บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1127 อสรพิษหมอกโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1127 อสรพิษหมอกโลหิต

บทที่ 1127 อสรพิษหมอกโลหิต

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดดำมืด ผู้มีเบ้าตาลึก นัยน์ตานกอินทรี และคิ้วคมดั่งดาบ แผ่กลิ่นอายเย็นชาและเข้มงวด เขาเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลจั่วชิว จั่วชิวอิน

เมื่อได้ยินคำสั่งของชายหนุ่ม เจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว ก็เหลือบมองกันและกันก่อนที่จะพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังกลับและจากไป

“พี่อิน เด็กคนนั้นอยู่ในอันดับที่เก้าในการทดสอบรอบแรก ข้าเกรงว่าการจัดการกับมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย”

หลังจากที่เจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยวจากไป ชายหนุ่มร่างเตี้ยและอ้วนข้างจั่วชิวอิน ก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้น “สมาชิกตระกูลจั่วชิวของเรา ทั้งหมดเจ็ดสิบหกคนล้วนติดหนึ่งในพันอันดับแรก แต่มีเพียงสิบหกคนเท่านั้นที่ติดในร้อยอันดับแรก และทุกครั้งที่มีคนหายไป ก็เท่ากับสิทธิ์เข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของตระกูลจั่วชิวเราลดลงไปหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราต้องจัดการอย่างระมัดระวัง”

จั่วชิวอินพูดอย่างเฉยเมย “พี่สิบสามมิต้องกังวล คนตระกูลจั่วชิวที่สอนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เราแค่ต้องดำเนินการตามสถานการณ์เท่านั้น แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นคือการรับประกันว่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวทุกคน จะผ่านการทดสอบรอบที่สอง”

ในขณะที่พูด จั่วชิวอินก็เหลือบมองไปยังศิษย์ของตระกูลจั่วชิวทุกคน ที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพูดว่า “ไปได้แล้ว!”

ทันใดนั้นกลุ่มศิษย์ของตระกูลจั่วชิวก็เข้าไปในประตูลึกลับอย่างพร้อมเพรียง

“โอ๊ย เจ็บจัง พี่ใหญ่หลิงหลงขอให้เราดูแลเฉินซี นางไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่านอกจากพี่ใหญ่อวี่ชงแล้ว ไม่มีใครในตระกูลมู่ของเราที่มีอันดับสูงกว่าสหายผู้นี้เลย” ในอีกด้านหนึ่ง มู่เซียวหลิวขมวดคิ้วอย่างขมขื่น เขามองไปที่ชายหนุ่มในชุดเขียวเข้มข้าง ๆ จากนั้นส่ายหัวและถอนหายใจยาวเหยียด

ชายหนุ่มในชุดสีเขียวเข้มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาและบรรยากาศอ่อนโยน ผู้นี้คือ มู่อวี่ชง ผู้รั้งอยู่ในอันดับที่เจ็ด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ผู้อาวุโสมักจะรู้สึกว่าตนเป็นหนี้หลิงหลงมากเกินไปอยู่เสมอ ก่อนที่เขาจะจากไป พี่ใหญ่จวินหลินก็ฝากดูแลหลิงหลงให้ดี ในเมื่อนางร้องขอเช่นนั้น เราก็เพียงได้แค่ทำตามที่นางบอก”

“อืม นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำได้ ลืมเรื่องนี้ไปซะแล้วเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ” มู่เซียวหลิวเม้มริมฝีปาก แล้วเดินไปทางประตูลึกลับ

มู่อวี่ชงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ชายหนุ่มชี้ไปที่ศิษย์ของตระกูลมู่ ที่อยู่ข้างเคียงก่อนจะตามมู่เซียวหลิวไป

ในเวลาไม่นาน ศิษย์ทุกคนที่ผ่านการทดสอบรอบแรกก็ได้เข้าสู่ประตูลึกลับนั่นไปทีละคน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังต้าวหลูก็สะบัดแขนเสื้อ ปล่อยคลื่นผันผวนไร้รูปร่างปิดตายประตูไว้อย่างสมบูรณ์ “พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่หรือ…”

ยังไม่ทันพูดจบ เซียนปราชญ์ทั้งหกก็พูดขึ้นพร้อมกัน “ใช่ เราจะอยู่ที่นี่”

หวังต้าวหลูชำเลืองมองทั้งหก จากนั้นส่ายหัว “ในความคิดของข้า ครั้งนี้โอกาสของพวกเจ้ามีไม่มากนัก คนรุ่นเยาว์ในปีนี้โดดเด่นมากกว่าปีก่อน ๆ นัก ข้าเกรงว่าพวกเขาจะดึงดูดความสนใจของผู้เฒ่าคนอื่น ๆ ในสำนักศึกษาไปหมดแน่”

เซียนปราชญ์ทั้งหกตกตะลึง แต่ถึงอย่างไรก็ยังตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ

เห็นเช่นนั้น หวังต้าวหลูก็รู้ว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ จึงไม่พูดสิ่งใด พลางส่ายหัวและหันหลังจากไป

อันที่จริง ชายวัยกลางคนก็ต้องการที่จะรั้งอยู่เช่นกัน ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถเห็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในการทดสอบรอบที่สองเป็นคนแรกได้ และมันก็จะสะดวกที่จะรับพวกเขามาอยู่ภายใต้การควบคุมของตน

น่าเสียดายที่หวังต้าวหลูเพิ่งรับศิษย์สายตรงเมื่อไม่นานมานี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้

ที่จัตุรัสหน้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เมื่อศิษย์คนสุดท้ายเข้าสู่แดนโลหิต กำแพงลอยแห่งแสงก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทันที

ทันใดนั้น แถวรายชื่อก็ปรากฏขึ้น

เจิ่นลู่ สองพันแต้มดารา

จี้เซวียนปิง หนึ่งพันแต้มดารา

จ้าวเมิงลี่ หนึ่งพันแต้มดารา

ชื่อบนกำแพงลอยแห่งแสงกระจายตามการจัดอันดับเมื่อสิ้นสุดการทดสอบรอบแรก และที่ด้านหลังชื่อคือ แต้มดาราที่พวกเขาครอบครอง

หลังจากการทดสอบรอบที่สองเริ่มขึ้น จำนวนแต้มดาราก็จะสะท้อนถึงผลงานในแดนโลหิตของศิษย์คนนั้นโดยตรง

ในทางกลับกัน ถ้าชื่อของใครจางลง แสดงว่าคนคนนั้นถูกกำจัดไปแล้ว

ในรอบแรกของทดสอบรอบที่สอง มีสามร้อยคนถูกคัดออก แต่มันไม่ได้หมายความว่าการทดสอบจะสิ้นสุดลง ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับจำนวนแต้มดาราที่ศิษย์คนนั้นได้รับภายในแดนโลหิต

ยิ่งแต้มดาราสูงก็ยิ่งดีต่อการจัดอันดับ ผลลัพธ์เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับโดยรวมหลังจากการทดสอบทั้งสามรอบสิ้นสุดลง

“มันเริ่มแล้ว!”

“ครั้งนี้ การทดสอบเป็นการต่อสู้นองเลือดจริง ๆ สภาพแวดล้อมซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา พวกเจ้าไม่เพียงแต่จะสามารถลอบโจมตีและใช้ยาพิษได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรวมพลังกับกองกำลังอื่น ๆ เพื่อต่อสู้ร่วมกันได้อีกด้วย มันเป็นสนามรบที่แท้จริงซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ”

“แน่นอนว่า สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้จับสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจำนวนมากไว้ ก่อนที่จะเนรเทศพวกเขาไปยังแดนโลหิต ดังนั้นในการทดสอบนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องระวังคู่แข่งรายอื่นเท่านั้น แต่ยังต้องตื่นตัวระมัดระวังการโจมตีของสัตว์อสูรจักรวาล และผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่มีอยู่ทั่วแดนโลหิตด้วย”

ที่ด้านหน้าของจัตุรัส ฝูงชนที่จ้องมองแถวชื่อบนกำแพงลอยแห่งแสง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา

โอม!

ภายในหนองน้ำสีแดงเลือดที่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษ พื้นที่ว่างเปล่าสั่นสะเทือนก่อนจะปรากฏร่างอันหล่อเหลา ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียว ผมยาวสลวยมัดรวบไว้ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาและเด็ดเดี่ยว

ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เฉินซี

ชู่ว!

ก่อนที่เฉินซีจะสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทันใดนั้นก็มีเงาดำทะมึนออกมาจากหนองน้ำราวกับสายฟ้าสีดำ และขย้ำคอของเฉินซี!

เฉินซีเลิกคิ้ว ชายหนุ่มเหลือบตามองปราดเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นสัตว์สัตว์ประหลาดสีดำสนิทตัวยาวประมาณหนึ่งจั้ง ผอมเท่าหัวแม่มือ เหมือนงู แต่ส่วนหัวกลับถูกปกคลุมด้วยเขี้ยวแหลมคม น่าสยดสยองอย่างยิ่ง

ฟุ่บ!

เฉินซีสร้างดาบด้วยนิ้วก่อนจะเรียกปราณกระบี่ออกมา ชายหนุ่มฟันสัตว์ประหลาดตัวนี้ออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ร่างที่ขาดวิ่นของสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายงูก็พ่นพิษสีแดงเข้มสองเส้นใส่ พิษนี้กลายเป็นหมอกห่อหุ้มทั้งร่าง!

ฟ่อ!

คิ้วของชายหนุ่มยกขึ้นอีกครั้ง ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ กักขังพิษ จากนั้นใช้เปลวไฟโปร่งแสงเล็กน้อยเผาหมอกพิษจนหมด

เมื่อหมอกหายไป สัตว์ประหลาดรูปร่างงูก็แน่นิ่งไปแล้ว

“นี่คงจะเป็นสัตว์อสูรจักรวาล อสรพิษหมอกโลหิต มีพิษสงเหลือร้าย และเก่งในด้านลอบโจมตี หมอกพิษภายในร่างของมันสามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ทันที และอสรพิษหมอกโลหิตที่โตเต็มวัย มีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง”

ก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบ เฉินซีได้รับข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบจากเถี่ยชิวอวี้ และหนึ่งในนั้นคือข้อมูลเกี่ยวกับอสรพิษหมอกโลหิตนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่เถี่ยชิวหยูกล่าวไว้ เดิมที แดนโลหิตนี้เคยเป็นสนามรบที่ครั้งหนึ่งเทพที่แท้จริงเคยล่มสลาย สภาพแวดล้อมที่นี่โหดร้ายและเต็มไปด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เลวร้าย เช่น พายุหมุน พายุหิมะ วิญญาณร้าย และภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวอื่น ๆ อีกมากมาย

ไม่ใช่แค่นั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ยังจับสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แล้วเนรเทศพวกเขาไปยังแดนโลหิต ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า แดนโลหิตเต็มไปด้วยอันตรายในทุกย่างก้าว

และเมื่อเริ่มการทดสอบรอบที่สองขึ้น สภาพแวดล้อมภายในแดนโลหิตจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา ในขณะที่จำนวนสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามในหมู่สัตว์อสูรและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ที่ถูกเนรเทศที่นี่ก็จะเพิ่มจำนวนเช่นกัน…

แต่ไม่ว่าแดนโลหิตจะอันตรายเพียงใด เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต เพราะเมื่อเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ตราดาราม่วง มีบทบาทในการเคลื่อนย้ายทางไกล และส่งคนออกจากแดนโลหิตทันที

ภายในแดนโลหิต ทุกครั้งที่สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพหรือสัตว์อสูรจักรวาลได้ จะได้รับรางวัลเป็นแต้มดาราในจำนวนที่แตกต่างกัน

เช่นเดียวกับตอนนี้เฉินซีสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แต้มดาราภายในตราดาราม่วง เพิ่มขึ้นหนึ่งดวงกลายเปลี่ยนเป็นทั้งหมดห้าร้อยเอ็ดชิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง อสรพิษหมอกโลหิตที่ถูกฆ่าก่อนหน้านี้มีค่าเพียงแต้มดาราเดียวเท่านั้น

สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือ ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบสามารถต่อสู้กันเองได้ ตราบเท่าที่สามารถกำจัดอีกคนหนึ่งออกจากการทดสอบ ผู้ชนะจะได้แต้มดาราของผู้ที่ถูกกำจัดทั้งหมด

สิ่งนี้ทำให้การแข่งขันในแดนโลหิต โหดร้ายและบิดเบี้ยวมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การทดสอบรอบที่สองถูกเรียกว่า การล่าโลหิตเหล็ก

ที่นี่ทุกคนคือนักล่า และในทำนองเดียวกันทุกคนก็เป็นเหยื่อ เช่นเดียวกันกับสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่ถูกเนรเทศมาที่นี่

“ในบรรดาอันตรายในแดนโลหิต ดูเหมือนว่าสิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบเช่นเดียวกับข้า…”

เฉินซีนึกถึงเจียงจูหลิว อินเหมียวเมี่ยว และศิษย์ของตระกูลจั่วชิว ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่งพลุ่งพล่านในหัวใจของตน แม้ว่าการแข่งขันในแดนโลหิตจะโหดร้าย แต่ก็ทำให้เขามีโอกาสเช่นกัน

ถ้าเขาสามารถกำจัดศิษย์ของตระกูลจั่วชิวที่เข้าร่วมการทดสอบได้ทั้งหมด มันจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่

“โชคดีที่ตอนนี้ข้าอยู่คนเดียว จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิง ตอนนี้…”

หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ในแดนโลหิต เฉินซี เหลียงเริ่น และกู่เยวหมิงก็ถูกแยกออกจากกัน และเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ยังรวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการทดสอบด้วย

หลังจากนั้นเฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ

นี่คือหนองน้ำสีเลือดกว้างใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษไร้จุดสิ้นสุด ทั้งมืดและชื้น และมีกลิ่นอายแปลกประหลาดแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ เฉินซีสามารถตรวจสอบพื้นที่ได้เพียงบริเวณรัศมีหนึ่งพันลี้เท่านั้น ดูเหมือนฟ้าดินจะถูกปกคลุมด้วยสนามพลังไร้รูปร่าง ซึ่งสามารถยับยั้งปราณวิญญาณได้อย่างดี ทำให้จิตวิญญาณถูกกดดันอย่างหนักหน่วง

“สิ่งสำคัญที่สุดยามนี้ คือการเก็บแต้มดาราให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเลือกทิศทางและพุ่งตรงไปทันที

ชายหนุ่มไม่รีบร้อนหาศิษย์ตระกูลจั่วชิว เพราะฝั่งนั้นน่าจะเป็นฝ่ายรีบร้อนมาหาตนมากกว่า เฉินซีแค่ต้องรอเท่านั้น

แน่นอนว่า หากได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับศิษย์ของตระกูลจั่วชิว ชายหนุ่มก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีและตามล่าอย่างดุเดือด

เพียงครึ่งเค่อ เฉินซีลงอย่างหยุดกะทันหันและมองออกไปในระยะไกล

คลื่นเสียงหวีดหวิวที่ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องมาจากหนองน้ำสีแดงเลือดข้างหน้า พร้อมกับเสียงคำรามโหยหวนอันโกรธเกรี้ยวของสัตว์อสูรดังขึ้น

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว จากนั้นเก็บงำกลิ่นอายบนร่างกายของตน ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็เห็นที่มาของเสียงอย่างชัดเจน แท้จริงแล้วมันคือสัตว์อสูรยักษ์สองตัวที่กำลังต่อสู้กันเอง!

พวกมันดูเหมือนจะ… ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอะไรบางอย่าง?

เฉินซีครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ญาณเทวะอมตะกวาดไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง และแน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ภายในหนองน้ำสีแดงเลือด ไม่ไกลจากจุดที่สัตว์ร้ายทั้งสองกำลังต่อสู้กันมากนัก ภายในรอยแตกของหินนั้นมีประกายแสงของสมบัติทองอยู่จาง ๆ อย่างน่าประหลาดใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท