บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1123 หากไร้วาสนาก็มิอาจเป็นราชัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1123 หากไร้วาสนาก็มิอาจเป็นราชัน

บทที่ 1123 หากไร้วาสนาก็มิอาจเป็นราชัน

ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!

เฉินซีทั้งตกตะลึงและชื่นชมจนเผยความรู้สึกผ่านแววตา

เนื่องจากขอบเขตราชันเซียนนั้นอยู่เหนือขอบเขตเซียนปราชญ์มาแต่ไหนแต่ไร มีผู้เยี่ยมยุทธ์เพียงไม่กี่คนในภพเซียนที่สามารถบรรลุมาถึงขอบเขตนี้ และได้รับความเคารพจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

เหตุผลก็คือ นอกจากจะต้องบ่มเพาะในวิถีสู่ความเป็นเซียนจนถึงจุดสูงสุด รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในดวงจิตแห่งเต๋าและกฎแห่งมหาเต๋าแล้ว หากมีใครต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการต่อต้านสวรรค์และต้องคว้าวาสนาของทั้งสามภพให้ได้!

กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หากไร้วาสนาก็มิอาจเป็นราชัน!

น่าเสียดาย ที่วาสนาของทั้งสามภพนั้นไร้รูปร่าง มันเกิดจากการหมุนเวียนของมหาเต๋า ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้หยุดอยู่ที่หน้าขอบเขตราชันเซียน เพราะไม่อาจคว้าวาสนาของทั้งสามภพได้

แม้แต่ปัจจุบัน ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตในสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน มีเพียงสี่คนที่บรรลุขอบเขตราชันเซียนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี!

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันยากเพียงใดที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน

ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นนั้นเหนือกว่าขอบเขตเซียนปราชญ์อยู่เล็กน้อย ทว่ายังด้อยกว่าขอบเขตราชันเซียนที่แท้จริง มันอยู่ระหว่างสองขอบเขตนี้ และเป็นตัวแทนของผู้ที่ก้าวผ่านกำแพงไปสู่ขอบเขตราชันเซียน แต่อีกเท้าหนึ่งยังคงอยู่นอกกำแพง

ผู้คนเหล่านี้ล้วนมีความสามารถในการพุ่งเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนแล้ว ขาดเพียงวาสนาเพื่อขัดเกลาตนเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอาจถือได้ว่า เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ขอบเขตราชันเซียน!

ในปัจจุบัน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ใช้บุคคลที่มีอำนาจสูงสุด เป็นประธานในการทดสอบการรับสมัคร ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์อีกหกคนที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าให้ความสำคัญกับการรับสมัครนี้มากเพียงใด

“ฮึ่ม! หวังต้าวหลูคนนั้นชักอวดดีมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!” เสียงคำรามทุ้มต่ำและเย็นชาของเถี่ยชิวอวี้ลอดผ่านหูของเฉินซี ชายหนุ่มจึงหันกลับมาและเห็นเถี่ยชิวอวี้กำลังแค่นหัวเราะเสียงเย็น ขณะจ้องมองชายวัยกลางคนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นซึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ท่าทางของชายชรามีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน

“หวังต้าวหลู? คงไม่ใช่คนที่ทำให้ผู้อาวุโสต้องสูญเสียศิลาอมตะไปหนึ่งแสนก้อนใช่หรือไม่?” เฉินซีตกใจ ขณะนึกถึงคำบ่นของเถี่ยชิวอวี้เมื่อตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเซียนสัประยุทธ์

ชายหนุ่มกล่าวคำเหล่านี้ผ่านกระแสปราณ เพราะถึงอย่างไร คนผู้นี้ก็อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

แต่ทว่า เฉินซีก็ยังสังเกตเห็น ชายวัยกลางคนที่ชื่อหวังต้าวหลูชำเลืองมองตนโดยไม่ได้ตั้งใจ

แม้ว่าจะเป็นการมองเพียงแวบเดียว แต่เฉินซีกลับรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณที่สั่นสะท้านราวกับว่าการมองนั้นได้เปิดเผยความลับทั้งหมดที่ตนปกปิดไว้ทั้งหมด!

โชคดีที่เป็นเพียงกวาดผ่านร่างของเฉินซี ก่อนจะหลุดที่เถี่ยชิวอวี้อย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตกตะลึงในใจ เพราะการจ้องมองของขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นคนนี้ ช่างน่าหวั่นเกรงจริง ๆ

เถี่ยชิวอวี้กลับไม่หวั่นไหว ชายชราเชิดหน้าอกผอมของตนขึ้น ขณะจ้องมองหวังต้าวหลูอย่างเฉยเมย ความไม่พอใจบนใบหน้าก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น

เมื่อเฉินซีสังเกตเห็นว่า หวังต้าวหลูได้ถอนสายตาไปและไม่ได้ใส่ใจต่อเถี่ยชิวอวี้ สิ่งนี้ทำให้ชายหนึ่งตกตะลึงในใจ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เบื้องหลังของเถี่ยชิวอวี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มไม่คิดว่าระหว่างเถี่ยชิวอวี้และหวังต้าวหลูเป็นความปฏิปักษ์ ในทางกลับกัน จากปฏิกิริยาของพวกเขา คงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาบางอย่างแน่

“วันนั้นที่ข้าเห็นเจ้าในโถงวิญญาณยุทธ์เป็นครั้งแรก ข้าตั้งใจจะแนะนำเจ้าให้หวังต้าวหลูเพื่อเป็นศิษย์ของเขา น่าเสียดายที่ตาแก่คนนี้มีตาแต่หามีแววไม่ เขากลับเลือกเด็กสาวมาเป็นศิษย์ของตน ทำให้ข้าต้องเสียศิลาอมตะหนึ่งแสนก้อนไปโดยเปล่าประโยชน์!” เถี่ยชิวอวี้ถอนหายใจ ครั้งนี้ชายชราใช้การกล่าวผ่านกระแสปราณ และดูเหมือนไม่ต้องการให้หวังต้าวหลูได้ยินในสิ่งนี้

ชายชราตบไหล่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “เจ้าต้องทำให้ดี อย่าทำให้ศิลาอมตะหนึ่งแสนก้อนของข้าต้องสูญเปล่า เจ้าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนในโลกได้เห็นว่า หวังต้าวหลูมีตาแต่หามีแววไม่ และเขาสมควรเสียใจไปตลอดชีวิต! เขาสมควรไม่ได้รับโอกาสได้สอนสั่งสุริยันอันเจิดจ้า! เขาสมควรที่จะถูกนักพรตเต๋าเจี้ยงแซงหน้าตลอดไป!”

เฉินซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ศิลาอมตะหนึ่งแสนก้อนนั้นเยอะมากหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเสแสร้ง เถี่ยชิวอวี้แค่ไม่พอใจที่หวังต้าวหลูไม่ยอมรับคำแนะนำของตนเท่านั้น

แต่เมื่อชายหนุ่มนึกถึงวิธีที่เถี่ยชิวอวี้แนะนำเขาให้รู้จักขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น เฉินซีรู้สึกตกใจและสะเทือนใจอย่างมาก

“เฮ้อ น่าเสียดายที่เจ้ามีเวลาบ่มเพาะน้อยเกินไป ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเอง จะเป็นการดีกว่าที่จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างราบรื่นเสียก่อน และยังไม่สายเกินไปที่จะพิสูจน์ตัวเองกับหวังต้าวหลูในอนาคต” เถี่ยชิวอวี้ถอนหายใจและรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่คิดว่าเฉินซีจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับโลกได้ในระหว่างการทดสอบครั้งนี้ หมายความว่า เฉินซีคงไม่สามารถพิสูจน์ให้หวังต้าวหลูเห็นว่าเถี่ยชิวอวี้ได้ตัดสินใจถูกต้องได้ในวันนั้น

เฉินซีหัวเราะเบา ๆ ขณะมองเถี่ยชิวอวี้ที่หดหู่

“แต่ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากจริง ๆ นะเจ้าหนู เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของเจ้าน่าเกรงขามมากจนหาได้ยากยิ่ง จงบ่มเพาะอย่างเหมาะสม และไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าอีกดวงหนึ่งในภพเซียน”

จู่ ๆ เถี่ยชิวอวี้ก็เริ่มหัวเราะ ชายชราก็หัวเราะอย่างอิ่มเอมใจขณะกล่าวช้า ๆ ผ่านกระแสปราณ “ในตอนนั้น หวังต้าวหลูจะต้องเสียใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจในวันนี้ ในฐานะหนึ่งในอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เมื่อเขาเลือกศิษย์เอกเพื่อสืบทอดวิชา หากศิษย์คนนั้นยังอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำ เขาจะไม่สามารถรับศิษย์คนอื่นได้ ฮ่า ๆ! ด้วยวิธีนี้ เขาจะไม่สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้ ดังนั้นยิ่งเจ้าแสดงผลงานได้โดดเด่นมากเท่าใด ไอ้แก่นั้นก็จะยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น ฮ่า ๆๆๆ!!!”

เฉินซีตกตะลึงอีกครั้ง “เฒ่าเถี่ยคนนี้นิสัยเสียจริง ๆ!”

โอม!

ทันใดนั้น คลื่นพลังผันผวนรุนแรงก็เกิดขึ้นและปกคลุมพื้นที่ในระยะสองหมื่นห้าพันลี้ สิ่งที่มาพร้อมกับความผันผวนนี้คือกำแพงแห่งแสงที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มันลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตั้งตระหง่านอยู่หน้าจัตุรัส นอกจากนี้มันยังเปล่งแสงสีเขียวและหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา

หัวใจของทุกคนสั่นคลอนเมื่อเห็นสิ่งนี้ และรู้ว่าการทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน หวังต้าวหลูก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้การทดสอบรอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้น ศิษย์ทุกคนที่ครอบครองตราดาราม่วง จงยืนอยู่ใต้กำแพงแห่งแสงเพื่อเริ่มรับการทดสอบ คนอื่นห้ามรบกวนหรือส่งเสียงดังเป็นอันขาด!”

เสียงของชายวัยกลางคนเหมือนเสียงระฆังยามเช้า ดังก้องกังวานอยู่ในอากาศ

ทันใดนั้น ร่างจำนวนมากเคลื่อนผ่านฝูงชน และพุ่งเข้าหากำแพงแห่งแสงอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหนูรีบไปเถอะ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับชัยชนะ ข้าจะรอฟังผลลัพธ์ที่นี่” เถี่ยชิวอวี้โบกมือและกล่าวอย่างสบาย ๆ

เฉินซีและคนอื่น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อยับยั้งความตื่นเต้นในใจของตน จากนั้นรีบวิ่งไปที่กำแพงแห่งแสง

กำแพงแห่งแสงดูเหมือนตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ที่เปล่งรัศมีใสกระจ่างอยู่รอบ ๆ ทำให้มันดูศักดิ์สิทธิ์และกว้างใหญ่

ในช่วงเวลาสั้น ๆ มีร่างหนึ่งพันสองร้อยสามสิบหกร่างยืนอยู่ใต้กำแพงแห่งแสง ร่างเหล่านี้คือเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นนำของภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และดินแดนลึกลับอื่น ๆ อีกมากมาย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีศิษย์ชั้นนำทั้งหมดสองร้อยสามสิบหกคนที่มาจากนอกภพเซียน

เฉินซีที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน ในขณะที่เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงยืนอยู่ที่ด้านข้างของตน ส่วนอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวกลับยืนอยู่ใกล้ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นแทน ดูเหมือนพวกนางจะไม่อยากข้องแวะกับเฉินซีนัก

เฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจ สายตาต่างมองไปที่กำแพงแห่งแสงอย่างแน่วแน่

ไม่เหมือนครั้งก่อน การทดสอบครั้งนี้ต้องการให้ทุกคนยืนนิ่ง ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว กำแพงแห่งแสงจะทดสอบทุกคน โดยอันดับจะปรากฏอยู่บนนั้น

เหล่าศิษย์ที่มาร่วมในการทดสอบล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแนวหน้าในทวีปต่าง ๆ ดังนั้นจึงรับรู้ถึงขั้นตอนการทดสอบนี้ดี อย่างไรก็ตามเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้จริง ๆ พวกเขาก็ยังรู้สึกกระวนกระวาย ตื่นเต้น ดีใจ และวิตกกังวล บางคนถึงขั้นลอบกำหมัดแน่น

สำหรับพวกเขา การทดสอบตรงหน้าเปรียบเสมือนประตูมังกร ตราบเท่าที่ผ่านมันไปได้ พวกเขาจะเป็นเหมือนปลาทองที่กลายร่างเป็นมังกร และจะมีอนาคตอันสดใสในการบรรลุมหาเต๋า!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะสามารถรักษาความสงบได้อย่างไร?

บรรยากาศเงียบและเคร่งขรึม ไม่มีใครกล่าวอะไรเลยสักคำ รวมถึงฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์รอบ ๆ ทุกคนเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ จ้องมองกำแพงแห่งแสงอย่างพร้อมเพรียงกัน ความคาดหวังฉายชัดผ่านใบหน้าและแววตาของทุกคน

เมื่อเห็นว่าศิษย์ที่เข้าร่วมทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว หวังต้าวหลูที่ยืนอยู่กลางอากาศก็พยักหน้าเล็กน้อย

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์หกคนที่ยืนอยู่เคียงข้างชำเลืองมองกันและกัน จากนั้นพวกเขาก็สร้างผนึกเซียนในเวลาเดียวกัน พากันปลดปล่อยอสนีบาตเซียนจำนวนมหาศาลออกมา และพุ่งเข้าสู่กำแพงแห่งแสงราวกับผืนน้ำที่กว้างใหญ่

โอม! โอม!

ทันใดนั้น กำแพงแห่งแสงก็ปล่อยคลื่นเสียงแปลก ๆ และความผันผวนอันไร้ขอบเขต มันเหมือนกับสายน้ำอุ่น และสายลมอ่อน ๆ ซึ่งปกคลุมศิษย์ทั้งหนึ่งพันสองร้อยสามสิบหกคนที่อยู่ตรงหน้ากำแพงแห่งแสง

ทุกคนสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า ดวงแสงสีม่วงส่องแสงลอยขึ้นจากไหล่ซ้ายของศิษย์ทุกคน น่าแปลกที่มันถูกสร้างขึ้นจากตราดาราม่วง

“แน่นอนว่าการทดสอบในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับแต้มดาราเช่นกัน ตามแผนเดิมที่วางไว้ เฉพาะศิษย์ที่อยู่ในร้อยอันดับแรกของการทดสอบรอบแรกเท่านั้นที่จะสามารถได้รับแต้มดาราเป็นรางวัล”

“ใช่แล้ว ผู้ที่ได้ร้อยอันดับแรกจะได้รับรางวัลเป็นแต้มดาราหนึ่งร้อยแต้ม ห้าสิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลเพิ่มอีกสองร้อยแต้ม สิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลเพิ่มอีกห้าร้อยแต้ม และสามอันดับแรกจะได้รับรางวัลเพิ่มอีกหนึ่งพันแต้มดารา ยิ่งกว่านั้นอันดับแรกจะได้รับรางวัลแต้มดาราเพิ่มอีกพันแต้ม!”

“สวรรค์! นั่นเป็นจำนวนที่มหาศาลยิ่ง ข้าได้ยินมาว่าแต้มดาราหนึ่งร้อยแต้มก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”

ฝูงชนที่อยู่ไกลออกไปกระซิบกระซาบกันไม่หยุดหย่อนเมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องกำแพงแห่งแสง เนื่องจากกลัวจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

“จำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงจากภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และดินแดนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังไม่ขาดแคลนผู้ที่โดดเด่นในหมู่พวกเขา ข้าสงสัยว่าตำแหน่งของจี้เซวียนปิงซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง จ้งลี่ซวินอันดับสอง และเจี้ยงฉางไฮ่อันดับสามในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าจะได้รับผลกระทบหรือไม่…”

“ข้าได้ยินข่าวมาว่า เจิ่นลู่ ศิษย์ชาวพุทธโดยกำเนิดของภพพุทธองค์ อ้าวอู่หมิงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของภพมังกร และจ้าวเมิงลี่ผู้สืบเชื้อสายมาจากวิหคอมตะที่แท้จริงของภพวิหคอมตะ ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับวาสนา และมีพรสวรรค์ที่ทำให้โลกต้องสั่นสะท้าน ดังนั้นตามคำคาดการณ์ของข้า พวกเขาทั้งสามจะสามารถไต่ขึ้นสู่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้อย่างแน่นอน”

“น่าเสียดายที่อัจฉริยะระดับแนวหน้าของภพมาร ภพวิญญาณ และภพโอสถได้มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาอีกหกแห่งเพื่อเข้าร่วมการทดสอบการคัดเลือก มิฉะนั้นการแข่งขันครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่านี้แน่”

“สรุปแล้ว การคุกคามจากภายนอกก็มีอยู่จริง ดังนั้นเราต้องมารอดูผลลัพธ์ในตอนท้าย”

โอม!!

ในขณะนี้ เสียงกู่ร้องสั่นสะเทือนสวรรค์และโลกก็ดังก้อง หลังจากนั้น กำแพงแห่งแสงก็พลุ่งพล่านด้วยลำแสงสีทองเจิดจ้า

ราวกับว่าดอกบัวสีทองผุดขึ้นมาจากพื้นดิน พวกมันส่องแสงระยิบระยับและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันเป็นตัวแทนชื่อของเหล่าศิษย์ชั้นนำ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท