บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1126 แดนโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1126 แดนโลหิต

บทที่ 1126 แดนโลหิต

บนกำแพงแห่งแสง แสงสีทองเจิดจ้าสามดวงนี้คล้ายกับกำลังต่อสู้กัน แข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง เหมือนมังกรกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!

ทำให้คนโดยรอบตกตะลึงยิ่ง ทุกคนรู้ดีว่ามันเหมือนเป็นตัวแทนความแข็งแกร่งของคนทั้งสาม นับว่าสูสีกันมากทีเดียว!

คงมีแต่ความห่างชั้นกระมังที่จะสามารถตัดสินผลอันดับได้

“ศึกระหว่างสามยอดฝีมือ แต่ผ่านมานานแล้วยังตัดสินกันไม่ได้ ภาพเช่นนี้คิดว่าจะเห็นได้แต่ในอดีตแล้ว นับว่าหายากอย่างแท้จริง” ฝูงชนร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น ล้วนรู้สึกว่าการทดสอบรับศิษย์ในครั้งนี้คงจะเป็นรอบที่ตื่นเต้นที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์

เฉินซีเม้มปากมองกำแพงแห่งแสงที่อยู่ใกล้ที่สุด มีคนอยู่ตรงนั้นอยู่กว่าสิบคนเท่านั้น แต่ละคนล้วนมีบรรยากาศไม่ธรรมดา มีท่าทีสูงส่งงดงาม

ในหมู่คนเหล่านั้นมีสามคนที่โดดเด่นที่สุดอยู่

คือนักบวชหนุ่ม หญิงชาวในชุดแดงเพลิง ชายภูมิฐานในชุดทรงหลวมพร้อมที่คาดเอว

นักบวชหนุ่มอยู่ในชุดสงฆ์สีเหลืองนวลดั่งศศิ ท่าทางสงบไม่ธรรมดา ทั้งยังมีเครื่องหมายดอกบัวสีทองอยู่บนหน้าผาก คงเป็นศิษย์จากพุทธภูมินามเจิ่นลู่

เมื่อมาถึงเมืองเซียนสัประยุทธ์ เฉินซีเคยเห็นอีกฝ่ายอยู่ไกล ๆ ระหว่างทางที่มาเมืองนี้ ตอนนั้นเจิ่นลู่กำลังขี่มังกรคชสารทองคำบังเอิญได้สบตาเฉินซีคราหนึ่ง ทำให้เฉินซีจดจำเจิ่นลู่ได้ดี

ส่วนหญิงชาวในชุดแดงเพลิงนั้นมีรูปร่างอ้อนแอ้นและเรือนผมสีดำยาวถึงเอว รอบกายมีเปลวเพลิงไร้สีกระจายอยู่โดยรอบ ทำให้ไม่อาจเห็นนางได้ชัดเจน แต่เฉินซีก็มั่นใจว่านางจะต้องเป็นทายาทวิหคอมตะแท้แห่งภพวิหคอมตะ จ้าวเมิงลี่เป็นแน่

กระแสเพลิงไร้สีล้อมรอบกายนั้นเป็นหนึ่งในเปลวเพลิงที่น่าเกรงขามที่สุดในสามภพ เพลิงวิหคอมตะ!

ชายคนสุดท้ายในชุดหลวมโพรกพร้อมที่คาดเอวมีร่างสูงท่วงท่าดุดัน ไหล่กว้างดูสง่างามสูงส่ง เขายืนสบาย ๆ ทั้งยังปลดปล่อยบรรยากาศสูงส่งออกมาราวกับเป็นจอมราชัน

จี้เซวียนปิง!

เฉินซีสัมผัสกลิ่นอายขู่ขวัญของจี้เซวียนปิงได้ชัดเจน เป็นสิ่งที่มีเพียงผู้บ่มเพาะวิชา ‘เต๋าจักรพรรดิ’ เท่านั้นจึงจะมี มันทั้งสูงส่ง ทรงพลัง และเหนือกว่าใครในใต้หล้า หากเป็นเรื่องเต๋าจักรพรรดิ ตระกูลจี้นับว่าเลื่องชื่อที่สุดในภพเซียน!

ตามตำนานเล่าไว้ เมื่อครั้งสร้างภพเซียนขึ้นมา บรรพชนตระกูลจี้เคยเป็นจักรพรรดิผู้มีความสามารถล้นเหลือ ปกคลุมหลายดินแดน และมีฝีมือหาใครเปรียบ

ส่งผลให้เฉินซีสามารถประเมินได้ว่าชายผู้นั้นคือจี้เซวียนปิงเป็นแน่

พวกเขามีท่าทางงามสง่าและบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครโดยแท้ แต่ละคนนับเป็นตัวตนแห่งยุคไม่ว่าจะเป็นในภพเซียน ภพพุทธองค์ หรือในภพวิหคอมตะ เมื่อมาปรากฏตัวพร้อมกันเช่นนี้ นับว่าสวรรค์โปรดโดยแท้… เฉินซีถอนหายใจ แต่กลับไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าสักนิด ที่ผ่านมาเขาเห็นคนแกร่งกล้ามากมายที่สวรรค์เข้าข้าง แต่น้อยคนนักที่จะสามารถยืนหยัดได้นาน

ชิ้ง!

กระแสแรงกดดันและแรงพลังหนาแน่นพลันร้องขึ้นมา ในที่สุดก็มีชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นมาในอันดับที่สามบนกำแพงแห่งแสง จ้าวเมิงลี่!

ทุกคนในภพเซียนถอนหายใจโล่งอก หากจี้เซวียนปิงไม่ถูกดันอันดับก็นับว่าดีแล้ว!

เฉินซีสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปของคนรอบกาย เขาแค่นหัวเราะน้อย ๆ ตนรู้ดีว่าในสายตาคนจากภพเซียนแล้ว จี้เซวียนปิงได้กลายเป็นตัวแทนต่อสู้กับภพพุทธองค์และภพวิหคอมตะไปแล้ว

แต่เท่าที่เฉินซีรู้ ไม่ว่าจะเป็นภพเซียน ภพพุทธองค์ หรือภพวิหคอมตะ ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสามภพทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเลย

แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดเป็นเพราะเขามาจากภพมนุษย์ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของภพเซียนเท่าใดนัก จึงไม่เหมือนกับผู้ที่มาจากขุมพลังต่าง ๆ ในภพเซียน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแข่งขันเช่นนี้มากนัก

ชิ้ง!

ไม่นานอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ใจของทุกคนพลันบีบรัดขึ้นมาทันที พากันจ้องไปยังจุดที่แสงกำลังจะคลายตัวลงพร้อมกัน

พริบตานั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท

บนกำแพงแห่งแสง แสงทองค่อย ๆ พร่าจางลงทีละน้อย แต่พอเห็นชื่อที่เผยออกมา ทุกคนก็ได้แต่ตกตะลึง หรี่ตาลงมอง ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น

จี้เซวียนปิง!

จี้เซวียนปิงได้อันดับที่สองไปได้อย่างไร!?

กองกำลังจากภพเซียนเห็นแล้วยากจะยอมรับความจริงว่าจี้เซวียนปิงได้อันดับที่สองและอันดับที่หนึ่งย่อมเป็นเจิ่นลู่!

เมื่อเห็นว่าภพพุทธองค์เข้ามาชิงอันดับในถิ่นตนไปได้ คนจากภพเซียนก็มีความรู้สึกซับซ้อน ได้แต่มองกำแพงแห่งแสงด้วยสายตาว่างเปล่า

มันควรเป็นจังหวะที่ทุกคนโห่ร้องยินดีและเฉลิมฉลองที่สิบอันดับแรกได้รับการตัดสินเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเงียบสนิท

“ไม่เลวเลยทีเดียว การแข่งรอบแรกของปีนี้น่าตื่นตากว่าปีก่อน ๆ นัก” หวังต้าวหลูที่อยู่กลางอากาศเป็นคนแรกที่ปรบมือแล้วเอ่ยชม สุ้มเสียงกระจายไปรอบทิศ ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดลง

จากนั้นหกเซียนปราชญ์จึงยิ้มและพยักหน้าให้

เสียงโกลาหลของฝูงชนเพิ่งจะดังขึ้นตอนนี้ ดังสะท้านไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดไปเสียสิ้น พริบตาเดียวก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีไปทั่ว

แน่นอนว่าการทดสอบรอบแรกของปีนี้นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง ประการแรกคือมู่เซียวหลิวแห่งตระกูลมู่เข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าทั้งที่อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ เหมือนเป็นจุดแดงท่ามกลางใบไม้เขียวนับไม่ถ้วน

จากนั้นชายหนุ่มนามเฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนก็ไม่รู้ คว้าอันดับที่เก้าไปด้วยขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น เอาชนะยอดยุทธ์รุ่นเยาว์ฝีมือดีของตระกูลจั่วชิวนามว่าจั่วชิวอินไปได้ ได้รับชัยชนะอันทรงเกียรติมา

และในจังหวะสุดท้ายก็เกิดภาพสามยอดยุทธ์ประชันความเป็นหนึ่ง นับว่าเป็นตัวแทนผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์จากภพเซียน ภพพุทธองค์ และภพวิหคอมตะ สุดท้ายก็ตัดสินสามอันดับออกมาได้ ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึงกันไป

ตอนนี้ฝุ่นหายตลบแล้ว ใครจะไปยับยั้งความรู้สึกในหัวใจได้อีก?

ทุกคนจึงส่งเสียงร้องออกมา!

ทั้งตื่นเต้น โห่ร้อง และหัวเราะ!

พากันเอ่ยชื่นชมยินดีกับยอดยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหลาย!

เสียงตื่นตะลึงเซ็งแซ่ดังไกลไปถึงสวรรค์ อื้ออึงอยู่ในหูคนทั้งหลาย

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้พวกเราช่วยเหลือการทดสอบรอบที่สองกับเจ้า เพราะคิดว่าพวกเราเป็นภาระสินะ!” เหลียงเริ่นหัวเราะหยอกล้อเฉินซี

“ใช่แล้ว คนผู้นี้ทำร้ายความภาคภูมิใจในตัวข้ามากจริง ๆ !” กู่เยวหมิงเหลือบมองชายหนุ่มก่อนเริ่มหัวเราะออกมาบ้าง

เฉินซีได้แต่ถูจมูกมองรอบกาย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าในขณะที่มีบางคนโห่ร้องยินดี บางส่วนเลือกจากไปเงียบ ๆ อย่างผิดหวังเช่นกัน

ผู้ที่จากไปคือศิษย์ไร้ชื่อบนกำแพงแห่งแสง หรือก็คือถูกคัดออกจากการทดสอบแล้ว ไม่สามารถเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้

มีแต่รอยยิ้มของผู้ชนะเท่านั้นจึงจะมีคนเห็น ส่วนน้ำตาของผู้พ่ายแพ้ถูกลืมเลือนไปสิ้น

เฉินซีอดนึกถึงคำเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้ ความตื่นเต้นภายในจึงเริ่มสงบลง

นี่เป็นเพียงการทดสอบรอบแรกเท่านั้น เป็นเพียงก้าวแรกที่ตัวเขา เฉินซี จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยั่งรากลงในภพเซียน

แต่เขาไม่พอใจแค่นี้หรอก!

ชิ้ง!

ทันใดนั้นบุปผาสีทองจำนวนมากก็โปรยลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงพุ่งเข้าสู่ร่างของศิษย์ในละแวกนั้น

พร้อมกันนั้นเฉินซีก็สัมผัสตรงจุดที่แสดงแต้มดาราภายในตราดาราม่วงได้ว่ามีตัวอักษรบรรทัดใหม่ขึ้นมา ระบุว่าห้าร้อย!

มันคือรางวัลจากการผ่านบททดสอบแรกไปได้หนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้รับหนึ่งร้อยแต้มดารา ห้าสิบอันดับแรกได้รับสองร้อยแต้ม สิบอันดับแรกจะได้รับห้าร้อยแต้ม และสามอันดับแรกจะได้รับมากถึงหนึ่งพันแต้ม อีกทั้งผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งไปได้จะได้รับเพิ่มอีกหนึ่งพันแต้มดารา!

“เริ่มการทดสอบรอบที่สองได้” หวังต้าวหลูที่ลอยอยู่กวาดสายตามองโดยรอบ เสียงอื้ออึงพลันหยุดชะงัก “ศิษย์ทั้งหลายที่ผ่านการทดสอบรอบแรกจงตามข้ามา”

ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็สะบัดแขนเสื้อ เกิดเป็นพลังไร้รูปพุ่งขึ้นมาจากฟ้าดิน โอบล้อมร่างเฉินซีและคนอื่น ๆ ที่ผ่านการทดสอบรอบแรกเอาไว้

พริบตาต่อมาทุกคนก็หายไป

“จักรวาลในแขนเสื้อ! ได้ยินว่าแขนเสื้อของผู้อาวุโสหวังต้าวหลูแทบจะใส่โลกใบหนึ่งเอาไว้ได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”

“ย่อมเป็นความจริง ไม่เช่นนั้นจะได้เป็นหนึ่งในอาจารย์อาวุโสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือ?”

ฝูงชนไม่แปลกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่กลับเอ่ยชื่นชมแทน พากันยกย่องพลังบ่มเพาะของหวังต้าวหลูกันถ้วนหน้า

หวังต้าวหลูไม่รู้เรื่องอะไร เขาหายไปพร้อมกับหกเซียนปราชญ์แล้ว

“ต่อไปพวกเขาก็จะเข้าแดนโลหิตเพื่อรับการทดสอบ สหายน้อยทั้งหลาย พวกเจ้าจงระวังให้ดี…” เถี่ยชิวอวี้เห็นแล้วก็ได้แต่เผยสีหน้าเคร่งขรึม

การทดสอบรอบที่สองจะดำเนินต่อในแดนซ่อนเร้นของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า โลกภายนอกไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นจึงนับว่ายุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้เหล่าผู้บ่มเพาะพลังทั้งหลายยังไม่จากไปไหน ยังรวมตัวกันอยู่ที่กำแพงแห่งแสง ทุกสายตารวมอยู่เพียงจุดเดียว

หลังเริ่มการทดสอบรอบที่สอง จะสามารถเห็นอันดับของผู้ที่เข้าแดนโลหิตบนกำแพงแห่งแสงได้ ทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูสามารถเห็นผลอันดับได้อย่างชัดเจน

บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง

เฉินซีและศิษย์คนอื่น ๆ อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนมาปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แปลกประหลาด มันว่างเปล่า มองไปไกล ๆ มีเพียงจอแสงที่เห็นเป็นทรงประตูลอยอยู่เท่านั้น

“พวกเจ้าสามารถเข้าแดนโลหิตผ่านประตูนี้ การทดสอบรอบที่สองจะดำเนินต่อในแดนโลหิต” หวังต้าวหลูส่งสายตาไร้อารมณ์มองทุกคน จากนั้นเอ่ยเสียงต่ำ “การทดสอบภายในนี้ไม่ยากเย็น เพียงออกล่าเพื่อรับแต้มดารา สามร้อยคนแรกที่ถูกคัดออกจะไม่สามารถไปต่อบททดสอบที่สามได้”

สิ้นวาจาก็โบกมือ “หากทุกคนพร้อมแล้วก็เข้าไปได้เลย”

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุดดี ศิษย์หลายคนก็ใจร้อนดีดตัว เหินร่างพุ่งหาประตูไกล ๆ ไปแล้ว

“เราก็ไปกันเถอะ” เฉินซีย้ำกฎการแข่งรอบที่สองอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่พลาดอะไรไป ก็เอ่ยกับกู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นข้างกาย ก่อนจะเหินร่างตามไปเช่นกัน

“พวกเขาไปแล้ว พวกเจ้าสองคนลงมือได้” หลังจากกลุ่มสามคนของเฉินซีจากไปได้ไม่นาน ก็มีชายชุดดำคนหนึ่งผ่านมาใกล้เจียงจูหลิวกับอินเหมียวเมี่ยว แล้วเอ่ยเสียงเบา “จำคำสั่งของคุณหนูไว้ให้ดี อย่าทำให้เราผิดหวัง”

0

——————————–

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท