บทที่ 1125 ชื่อเสียงกำลังผงาด
บทที่ 1125 ชื่อเสียงกำลังผงาด
เมื่อการทดสอบรอบแรกดำเนินมาถึงจุดนี้ ข้อเท็จจริงมากมายก็สามารถอนุมานได้จากกำแพงลอยแห่งอยู่
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เยี่ยมยุทธ์เกือบทั้งหมดในหนึ่งร้อยอันดับแรก ล้วนมาจากเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และมหาอำนาจของสี่มหาทวีป
ส่วนอีกตัวอย่างคือ ความแข็งแกร่งของผู้ที่อยู่ในร้อยอันดับแรก เกือบทั้งหมดอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ผู้ที่มีความโดดเด่นที่สุด คือมู่เซียวหลิว ชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ ชายหนุ่มเป็นเหมือนตัวประหลาดที่อยู่ในอันดับที่สี่สิบหก
ด้วยเหตุนี้ ทำให้มู่เซียวหลิวเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์หนึ่งเดียวในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งร้อยอันดับแรก เมื่อชื่อของชายหนุ่มปรากฏบนกำแพงแห่งแสง เรียกเสียงอุทานด้วยความชื่นชมจากผู้คนรอบข้างได้อย่างท่วมท้น
แต่ถึงอย่างนั้น มู่เซียวหลิวก็เป็นคนของตระกูลมู่ ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ และภูมิหลังก็ไม่ต่างจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ
แต่ในเวลานี้ กลับมีชื่อที่ไม่คุ้นเคยปรากฏในอันดับที่เก้าของกำแพงแห่งแสง และด้วยแซ่ที่ไม่คุ้นนี้เอง มันจึงดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก และทำให้ทุกคนแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง!
“เฉินซี?”
“ชายหนุ่มคนนี้คือใครกัน?”
พวกเขาสาบานต่อสวรรค์ และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดของเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ศิษย์ของมหาอำนาจในสี่มหาทวีป และไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของภพพุทธองค์ ภพมังกร หรือภพวิหคอมตะ!
และน่าประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อคำว่าทวีปทักษิณาปรากฏอยู่ข้างชื่อของเขา!
“ทวีปทักษิณา? มีการดำรงอยู่ที่เปรียบได้กับเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ในทวีปทักษิณาหรือไม่? พวกเขาจะเลี้ยงดูบุคคลที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร?”
ทุกคนประหลาดใจและตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก
แม้ว่าจะมองย้อนกลับไปในการทดสอบเพื่อคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์เช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่ง และไม่เคยปรากฏในรอบหลายพันปีที่ผ่านมา
เพราะในทุก ๆ การทดสอบ หนึ่งร้อยอันดับแรกมักถูกครอบครองโดยมหาอำนาจต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ และมันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ที่จะมีชื่อของศิษย์ที่มาจากขุมพลังอื่นติดหนึ่งในร้อยอันดับแรก!
ดังนั้น เมื่อชื่อของเฉินซีปรากฏขึ้น มันจึงเปรียบได้กับปาฏิหาริย์ และมันทำลายสถิติในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนตกตะลึง
…
“เฮ้อ โดยรวมแล้วเฉินซีคนนี้ช่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน เขาไม่สามารถผ่านการทดสอบของรอบแรกได้ด้วยซ้ำ แล้วเราจะร่วมมือกับศิษย์ของตระกูลจั่วชิวได้อย่างไร? เอ๊ะ? เหมียวเมี่ยวทำไมสีหน้าของเจ้าถึง…?” เจียงจูหลิวถอนหายใจผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย
เพราะก่อนที่ชื่อของเฉินซีจะปรากฏบนกำแพงแห่งแสง ตนกับอินเหมียวเมี่ยวกำลังพูดคุยกัน เพราะชื่อของพวกตนปรากฏบนกำแพงแห่งแสงแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การทดสอบในรอบที่สองแทน
หรืออาจกล่าวได้ว่า พวกเขากังวลเกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลจั่วชิว
แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ เจียงจูหลิวก็สังเกตเห็นว่า อินเหมียวเมี่ยวนั้นเงียบไปจริง ๆ สีหน้าของนางแข็งทื่อ ขณะที่กำลังจ้องมองไปยังกำแพงแห่งแสงนิ่ง ร่างของนางสั่นเทา ราวกับเห็นภูตผีที่น่าสะพรึงกลัวเข้าอย่างจัง
“หืม? มีอะไรผิดปกติหรือ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อน…” เจียงจูหลิวหัวเราะขณะเคลื่อนสายตาไปยังกำแพงแห่งแสงตรงหน้า หลังจากนั้น รอยยิ้มที่มุมปากก็แข็งทื่อ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า รูม่านตาหดเกร็ง ปากอ้ากว้าง ท่าทางดูโง่งมอย่างยิ่ง
“นี่ นี่ นี่ นี่…” เจียงจูหลิวรู้สึกว่าชื่อในอันดับที่เก้านั้นเสียดแทงตา และเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างยิ่ง ทำให้อึ้งจนกล่าวไม่ออก
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีใครเอาไม้ฟาดจากทางด้านหลัง มึนงงสับสนไปหมด และแม้แต่การหายใจก็กลายเป็นเรื่องยาก
เจียงจูหลิวก็ตกตะลึงเช่นเดียวกับอินเหมียวเมี่ยว สายตาจับจ้องไปที่กำแพงแห่งแสง ร่างกายแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะปั่นป่วน
ภายในห้องโถงที่ไกลจากจัตุรัส มู่หลิงหลงที่สวมชุดคลุมปักลายกลีบดอกไม้และปิดทองเป็นลวดลายของสายน้ำ ก็สังเกตเห็นชื่อที่คุ้นเคยนี้เช่นกัน นางเบิกตากว้าง ไม่สามารถระงับความตื้นเต้นที่ปรากฏบนใบหน้าได้ หญิงสาวเผยอริมฝีปากสีแดงแผ่วเบา แล้วกล่าวพึมพำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่อันดับนี้… ช่างน่าทึ่งจริง ๆ แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อันดับของเขาเหนือกว่าจั่วชิวอินและจั่วชิวเคอ ดังนั้นยัยเด็กนั้นจะต้องคลั่งตายแน่”
ที่หน้ากำแพงแห่งแสง มู่เซียวหลิวเม้มริมฝีปากด้วยความโกรธ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เขาดึงความสนใจไปจากข้ามู่เซียวหลิวไปจนหมด! แล้วนี่อะไร ชายคนนี้มาจากทวีปทักษิณา ปล่อยให้ข้าไปตามหาที่โถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปสันติบูรพาโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งยังถูกพี่ใหญ่หลิงหลงตำหนิอย่างรุนแรง… ข้าต้องหาโอกาสสู้กับเขา!”
ภายในห้องโถงอื่น จั่วชิวเคอมีท่าทางเย็นชา นางอยู่ในอันดับที่หนึ่งพันในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าก่อนการทดสอบรอบแรกจะเริ่มขึ้น และไม่มีความหวังใด ๆ ที่จะผ่านการทดสอบ ดังนั้นเมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น นางจึงกลับไปที่ห้องโถงทันทีเพื่อเฝ้ารอผล
เพราะไม่ว่าในกรณีใด แม้ว่านางจะไม่สามารถผ่านการทดสอบ แต่นางก็สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้อย่างราบรื่น โดยอาศัยอำนาจของตระกูลจั่วชิวในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นอารมณ์ของหญิงสาวจึงถือว่าสงบกว่าคนอื่นมาก
นางรู้ดีว่า เฉินซีจะไม่ถูกกำจัดอย่างแน่นอน มิฉะนั้นองครักษ์โมฆะทั้งสิบสองคนจากตระกูลจั่วชิวที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเฉินซีก็คงจะไร้ประโยชน์เกินไป
อย่างไรก็ตาม จั่วชิวเคอก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าไม่เพียงเฉินซีจะไม่ถูกคัดออก แต่ยังได้อันดับที่เก้าเสียด้วยซ้ำ แม้แต่จั่วชิวอินซึ่งเป็นผู้ร่วมการทดสอบที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลจั่วชิว ยังถูกแซงหน้าจนตกไปสู่อันดับที่สิบ!
ผลลัพธ์นี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เต็มใจที่จะเห็นมันเกิดขึ้น ดังนั้นสีหน้าของนางจึงค่อนข้างเย็นชาและเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องใช้วิธีที่พี่ใหญ่ได้สอนข้า เพื่อจัดการกับมันในการทดสอบรอบที่สอง…”
“เด็กอะไรกันนี่! เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอย่างแท้จริง!” เถี่ยชิวอวี้ตบต้นขาอย่างแรง ในขณะยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู และคิดในใจอย่างมีความสุข ‘เป็นดั่งที่ข้าคาดไว้ สำหรับอัจฉริยะที่ข้าเถี่ยชิวอวี้โปรดปราน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะมีชื่อเสียงในภพเซียน และจากข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าหนุ่มนี่ได้อันดับเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ขณะที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น! ขอข้าดูสีหน้าเสียใจของเจ้าหน่อย หวังต้าวหลู!’
ที่กลางอากาศ เซียนปราชญ์ทั้งหกต่างลอบชื่นชม ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้
“ชาติกำเนิดของเด็กคนนี้หาได้สำคัญไม่ เขาคือต้นกล้าที่ล้ำเลิศจนยากจะหยั่งถึง ถ้าเขาผ่านการทดสอบรอบที่สามได้อย่างราบรื่น ข้าจะต้องหาโอกาสพูดคุย และป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ตัวเขาไป…”
มีเพียงหวังต้าวหลูที่ยังคงเฉยเมยและเคร่งขรึม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มคนนี้มากับเถี่ยชิวอวี้ “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเฒ่าขี้เหนียวเถี่ยตั้งใจจะแนะนำเขาให้มาเป็นศิษย์ของข้าในวันนั้น ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ข้ามีศิษย์อยู่แล้ว และพรสวรรค์ของศิษย์ข้าก็เหนือกว่าเด็กนี้”
“สหายเก่าเอ๋ย ตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียใจแล้วหรือไม่? ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!” เสียงหัวเราะที่ดุร้ายของเถี่ยชิวอวี้ จู่ ๆ ก็ดังอยู่ภายในหูของหวังต้าวหลู ชายวัยกลางคนมองไปที่เถี่ยชิวอวี้ที่อยู่ห่างไกลอย่างไม่แยแส “คิดจะทำให้ข้าต้องรู้สึกเสียใจหรือ? ไว้รอจนกว่าเขาจะผ่านการทดสอบทั้งหมดเถิด”
“ฮึ่ม! ผ่านไปหลายปี เจ้าก็ยังดื้อรั้นเหมือนเคย ไม่น่าแปลกใจ ที่นักพรตเต๋าเจี้ยง…”
หวังต้าวหลูแค่นเสียงเย็น “เจ้าเฒ่าขี้เหนียวเถี่ย อย่าได้กล่าวถึงยัยเฒ่านั่น!”
“เอาล่ะ ไว้ข้าจะรอดูก็แล้วกัน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเสียใจถึงเพียงใด สหายเก่าเอ๋ย” เสียงของเถี่ยชิวอวี้หยุดลงเท่านี้
หวังต้าวหลูถอนสายตาของเขาเช่นกัน
เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงจ้องมองเฉินซีอย่างแน่วแน่ ราวกับว่ามีดอกไม้งอกออกมาจากใบหน้าของเฉินซี และท่าทางของทั้งคู่แปลกพิกลยิ่ง
“นี่มันบ้าอะไรกัน!” ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน มันเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่เมื่อควบคู่ไปกับการถอนหายใจของพวกเขา มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสุขและความตกใจที่ทั้งคู่รู้สึกตอนนี้
เฉินซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ว่าข้าจะได้อันดับที่เก้า ข้าคงบอกเจ้าทั้งสองคนไปแล้ว แต่เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็ไม่รู้…”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เห็นกู่เยวหมิงหันไปมองเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว ก่อนที่จะพ่นคำสามคำเบา ๆ “เพียะ! เพียะ! เพียะ!”
คำพูดของเขาชัดเจนและหนักแน่น เน้นหนักทีละคำ และฟังดูเหมือนเสียงตบหน้าคน
เมื่อมันเข้าไปในหูของเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว มันทำให้ใบหน้าที่แข็งทื่อและโง่งมของทั้งสองยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น ราวกับว่ามีใครตบหน้าอย่างแรงถึงสามครั้งจริง ๆ ใบหน้าของพวกเขาร้อนผ่าว หัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง ทั้งโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นอย่างสุดขีด
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ กู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นต่างหัวเราะ ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
เฉินซีกลับไม่ได้สังเกตเห็นฉากนี้ เพราะสายตาจับจ้องไปยังกำแพงแห่งแสงและชื่อที่กำลังปรากฏ
“ อันดับที่แปด โม่ชีอวิน”
“อันดับที่เจ็ด มู่อวี่ชง”
“อันดับที่หก เจี้ยงฉางไฮ่”
“อันดับที่ห้า อ้าวอู่หมิง”
“อันดับที่สี่ จ้งลี่ซวิน”
…
เมื่อชื่อเหล่านี้ปรากฏ ทุกคนก็เลิกสนใจเฉินซี และบรรยากาศก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่า จ้งลี่ซวินซึ่งแต่เดิมอยู่ที่อันดับสองและเจี้ยงฉางไฮ่ซึ่งอยู่ที่อันดับสาม ถูกผลักลงมาอยู่ที่อันดับสี่และอันดับห้าตามลำดับ มันจึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
แม้แต่หวังต้าวหลูและเซียนปราชญ์ทั้งหกก็ขมวดคิ้ว
การจัดอันดับนี้ หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตำแหน่งสามอันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นฝีมือของภพพุทธองค์และภพวิหคอมตะที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้
สิ่งเดียวที่น่าประหลาดใจก็คือทายาทสายตรงของจักรพรรดิมังกรเขียวของภพมังกรอย่างอ้าวอู่หมิง ก็ได้รับการตัดสินอันดับแล้ว เขาอยู่ในอันดับที่ห้า
“เหลือเพียงจี้เซวียนปิงแห่งภพเซียน เจิ่นลู่แห่งภพพุทธองค์ และจ้าวเหมิงลี่แห่งภพวิหคอมตะเท่านั้นที่ไม่ยังปรากฏบนกำแพงแห่งแสง”
“ข้าสงสัยว่าจี้เซวียนปิงจะสามารถรักษาอันดับที่หนึ่งในการจัดอันดับระหว่างการทดสอบในวันนี้ได้หรือไม่…”
หลายคนต่างกังวลต่อเรื่องนี้อย่างมาก
“ไม่เป็นไร แม้ว่าจะตกรอบ แต่นี่เป็นเพียงรอบแรกของการทดสอบ ผู้ชนะคนสุดท้ายจะถูกตัดสินเมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงเท่านั้น”
“ถูกต้อง ในระหว่างการทดสอบรอบที่สาม และโดยเฉพาะการทดสอบรอบที่สองอันโหดร้าย ความแข็งแกร่งในการต่อสู้และความสามารถของผู้เยี่ยมยุทธ์จะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ดังนั้นเราไม่ควรต้องกังวลเกี่ยวกับการทดสอบรอบแรกนี้ เราควรรอเงียบ ๆ คิดถึงผลลัพธ์ในระยะยาวเข้าไว้”
“จี้เซวียนปิงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทายาทสายตรงของตระกูลจี้ และมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนมากกว่าหนึ่งคนในหมู่บรรพบุรุษ ในความคิดของข้า หลังจากการทดสอบทั้งสามรอบสิ้นสุดลง จี้เซวียนปิงจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งที่คู่ควรอย่างแน่นอน!”
ฝูงชนต่างกระซิบกระซาบอย่างมีชีวิตชีวา แม้กล่าวเช่นนี้ แต่ความกระวนกระวายในใจก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในเวลาอันสั้น ทุกสายตาจับจ้องไปยังตำแหน่งของสามอันดับแรกบนกำแพงแห่งแสง
แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงทั้งสามจากภพเซียน ภพพุทธองค์ และภพวิหคอมตะจะครองอันดับใดในระหว่างการทดสอบรอบแรก