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามมากขึ้น “แน่นอน ข้าได้ยินมาว่า ตราบเท่าใดที่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ อินเหมียวเมี่ยวก็จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเขา”
เฉินซีพยักหน้า คงเป็นเช่นนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกระทำตัวเช่นนั้น
หลังจากนั้น เฉินซีก็นึกถึงสิ่งที่เจียงจูหลิวกล่าวก่อนหน้านี้ และเอ่ยถามออกไป “การทดสอบคัดเลือกรอบแรกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าคืออันใดหรือ?”
คราวนี้เป็นเถี่ยชิวอวี้ที่ตอบ ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “การทดสอบคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แบ่งออกเป็นสามรอบ รอบแรกนั้นง่ายที่สุด และเป็นการทดสอบโดยยึดจากอันดับในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ผู้ที่ไม่ติดอันดับในพันอันดับแรกจะถูกกำจัดออกไป”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายชราเหลือบมองเฉินซี แล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้ อันดับของเจ้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า คืออันดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า และถูกกำจัดได้ง่าย เพราะอย่างไรก็ตาม บุคคลชั้นนำจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น ภพพุทธองค์ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ และอื่น ๆ ต่างเข้าร่วมการทดสอบการคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้”
ราวกับรู้สึกว่าคำอธิบายของเถี่ยชิ่วหยูไม่ชัดเจนพอ เหลียงเริ่นจึงขัดจังหวะแล้วกล่าวว่า “กองกำลังเหล่านั้นมาจากนอกภพเซียน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดอันดับของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการทดสอบคัดเลือกรอบแรกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทดสอบต่อหน้ากำแพงแสงพร้อมกับเรา ด้วยวิธีนี้ ผู้ที่ติดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า จะต้องถูกผลักลงอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เฉินซีก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “นี่ไม่เท่ากับแย่งสิทธิ์ที่เป็นของภพเซียนเราหรอกหรือ?”
———————————-