บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1132 ใช้ทุกชั่วขณะให้คุ้มค่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1132 ใช้ทุกชั่วขณะให้คุ้มค่า

บทที่ 1132 ใช้ทุกชั่วขณะให้คุ้มค่า

จังหวะเดียวกันกับที่เฉินซีใช้ค่ายกลย่อยอสนีบาตพิฆาตมารสังหารสัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัว การต่อสู้ดุเดือดก็ปะทุขึ้นทั่วแดนโลหิต

เจิ่นลู่ในชุดหลวงจีนสีเหลืองพระจันทร์เจ้าของดอกบัวสีทองบนหน้าผากผู้ให้กลิ่นอายสงบสุขไม่เหมือนใครกำลังนั่งขัดสมาธิ ภายในหมอกชั่วร้ายที่อยู่รอบกาย

ใบหน้าเคร่งขรึมเอ่ยพระพุทธมนต์ ทั่วร่างส่องแสงสว่างเรืองออกมารอบทิศ

มีศิษย์นิกายพุทธอยู่ยี่สิบกว่าคนยืนล้อมกายเจิ่นลู่ พวกเขาถือไม้เคาะ ประคำอธิษฐาน โคมไฟสีเขียว พระคัมภีร์ หนังสือ คทาไม้ไผ่ ระฆัง… ทั้งหมดเต็มไปด้วยแสงแห่งพุทธองค์ เผยสีหน้าการุณย์สงสารออกมา

ตอนนี้บนฟากฟ้ามีบุปผาโปรย ดอกบัวสีทองผุดขึ้นจากพื้น แสงแห่งธรรมส่องสว่างไปทั่วทิศ ฉาบฟ้าอาบดิน ขจัดหมอกชั่วร้ายอันมืดมิดในระยะหมื่นลี้!

ในอากาศนั้น พลังแห่งความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้แผ่กระจายออกไป

ในวันนั้น เขาหมอกมาร ณ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแดนโลหิตได้ถูกชำระล้างด้วยแสงแห่งพุทธองค์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพกว่าพันคนและเจ้าอสูรทั้งเจ็ดที่พำนักอยู่ที่นี่ล้วนถูกบดขยี้ด้วยแสงนั้นจนสิ้น!

เจิ่นลู่และศิษย์ชั้นยอดทั้งหลายแห่งภพพุทธองค์ได้รับคนละหกร้อยแต้มดารา

ณ ทุ่งหิมะแยกวารี หิมะเย็นยะเยือกดั่งคมกระบี่กระจายตัวทั่วทิศ ปกคลุมผืนพสุธาจนกลายเป็นโลกาแห่งน้ำแข็ง

ตึง!

ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายที่สามารถแช่ขอบเขตเซียนสวรรค์จนแข็งตายได้เช่นนี้ ยอดฝีมือคนหนึ่งกำลังย่างเท้าเดิน ทุกก้าวส่งเสียงลั่นดั่งฟ้าคลั่งออกมา

คนผู้นี้คือจี้เซวียนปิงจากตระกูลจี้ ชายหนุ่มสวมชุดหลวมโพรกพร้อมกับผ้าคาดเอว มีร่างสูงไหล่กว้างและกลิ่นอายดุดัน กระทั่งหิมะคลั่งในทุ่งน้ำแข็งยังไม่อาจปกปิดกลิ่นอายสูงส่งไว้ได้

ตึง! ตึง! ตึง!

ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินยาว ๆ พร้อมกับสองมือไพล่หลังแล้วมองไปด้านหน้า ยังคงสีหน้านิ่งสนิทไว้ ทว่าไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด สัตว์อสูรจักรวาลก็ระเบิดกลายเป็นผุยผง เหมือนเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งไม่อาจต่อต้าน!

“ได้เท่าไหร่?” จี้เซวียนปิงหันมาหลังจากเดินไปสุดทุ่งหิมะแยกวารี เอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเรื่อย

“ห้าร้อยสามสิบเจ็ด” ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ตระกูลจี้ที่ติดตามมาด้านหลังต่อ

“ยังไม่พอ!” จี้เซวียนปิงขมวดคิ้ว “ไปต่อ!”

ณ ที่ราบซึ่งเต็มไปด้วยโครงกระดูก วิหคอมตะเจ้าของปีกสง่างามและท่วงท่าสูงส่ง ปลดปล่อยกลิ่นอายขั้นสุดออกมากระจายทั่ว เสียงกรีดร้องของวิหคอมตะสะเทือนถึงสวรรค์ทั้งเก้า!

กระแสเพลิงวิหคอมตะไร้สีโปรยลงมาเหมือนฝนห่าใหญ่ ปกคลุมที่ราบจนทั่ว เปลวเพลิงม้วนตัวดั่งคลื่นสมุทรคลุมนภา บดบังตะวัน ระอุไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

เมื่อมองจากระยะไกล ที่ราบที่เต็มไปด้วยโครงกระดูก ซึ่งยาวราวสองหมื่นลี้ล้วนเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ในขณะที่วิหคอมตะผู้เป็นราชันแห่งเปลวเพลิงบินสูงมองลงต่ำ!

ในวันนี้เอง จ้าวเมิงลี่นำศิษย์ภพวิหคอมตะมาจัดการอสูรโครงกระดูกแปดร้อยตัวและเจ้าอสูรทั้งหกแห่ง ‘ที่ราบโครงกระดูก’ ได้รับไปคนละห้าร้อยแต้มดารา

พื้นที่มากมายภายในแดนโลหิต ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังต่อสู้อย่างกล้าหาญ ใช้ทุกช่วงจังหวะเพื่อสั่งสมแต้มดารา

ท่ามกลางการต่อสู้ดุเดือด เหล่าผู้โดดเด่นย่อมเป็นคนจากเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล ผู้มาจากภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และจากมหาอำนาจใหญ่อื่น ๆ

ไม่ใช่ว่าอันตรายต่าง ๆ ในแดนโลหิตนั้นด้อยกำลังเกินไป แต่เพราะพวกเขาต่อสู้กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีข้อมูลของแดนโลหิตอย่างละเอียด ดังนั้นจึงสามารถจัดการกับทุกสิ่งได้

แต่ศิษย์จากที่อื่น ๆ ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในสถานการณ์อันตราย หากไม่ถูกสัตว์อสูรจักรวาลตามล่า ก็ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพจับตัวไป หรือไม่ก็ถูกคนอื่นลอบโจมตี…

ถึงแม้จะยังไม่ถูกคัดออกจากการทดสอบ แต่แต้มดาราที่มีก็เทียบไม่ได้กับพวกที่มาจากมหาอำนาจใหญ่แม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เฉินซีสามารถกำจัดสัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัวในคราวเดียวได้ และได้รับห้าร้อยสิบเจ็ดแต้มดาราจึงไม่เป็นจุดสนใจแต่อย่างใด

ถึงขั้นที่อันดับบนกำแพงลอยแห่งแสงของเขาในโลกภายนอกลดลงด้วยซ้ำ ตอนนี้อยู่ที่อันดับสิบห้าแล้ว

เห็นได้ชัดว่าการทดสอบครั้งที่สองโหดร้ายเพียงใด

เพราะไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรจักรวาลและคนต่างพิภพเท่านั้น แต่ยังต้องรับมือการลอบโจมตีจากคนอื่น ๆ ที่เข้ารับการทดสอบเช่นกัน ทั้งยังต้องต่อสู้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแสนอันตรายภายในแดนโลหิต ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาหาแต้มดาราอย่างคุ้มค่าที่สุด…

อย่างไรนี่ก็เป็นการทดสอบไร้กฎเกณฑ์ ผลถึงออกมาโหดเหี้ยมเช่นนี้!

ที่สำคัญ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นบททดสอบเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ในแดนโลหิตย่อมอันตรายยิ่งขึ้น!

หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย เฉินซีก็ได้วัตถุดิบเซียนเป็นภูเขามาหลายกอง แต่ส่วนมากเป็นวัตถุดิบเซียนขั้นกลาง เทียบกับมูลค่าวัตถุดิบเซียนภายในกระเป๋าเก็บของโม่ฉีหลงไม่ได้เลย

อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้ไม่ค่อยมีของอะไร นอกจากสมบัติอมตะและวัตถุดิบเซียนไม่กี่อย่าง นอกจากนั้นพวกมันก็ไม่มีอะไรอีก

แต่เท่านี้เฉินซีก็พอใจแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้คิดเก็บวัตถุดิบเซียนไปเพราะความโลภ แต่เพื่อนำไปสร้างค่ายกลใหญ่ จะได้สามารถล่าเหยื่อด้วยวิธีเดิมได้

เมื่อใช้วิธีนี้ก็เหมือนกับสู้ศัตรูในถิ่นตนเอง สามารถเก็บเกี่ยวแต้มดาราจำนวนมากได้ไม่รู้จบ ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายใดอีกด้วย

ปัญหาน่าปวดหัวเดียวคือเขาต้องล่อเหล่าอสูรให้เข้ามาในกับดักเสียก่อน

การล่าก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จได้เป็นเพราะเหวยน่าช่วยเหลือไว้ แต่ใช้วิธีเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีสัตว์อสูรจักรวาลกว่าสิบตัว หนีไปได้ ป่านนี้คงกระจายข่าวออกไปแล้ว

มีแต่ต้องหาที่อื่น… เฉินซีครุ่นคิดก่อนเหลือบมองค่ายกลย่อยอสนีบาตพิฆาตมารของตน เมื่อครู่นี้ค่ายกลใหญ่นี้เผยพลังออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

หรือก็คือหากซ่อมแซมมันได้อีกครั้ง เขาก็จะใช้มันได้อีก แต่หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ ก็คงนำมันมาใช้ในบึงวิญญาณโลหิตไม่ได้แล้ว

เหตุผลไม่ได้ซับซ้อนอะไร เพราะสัตว์อสูรจักรวาลในบึงวิญญาณโลหิตแทบจะถูกเขากำจัดจนหมดสิ้น ฉะนั้นถึงรออยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้แต้มดาราเพิ่ม

ครืน!

เสียงฝีเท้าสะเทือนเลือนลั่นพลันดังขึ้นจากที่ไกล ตามมาด้วยเสียงคำรามของอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างดุดัน

เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นสูง เกิดอะไรขึ้นหรือ?

“ย… แย่แล้ว วิญญาณนพเก้ากำลังพาบริวารพุ่งมาทางนี้!” เหวยน่าสั่นไปทั้งตัว นัยน์ตาเผยร่องรอยความหวาดกลัว

ตอนนี้เฉินซีจึงนึกได้ว่าเหวยน่าเข้าใจที่สัตว์อสูรจักรวาลพวกนั้นคุยกัน!

“มีมาเท่าใด?” เฉินซีถามไปก็รู้สึกยินดี กำลังกังวลอยู่เชียวว่าต้องออกไปล่าสัตว์อสูรจักรวาลที่อื่น ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะมุ่งหน้ามาหาเขาเอง!

“ประมาณสองร้อยตัว ไม่สิ… เดี๋ยวก่อน! นั่นเป็นแค่บริวารวิญญาณนพเก้าเท่านั้น ยังมีลูกน้องของพวกเจ้าอสูรอยู่อีก สวรรค์โปรด! หรือว่าเจ้าอสูรทั้งหมดในแถบตะวันออกเฉียงใต้จะเคลื่อนไหวแล้ว?” เหวยน่าพยายามตั้งใจฟังเสียงขู่คำรามดุดันที่ดังมาจากไกล ๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวในน้ำเสียงหนาแน่นขึ้น จนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย

ความปีติยินดีในหัวใจเฉินซีจึงลดลงอย่างมาก เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปยังเส้นขอบฟ้า สถานการณ์ไม่ปกติเล็กน้อย พวกมันรวมกำลังมาถึงขั้นนี้เพื่อจัดการข้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?

หรือมีเป้าหมายอื่น?

เฉินซีขมวดคิ้วแน่น พยายามปัดความคิดไร้สาระในหัวทิ้ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าไม่มีเวลาให้เสียแล้ว หากคาดไว้ไม่ผิด กองทัพใหญ่ของสัตว์อสูรจักรวาลคงมาถึงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ

เรื่องสำคัญในตอนนี้คือการซ่อมค่ายกลย่อยอสนีบาตพิฆาตมารให้ได้เสียก่อน!

“ม..ม…มันหยุดแล้ว เหมือนกำลังรอให้ผู้ยิ่งใหญ่มา…” เหวยน่าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล ความหวาดผวา และไม่สบายใจยิ่ง

“ผู้ยิ่งใหญ่?” เฉินซีที่กำลังจะเริ่มลงมือมุ่นคิ้วอีกครั้ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “พอคะเนได้หรือไม่ว่าเป็นใคร?”

เหวยน่าสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งก่อนเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องตกใจออกมา “หางพิสุทธิ์ เป็นราชาหางพิสุทธิ์! ไม่แปลกเลยที่เจ้าอสูรหลายตัวเคลื่อนไหวเช่นนี้ เป็นราชาหางพิสุทธิ์สั่งการมานี่เอง!”

เฉินซีรู้ว่าราชาหางพิสุทธิ์เป็นสัตว์อสูรจักรวาลที่มีฝีมือสูงส่งในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแดนโลหิต ฝีมือทัดเทียมได้กับสิบอันดับแรกแห่งเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า อีกทั้งราชาหางพิสุทธิ์ยังมีสัตว์อสูรจักรวาลในครอบครองอีกนับพันตัว

“พอรู้จุดมุ่งหมายของมันหรือไม่?” เฉินซีมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าภาพตรงหน้าไม่ปกติยิ่ง

“เหมือนจะมาจับตัวคนจากสามภพนามว่าเฉินซี ดูท่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรานะ” เหวยน่าตอบกลับอย่างรวดเร็ว นางถอนหายใจโล่งอกออกมา เพราะนางไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีนามว่าเฉินซี…

นัยน์ตาเฉินซีฉายแววเยือกเย็นทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น พวกมันรู้ชื่อข้าด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องมีคนไปบอกแน่!

เป็นตระกูลจั่วชิวหรือ?

คนพวกนั้นยอมแหกกฎแห่งสามภพอย่างไร้ลังเล ไปร่วมมือกับพวกสัตว์อสูรจักรวาลเพื่อสังหารข้า!

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก จิตสังหารภายในใจเริ่มเดือดพล่าน เดิมทีตนคิดจะเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ไปก่อน หากไม่สามารถรับมือกับกองกำลังของตระกูลจั่วชิวทั้งหมดได้ ค่อยจัดการไปทีละคนก็ไม่สาย

แต่ตอนนี้ไม่คิดหลีกเลี่ยงอีกแล้ว แต่คิดจะกระโดดเข้าไปเล่นด้วยอย่างเต็มใจด้วยซ้ำ!

ชายหนุ่มจึงเริ่มซ่อมค่ายกลย่อยอสนีบาตพิฆาตมารด้วยความมุ่งมั่น รีบถามเหวยน่าว่า “ในการทดสอบรอบก่อน ๆ เคยมีสัตว์อสูรจักรวาลร่วมมือกับเหล่าศิษย์ที่เข้าทดสอบบ้างหรือไม่?”

เหวยน่าส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”

เฉินซีมุ่นคิ้วแล้วไม่ถามอะไรอีก ตั้งสมาธิซ่อมค่ายกลใหญ่ไป เหวยน่านั้นอย่างมากก็เป็นบริวารของวิญญาณนพเก้า นับว่ามีฐานะต่ำเกินไป จนไม่อาจล่วงรู้ความลับเช่นนั้นได้

ในเวลาเดียวกันนั้น อสูรกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มก็เหินร่างผ่านเหนือท้องฟ้าบึงวิญญาณโลหิต

นับจำนวนได้ประมาณพันตัว และมีรถม้าสมบัติสัมฤทธิ์คันหนึ่งอยู่ตรงกลาง ภายในนั้นคือชายชราผมขาวนัยน์ตาสีเงิน กำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าหงุดหงิด

ชายชราผู้นี้คือเจ้าเหนือหัวแห่งพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของแดนโลหิต ราชาหางพิสุทธิ์!

ส่วนด้านซ้ายขวาของรถม้ามีชายและหญิงยืนอยู่ คือเจียงจูหลิวกับอินเหมียวเมี่ยว!

ฟ้าว

สัตว์อสูรจักรวาลหน้าตาเหมือนนกฮูกบินเข้ามาตรงหน้ารถม้าสมบัติสัมฤทธิ์ จากนั้นเอ่ยคำขึ้นว่า “ฝ่าบาท จ้าวอสูรทั้งห้าและลูกน้องทั้งหลายได้มารวมตัวอยู่ที่บึงวิญญาณโลหิตแล้ว กำลังรอคำสั่งจากพระองค์อยู่ขอรับ!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท