บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1120 ตราดาราม่วง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1120 ตราดาราม่วง

บทที่ 1120 ตราดาราม่วง

ภายในโถงวิญญาณยุทธ์ทวีปเนตรสวรรค์ จั่วชิวเคอนั่งหลังตรงอยู่ตำแหน่งเจ้าภาพภายในห้องโถงใหญ่ นางเปลี่ยนเป็นชุดคลุมหรูหราสีดำเหลือบทอง สวมมงกุฎขนนก หว่างคิ้วเผยแววไร้อารมณ์

รอบตัวนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายสง่างามสูงส่ง ทำให้มองข้ามใบหน้างดงามของนางไปได้

ที่นั่งด้านล่างเจ้าภาพคือชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงสาวสวมชุดผ้าโปร่งสีดำ มีท่าทางห่างเหินเย็นชา ฝ่ายชายสวมชุดสีดำ ใบหน้าซีดขาวทว่ามั่นคงและสงบนิ่ง

ทั้งสองคืออินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิว

ภายในห้องโถงตระกูลจั่วชิวท่ามกลางบรรยากาศเคร่งขรึมและสง่างาม อินเหมียวเมี่ยวยังคงมีสีหน้านิ่งสงบดังเดิม

เจียงจูหลิวเองก็เช่นกัน ทว่าจั่วชิวเคอกลับสังเกตเห็นนิ้วที่ถือถ้วยชาของชายหนุ่มดูเกร็งเล็กน้อย ในใจคงรู้สึกประหม่าอยู่เป็นแน่

เมื่อคิดถึงจุดนี้ จั่วชิวเคอก็ยิ่งรู้สึกเหยียดหยาม อันดับหนึ่งแห่งเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปทักษิณาหรือ? คนไม่เคยเห็นโลกเช่นนี้สุดท้ายก็เป็นเพียงพวกชาติกำเนิดต่ำต้อย

ระหว่างที่คิด จั่วชิวเคอก็มองอินเหมียวเมี่ยว หากให้เปรียบกัน อินเหมียวเมี่ยวที่มาจากตระกูลโบราณอันเลื่องลือเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระยังไม่สามารถทำให้จั่วชิวเคอมองอีกฝ่ายสูงส่งได้เลย

นี่คือศักดิ์ศรีของหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล ไม่ว่าใครจะมีพลังบ่มเพาะสูงส่งเพียงใด แต่ความต่างระหว่างฐานะและทรัพยากรก็ทำให้ไม่มีใครสูงส่งในสายตานาง

อารมณ์หลากหลายวาบผ่านดวงตาจั่วชิวเคอ และนางไม่คิดปิดบังสักนิด ดังนั้นเจียงจูหลิวจึงสังเกตเห็น เมื่อถูกผู้อื่นเหยียดหยามเช่นนี้ นับเป็นเรื่องเล็กน้อย เขาประสบมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นจึงชินชาแล้ว

เพราะเหตุนี้ชายหนุ่มจึงมีความอดทนสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในใจไร้ความรู้สึก ในทางกลับกัน เขารู้สึกอ่อนไหวต่อการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก

ยิ่งหลังจากที่ได้ความช่วยเหลือจากตระกูลอิน ความคิดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาอยากพิสูจน์ตนเอง อยากสร้างตระกูลเจี้ยงขึ้นใหม่ นำความรุ่งเรืองสู่บรรพบุรุษ!

เดิมทีชายหนุ่มอยู่อันดับหนึ่งเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าทวีปทักษิณา ตอนนี้ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากตระกูลอิน ก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจกับความสำเร็จที่ได้รับ แต่กลับต้องมาทนกับสายตาหยามเหยียดอีกครั้ง เหมือนถูกเข็มนับล้านทิ่มแทงใจ ทำให้รู้สึกโกรธและชิงชังจั่วชิวเคอที่นั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพขึ้นมา

แต่ดวงจิตแห่งเต๋าที่ขัดเกลามานานนับปีทำให้ปิดบังความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้มิด ดูจากภายนอกแล้วไม่อาจเห็นร่องรอยความเกลียดชังใด ๆ

ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะสายตาดูถูกเหยียดหยามจากจั่วชิวเคอ

“ข้าเชิญพวกเจ้าทั้งสองคนมาที่นี่ก็เพื่อร่วมต่อสู้กับเฉินซีในบททดสอบที่สองของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หากเห็นพ้องกัน ทั้งสองคนจะได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลจั่วชิวของข้า อีกทั้งตระกูลจั่วชิวยังจะมองเจ้าเป็นดั่งคนในตระกูล” จั่วชิวเคอเอ่ยตามตรงด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ไม่อาจโต้แย้งได้ “พวกเจ้าทั้งสองคงรู้ดีว่าทำงานร่วมกับตระกูลจั่วชิวแล้วจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง”

นางว่าจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบเท่านั้น

วิธีการตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวชะงักไป ระหว่างทางมาที่นี่ ทั้งสองคาดเดาไว้หลายความเป็นไปได้ แต่ไม่คิดเลยว่าตระกูลจั่วชิวอยากร่วมมือเพราะต้องการจัดการเฉินซี!

พวกเขาไม่กล้าคิดเลยว่าเฉินซีไปล่วงเกินตระกูลจั่วชิวไว้!

เพราะหากเทียบว่าตระกูลจั่วชิวเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาลแล้ว เฉินซีนับว่าตัวเล็กกระจ้อยร่อย ฝ่ายหนึ่งเป็นเหมือนเหยี่ยวสยายปีกบนฟ้า อีกฝ่ายเหมือนมดบนพื้นดิน ต่างกันราวฟ้ากับเหว เช่นนี้แล้วมดจะไปล่วงเกินเหยี่ยวได้อย่างไร?

นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว!

แต่ทั้งสองสังเกตเห็นเช่นกันว่าจั่วชิวเคอนั้นจริงจัง ดังนั้นมันต้องเป็นเรื่องจริงแน่ เมื่อคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกซับซ้อนขึ้นมาในใจ

แม้เฉินซีจะตายไปเสียตอนนี้ แต่ในเมื่อสามารถเป็นศัตรูกับตระกูลจั่วชิวได้ เช่นนั้นก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีแล้วกระมัง? เจียงจูหลิวคิดอยู่นาน จากนั้นก็เห็นถึงปัญหาหนึ่ง “คุณหนูจั่วชิว เฉินซีนั่นอยู่อันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า คงตกรอบไปตั้งแต่การทดสอบรอบแรกแล้วกระมัง?”

จั่วชิวเคอเหลือบมองเจียงจูหลิวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเหมือนมองไม่เห็นเขาแล้วลากสายตาไปมองอินเหมียวเมี่ยวแทน

การกระทำเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้เจียงจูหลิวรู้สึกเจ็บใจ ได้แต่กัดฟันเงียบ ๆ สาบานกับตนเองว่าหากแข็งแกร่งขึ้นได้ จะกลับมาแก้แค้นความอับอายที่ต้องเจอในวันนี้แน่!

“คุณชายเจียงพูดมิผิด” อินเหมียวเมี่ยวเหลือบมองเจียงจูหลิว คิดอยู่นานก่อนตอบ “หรือคุณหนูจั่วชิวคิดว่าเฉินซีจะผ่านบททดสอบแรกได้?”

เจียงจูหลิวรู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้คำยืนยันจากอินเหมียวเมี่ยว ความโกรธความเกลียดในหัวใจลดลงมาก

จั่วชิวเคอคลี่ยิ้มเอ่ยสบาย ๆ “ไม่ว่าจะผ่านรอบแรกไปได้หรือไม่ ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองยินดีร่วมมือกับตระกูลจั่วชิวหรือไม่”

นางย่อมไม่บอกว่าองครักษ์โมฆะทั้งสิบสองคนของตระกูลนางต้องตายตกด้วยน้ำมือเฉินซี ไม่เช่นนั้นก็คงถือเป็นการทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้าแน่

อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวเหลือบมองกัน สุดท้ายก็ตอบตกลง

เหตุผลไม่ซับซ้อน ไม่ว่าเฉินซีจะผ่านเข้าไปถึงรอบที่สองหรือไม่ หากพวกเขาสามารถสานสัมพันธ์กับตระกูลจั่วชิวได้ เช่นนั้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและต่อตระกูล

ในอดีต โอกาสเช่นนี้ไม่ว่าพยายามมากมายเพียงใดก็ยากจะได้มา ตอนนี้อีกฝ่ายกลับยื่นข้อเสนอให้ มีหรือจะไม่ตอบตกลง?

มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะตอบปฏิเสธ!

เห็นได้ชัดว่าอินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวไม่ใช่คนโง่ รู้ดีว่าโอกาสเช่นนี้หายากเพียงใด จึงแทบไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไรให้มากความแล้วตอบตกลงทันที

จั่วชิวเคอเห็นแล้วระบายยิ้ม ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เพราะผลลัพธ์ออกมาตามที่นางคาดไว้

นางปรบมือเสียงเบา ข้ารับใช้สองคนก็ปรากฏขึ้น แต่ละคนถือกล่องหยกไว้ในมือเดินนำมาส่งให้อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิว

ข้ารับใช้เปิดกล่องหยก เผยให้เห็นสมบัติสีดำขาวที่ส่องประกายแวววาวไปทั่วทั้งห้องโถง แผ่กลิ่นอายทรงอำนาจออกมา

มุกเชิ่นหยินหยาง!

อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวหรี่ตาลงพร้อมกันเมื่อเห็นสมบัติภายในกล่องหยก มันคือสมบัติล้ำค่าคู่หนึ่ง หนึ่งหยินหนึ่งหยาง เมื่อคู่บำเพ็ญเพียรใช้บ่มเพาะพลังร่วมกันจะสามารถเร่งการบ่มเพาะของอีกฝ่าย ทำให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นเป็นสองเท่า!

สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มีแต่ได้มาเพราะวาสนา ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาด

“ได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังจะผูกคู่บำเพ็ญเพียร ถือเสียว่ารับของเล่นสอง ชิ้นนี้ไปเป็นของขวัญล่วงหน้าก็แล้วกัน” จั่วชิวเคอเอ่ยเสียงอย่างสบาย ๆ

“ขอบคุณคุณหนูจั่วชิวสำหรับของขวัญ” อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน อดแสดงความตื่นเต้นออกมาไม่ได้ ทั้งสองไม่คิดเลยว่าจะได้รับสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ในการพบหน้ากันครั้งแรกกับจั่วชิวเคอ

เป็นการแสดงถึงความร่ำรวยของตระกูลจั่วชิวได้ดีทีเดียว สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล เพราะความสามารถเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็มีได้

“เอาล่ะเมื่อบททดสอบที่สองเริ่มขึ้น ข้าจะส่งคนไปบอกว่าต้องทำอย่างไรบ้าง” จั่วชิวเคอโบกมือ

อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวลุกขึ้นเอ่ยลาแล้วออกไปทันที

“คุณหนู กองกำลังของเราก็มากพอจะดีดเด็กเฉินซีนั่นออกจากการแข่งขันในรอบที่สองได้แล้ว เหตุใดจึงยังต้องให้สองคนนั้นช่วยอีก?” หลังจากอินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวออกไปแล้ว ชายหนุ่มท่าทางสุขุมมากฝีมือผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นแล้วมุ่นคิ้วถาม

“ผู้ร่ำรวยย่อมไม่เสียแรงทำเอง ในเมื่อเราสามารถพึ่งผู้อื่นจัดการศัตรูได้ เหตุใดต้องใช้แรงเราเองด้วย?” จั่วชิวเคอเอ่ยเสียงเรียบ “อีกทั้งข้ายังตรวจสอบมาแล้ว ในอดีตอินเหมียวเมี่ยวมีความบาดหมางกับเฉินซีมาก่อน ดังนั้นให้นางเป็นคนจัดการจึงดีที่สุด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้านางก็เย็นชาถึงขีดสุด “สุดท้ายถึงทำไม่สำเร็จ เราค่อยลงมือตอนนั้นก็ยังไม่สาย”

ทันทีที่เดินออกมาจากโถงวิญญาณยุทธ์ทวีปเนตรสวรรค์ ความตื่นเต้นของอินเหมียวเมี่ยวก็หายไปทันที กลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นดังเดิม

“เฉินซีเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ดังนั้นอาจผ่านรอบแรกไปได้ แต่เราต้องระวังถูกตระกูลจั่วชิวหลอกใช้ด้วย” อินเหมียวเมี่ยวเอ่ยเสียงเบาผ่านกระแสปราณ

“หึ! ข้าไม่ชอบจั่วชิวเคอมาตั้งแต่แรกแล้ว ย่อมไม่เต็มใจทำงานให้นางหรอก” เจียงจูหลิวส่งเสียงเฮอะ

“เช่นนั้นก็ดี สามารถสานสัมพันธ์กับตระกูลจั่วชิวได้ครั้งนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราในอนาคตเช่นกัน ได้ยินว่ายอดฝีมือหลายคนจากตระกูลจั่วชิวก็สอนอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วย” อินเหมียวเมี่ยวนัยน์ตาลึกล้ำพลางเอ่ยเสียงเบา

“เช่นนั้นเราต้องขอบคุณเฉินซีที่ช่วยมอบโอกาสเช่นนี้ให้ไม่ใช่หรือ?” เจียงจูหลิวเอ่ยเยาะ

อินเหมียวเมี่ยวได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้ม พึมพำออกมา “จริง ๆ แล้วข้าสงสัยว่าเฉินซีไปล่วงเกินตระกูลจั่วชิวอย่างไรจนฝั่งนั้นถึงกับต้องพึ่งเราจัดการกับเขา… เป็นเรื่องที่แปลกยิ่ง”

เจียงจูหลิวเอ่ยด้วยเสียงไร้อารมณ์ “เด็กคนนั้นหยิ่งยโสมาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้ามาในทวีปทักษิณาก็ล่วงเกินเจ้ามานักต่อนัก นับเป็นตัวปัญหาโดยแท้ ไม่แปลกที่จะล่วงเกินตระกูลจั่วชิวเข้า”

อินเหมียวเมี่ยวหัวเราะเสียงเบาก่อนจะวางปลายนิ้วทาบริมฝีปากแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก

“นี่คือตราดาราม่วง เจ้าต้องดูแลมันให้ดี ไม่เพียงแต่จะใช้ระหว่างการทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น แต่ตราดาราม่วงจะเป็นสิ่งยืนยันตัวตนเมื่อได้เข้าเป็นศิษย์ ต่อไปจะเกี่ยวข้องกับพลังบ่มเพาะของเจ้าด้วย” ภายในห้องโถง เถี่ยชิวอวี้เรียกเฉินซีเข้ามาแล้วส่งตราสีม่วงสดใสกว้างราวสามนิ้วมือ ใหญ่เท่ากำปั้นทารก ผิวเรียบสนิทและดูโปร่งแสงให้

“ทีนี้รีบใช้ปราณเซียนพิสุทธิ์ขัดเกลามันเสีย หากใครแย่งไปจะหามาใหม่ไม่ได้แล้วนะ” เถี่ยชิวอวี้สั่งด้วยใบหน้าจริงจัง

ชายหนุ่มรับมาด้วยความระมัดระวังก่อนจะเคลื่อนปราณเซียนพิสุทธิ์ ตราดาราม่วงหลอมรวมเข้าฝ่ามือแล้วหายไปทันที

พร้อมกันนั้น ประกายสีม่วงแวววาวพลันปรากฏบนไหล่ซ้ายของเขา มันคือตราดาราม่วง ตอนนี้เฉินซีเห็นตัวอักษรลอยได้หลายแถวปรากฏขึ้นบนตราดาราม่วง

ชื่อ: เฉินซี

รกราก: ทวีปทักษิณา

พลังบ่มเพาะ: ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น

เทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า: 999

แต้มดารา: ไม่มี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท