บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1125 ชื่อเสียงกำลังผงาด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1125 ชื่อเสียงกำลังผงาด

บทที่ 1125 ชื่อเสียงกำลังผงาด

เมื่อการทดสอบรอบแรกดำเนินมาถึงจุดนี้ ข้อเท็จจริงมากมายก็สามารถอนุมานได้จากกำแพงลอยแห่งอยู่

ยกตัวอย่างเช่น ผู้เยี่ยมยุทธ์เกือบทั้งหมดในหนึ่งร้อยอันดับแรก ล้วนมาจากเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และมหาอำนาจของสี่มหาทวีป

ส่วนอีกตัวอย่างคือ ความแข็งแกร่งของผู้ที่อยู่ในร้อยอันดับแรก เกือบทั้งหมดอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ผู้ที่มีความโดดเด่นที่สุด คือมู่เซียวหลิว ชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ ชายหนุ่มเป็นเหมือนตัวประหลาดที่อยู่ในอันดับที่สี่สิบหก

ด้วยเหตุนี้ ทำให้มู่เซียวหลิวเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์หนึ่งเดียวในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งร้อยอันดับแรก เมื่อชื่อของชายหนุ่มปรากฏบนกำแพงแห่งแสง เรียกเสียงอุทานด้วยความชื่นชมจากผู้คนรอบข้างได้อย่างท่วมท้น

แต่ถึงอย่างนั้น มู่เซียวหลิวก็เป็นคนของตระกูลมู่ ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ และภูมิหลังก็ไม่ต่างจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ

แต่ในเวลานี้ กลับมีชื่อที่ไม่คุ้นเคยปรากฏในอันดับที่เก้าของกำแพงแห่งแสง และด้วยแซ่ที่ไม่คุ้นนี้เอง มันจึงดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก และทำให้ทุกคนแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง!

“เฉินซี?”

“ชายหนุ่มคนนี้คือใครกัน?”

พวกเขาสาบานต่อสวรรค์ และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดของเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ศิษย์ของมหาอำนาจในสี่มหาทวีป และไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของภพพุทธองค์ ภพมังกร หรือภพวิหคอมตะ!

และน่าประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อคำว่าทวีปทักษิณาปรากฏอยู่ข้างชื่อของเขา!

“ทวีปทักษิณา? มีการดำรงอยู่ที่เปรียบได้กับเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ในทวีปทักษิณาหรือไม่? พวกเขาจะเลี้ยงดูบุคคลที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร?”

ทุกคนประหลาดใจและตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก

แม้ว่าจะมองย้อนกลับไปในการทดสอบเพื่อคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์เช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่ง และไม่เคยปรากฏในรอบหลายพันปีที่ผ่านมา

เพราะในทุก ๆ การทดสอบ หนึ่งร้อยอันดับแรกมักถูกครอบครองโดยมหาอำนาจต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ และมันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ที่จะมีชื่อของศิษย์ที่มาจากขุมพลังอื่นติดหนึ่งในร้อยอันดับแรก!

ดังนั้น เมื่อชื่อของเฉินซีปรากฏขึ้น มันจึงเปรียบได้กับปาฏิหาริย์ และมันทำลายสถิติในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนตกตะลึง

“เฮ้อ โดยรวมแล้วเฉินซีคนนี้ช่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน เขาไม่สามารถผ่านการทดสอบของรอบแรกได้ด้วยซ้ำ แล้วเราจะร่วมมือกับศิษย์ของตระกูลจั่วชิวได้อย่างไร? เอ๊ะ? เหมียวเมี่ยวทำไมสีหน้าของเจ้าถึง…?” เจียงจูหลิวถอนหายใจผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย

เพราะก่อนที่ชื่อของเฉินซีจะปรากฏบนกำแพงแห่งแสง ตนกับอินเหมียวเมี่ยวกำลังพูดคุยกัน เพราะชื่อของพวกตนปรากฏบนกำแพงแห่งแสงแล้ว

ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การทดสอบในรอบที่สองแทน

หรืออาจกล่าวได้ว่า พวกเขากังวลเกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลจั่วชิว

แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ เจียงจูหลิวก็สังเกตเห็นว่า อินเหมียวเมี่ยวนั้นเงียบไปจริง ๆ สีหน้าของนางแข็งทื่อ ขณะที่กำลังจ้องมองไปยังกำแพงแห่งแสงนิ่ง ร่างของนางสั่นเทา ราวกับเห็นภูตผีที่น่าสะพรึงกลัวเข้าอย่างจัง

“หืม? มีอะไรผิดปกติหรือ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อน…” เจียงจูหลิวหัวเราะขณะเคลื่อนสายตาไปยังกำแพงแห่งแสงตรงหน้า หลังจากนั้น รอยยิ้มที่มุมปากก็แข็งทื่อ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า รูม่านตาหดเกร็ง ปากอ้ากว้าง ท่าทางดูโง่งมอย่างยิ่ง

“นี่ นี่ นี่ นี่…” เจียงจูหลิวรู้สึกว่าชื่อในอันดับที่เก้านั้นเสียดแทงตา และเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างยิ่ง ทำให้อึ้งจนกล่าวไม่ออก

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีใครเอาไม้ฟาดจากทางด้านหลัง มึนงงสับสนไปหมด และแม้แต่การหายใจก็กลายเป็นเรื่องยาก

เจียงจูหลิวก็ตกตะลึงเช่นเดียวกับอินเหมียวเมี่ยว สายตาจับจ้องไปที่กำแพงแห่งแสง ร่างกายแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะปั่นป่วน

ภายในห้องโถงที่ไกลจากจัตุรัส มู่หลิงหลงที่สวมชุดคลุมปักลายกลีบดอกไม้และปิดทองเป็นลวดลายของสายน้ำ ก็สังเกตเห็นชื่อที่คุ้นเคยนี้เช่นกัน นางเบิกตากว้าง ไม่สามารถระงับความตื้นเต้นที่ปรากฏบนใบหน้าได้ หญิงสาวเผยอริมฝีปากสีแดงแผ่วเบา แล้วกล่าวพึมพำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่อันดับนี้… ช่างน่าทึ่งจริง ๆ แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อันดับของเขาเหนือกว่าจั่วชิวอินและจั่วชิวเคอ ดังนั้นยัยเด็กนั้นจะต้องคลั่งตายแน่”

ที่หน้ากำแพงแห่งแสง มู่เซียวหลิวเม้มริมฝีปากด้วยความโกรธ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เขาดึงความสนใจไปจากข้ามู่เซียวหลิวไปจนหมด! แล้วนี่อะไร ชายคนนี้มาจากทวีปทักษิณา ปล่อยให้ข้าไปตามหาที่โถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปสันติบูรพาโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งยังถูกพี่ใหญ่หลิงหลงตำหนิอย่างรุนแรง… ข้าต้องหาโอกาสสู้กับเขา!”

ภายในห้องโถงอื่น จั่วชิวเคอมีท่าทางเย็นชา นางอยู่ในอันดับที่หนึ่งพันในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าก่อนการทดสอบรอบแรกจะเริ่มขึ้น และไม่มีความหวังใด ๆ ที่จะผ่านการทดสอบ ดังนั้นเมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น นางจึงกลับไปที่ห้องโถงทันทีเพื่อเฝ้ารอผล

เพราะไม่ว่าในกรณีใด แม้ว่านางจะไม่สามารถผ่านการทดสอบ แต่นางก็สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้อย่างราบรื่น โดยอาศัยอำนาจของตระกูลจั่วชิวในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นอารมณ์ของหญิงสาวจึงถือว่าสงบกว่าคนอื่นมาก

นางรู้ดีว่า เฉินซีจะไม่ถูกกำจัดอย่างแน่นอน มิฉะนั้นองครักษ์โมฆะทั้งสิบสองคนจากตระกูลจั่วชิวที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเฉินซีก็คงจะไร้ประโยชน์เกินไป

อย่างไรก็ตาม จั่วชิวเคอก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าไม่เพียงเฉินซีจะไม่ถูกคัดออก แต่ยังได้อันดับที่เก้าเสียด้วยซ้ำ แม้แต่จั่วชิวอินซึ่งเป็นผู้ร่วมการทดสอบที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลจั่วชิว ยังถูกแซงหน้าจนตกไปสู่อันดับที่สิบ!

ผลลัพธ์นี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เต็มใจที่จะเห็นมันเกิดขึ้น ดังนั้นสีหน้าของนางจึงค่อนข้างเย็นชาและเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้

“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องใช้วิธีที่พี่ใหญ่ได้สอนข้า เพื่อจัดการกับมันในการทดสอบรอบที่สอง…”

“เด็กอะไรกันนี่! เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอย่างแท้จริง!” เถี่ยชิวอวี้ตบต้นขาอย่างแรง ในขณะยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู และคิดในใจอย่างมีความสุข ‘เป็นดั่งที่ข้าคาดไว้ สำหรับอัจฉริยะที่ข้าเถี่ยชิวอวี้โปรดปราน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะมีชื่อเสียงในภพเซียน และจากข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าหนุ่มนี่ได้อันดับเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ขณะที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น! ขอข้าดูสีหน้าเสียใจของเจ้าหน่อย หวังต้าวหลู!’

ที่กลางอากาศ เซียนปราชญ์ทั้งหกต่างลอบชื่นชม ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้

“ชาติกำเนิดของเด็กคนนี้หาได้สำคัญไม่ เขาคือต้นกล้าที่ล้ำเลิศจนยากจะหยั่งถึง ถ้าเขาผ่านการทดสอบรอบที่สามได้อย่างราบรื่น ข้าจะต้องหาโอกาสพูดคุย และป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ตัวเขาไป…”

มีเพียงหวังต้าวหลูที่ยังคงเฉยเมยและเคร่งขรึม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มคนนี้มากับเถี่ยชิวอวี้ “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเฒ่าขี้เหนียวเถี่ยตั้งใจจะแนะนำเขาให้มาเป็นศิษย์ของข้าในวันนั้น ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ข้ามีศิษย์อยู่แล้ว และพรสวรรค์ของศิษย์ข้าก็เหนือกว่าเด็กนี้”

“สหายเก่าเอ๋ย ตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียใจแล้วหรือไม่? ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!” เสียงหัวเราะที่ดุร้ายของเถี่ยชิวอวี้ จู่ ๆ ก็ดังอยู่ภายในหูของหวังต้าวหลู ชายวัยกลางคนมองไปที่เถี่ยชิวอวี้ที่อยู่ห่างไกลอย่างไม่แยแส “คิดจะทำให้ข้าต้องรู้สึกเสียใจหรือ? ไว้รอจนกว่าเขาจะผ่านการทดสอบทั้งหมดเถิด”

“ฮึ่ม! ผ่านไปหลายปี เจ้าก็ยังดื้อรั้นเหมือนเคย ไม่น่าแปลกใจ ที่นักพรตเต๋าเจี้ยง…”

หวังต้าวหลูแค่นเสียงเย็น “เจ้าเฒ่าขี้เหนียวเถี่ย อย่าได้กล่าวถึงยัยเฒ่านั่น!”

“เอาล่ะ ไว้ข้าจะรอดูก็แล้วกัน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเสียใจถึงเพียงใด สหายเก่าเอ๋ย” เสียงของเถี่ยชิวอวี้หยุดลงเท่านี้

หวังต้าวหลูถอนสายตาของเขาเช่นกัน

เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงจ้องมองเฉินซีอย่างแน่วแน่ ราวกับว่ามีดอกไม้งอกออกมาจากใบหน้าของเฉินซี และท่าทางของทั้งคู่แปลกพิกลยิ่ง

“นี่มันบ้าอะไรกัน!” ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน มันเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่เมื่อควบคู่ไปกับการถอนหายใจของพวกเขา มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสุขและความตกใจที่ทั้งคู่รู้สึกตอนนี้

เฉินซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ว่าข้าจะได้อันดับที่เก้า ข้าคงบอกเจ้าทั้งสองคนไปแล้ว แต่เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็ไม่รู้…”

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เห็นกู่เยวหมิงหันไปมองเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว ก่อนที่จะพ่นคำสามคำเบา ๆ “เพียะ! เพียะ! เพียะ!”

คำพูดของเขาชัดเจนและหนักแน่น เน้นหนักทีละคำ และฟังดูเหมือนเสียงตบหน้าคน

เมื่อมันเข้าไปในหูของเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว มันทำให้ใบหน้าที่แข็งทื่อและโง่งมของทั้งสองยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น ราวกับว่ามีใครตบหน้าอย่างแรงถึงสามครั้งจริง ๆ ใบหน้าของพวกเขาร้อนผ่าว หัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง ทั้งโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นอย่างสุดขีด

เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ กู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นต่างหัวเราะ ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

เฉินซีกลับไม่ได้สังเกตเห็นฉากนี้ เพราะสายตาจับจ้องไปยังกำแพงแห่งแสงและชื่อที่กำลังปรากฏ

“ อันดับที่แปด โม่ชีอวิน”

“อันดับที่เจ็ด มู่อวี่ชง”

“อันดับที่หก เจี้ยงฉางไฮ่”

“อันดับที่ห้า อ้าวอู่หมิง”

“อันดับที่สี่ จ้งลี่ซวิน”

เมื่อชื่อเหล่านี้ปรากฏ ทุกคนก็เลิกสนใจเฉินซี และบรรยากาศก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่า จ้งลี่ซวินซึ่งแต่เดิมอยู่ที่อันดับสองและเจี้ยงฉางไฮ่ซึ่งอยู่ที่อันดับสาม ถูกผลักลงมาอยู่ที่อันดับสี่และอันดับห้าตามลำดับ มันจึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที

แม้แต่หวังต้าวหลูและเซียนปราชญ์ทั้งหกก็ขมวดคิ้ว

การจัดอันดับนี้ หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตำแหน่งสามอันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นฝีมือของภพพุทธองค์และภพวิหคอมตะที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้

สิ่งเดียวที่น่าประหลาดใจก็คือทายาทสายตรงของจักรพรรดิมังกรเขียวของภพมังกรอย่างอ้าวอู่หมิง ก็ได้รับการตัดสินอันดับแล้ว เขาอยู่ในอันดับที่ห้า

“เหลือเพียงจี้เซวียนปิงแห่งภพเซียน เจิ่นลู่แห่งภพพุทธองค์ และจ้าวเหมิงลี่แห่งภพวิหคอมตะเท่านั้นที่ไม่ยังปรากฏบนกำแพงแห่งแสง”

“ข้าสงสัยว่าจี้เซวียนปิงจะสามารถรักษาอันดับที่หนึ่งในการจัดอันดับระหว่างการทดสอบในวันนี้ได้หรือไม่…”

หลายคนต่างกังวลต่อเรื่องนี้อย่างมาก

“ไม่เป็นไร แม้ว่าจะตกรอบ แต่นี่เป็นเพียงรอบแรกของการทดสอบ ผู้ชนะคนสุดท้ายจะถูกตัดสินเมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงเท่านั้น”

“ถูกต้อง ในระหว่างการทดสอบรอบที่สาม และโดยเฉพาะการทดสอบรอบที่สองอันโหดร้าย ความแข็งแกร่งในการต่อสู้และความสามารถของผู้เยี่ยมยุทธ์จะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ดังนั้นเราไม่ควรต้องกังวลเกี่ยวกับการทดสอบรอบแรกนี้ เราควรรอเงียบ ๆ คิดถึงผลลัพธ์ในระยะยาวเข้าไว้”

“จี้เซวียนปิงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทายาทสายตรงของตระกูลจี้ และมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนมากกว่าหนึ่งคนในหมู่บรรพบุรุษ ในความคิดของข้า หลังจากการทดสอบทั้งสามรอบสิ้นสุดลง จี้เซวียนปิงจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งที่คู่ควรอย่างแน่นอน!”

ฝูงชนต่างกระซิบกระซาบอย่างมีชีวิตชีวา แม้กล่าวเช่นนี้ แต่ความกระวนกระวายในใจก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในเวลาอันสั้น ทุกสายตาจับจ้องไปยังตำแหน่งของสามอันดับแรกบนกำแพงแห่งแสง

แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงทั้งสามจากภพเซียน ภพพุทธองค์ และภพวิหคอมตะจะครองอันดับใดในระหว่างการทดสอบรอบแรก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท