บทที่ 1146 ผู้เยี่ยมยุทธ์มาถึงแล้ว
บทที่ 1146 ผู้เยี่ยมยุทธ์มาถึงแล้ว
ค่ายกลใหญ่ปีศาจดาราพิสุทธิ์ เป็นค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยใช้กระบี่อมตะเจ็ดสิบสองเล่มเป็นธงค่ายกล และกระบี่อมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงเป็นรากฐาน
เมื่อค่ายกลนี้ก่อตัวขึ้น มันสามารถเชื่อมโยมกับพลังของดวงดาว และชักนำให้ปีศาจดาราพิสุทธิ์ลงมา อานุภาพของมันร้ายแรงนัก สามารถสลายวิญญาณ ทำลายกายหยาบ และทรงพลังอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
เมื่อค่ายกลใหญ่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และกักขังจั่วชิวอินกับคนของตระกูลจั่วชิวอีกหกสิบคนอยู่ภายในนั้น ท่าทางผ่อนคลายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ตั้งแต่เริ่มไล่ล่าจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ เฉินซีก็ได้เตรียมธงค่ายกลเหล่านี้ไว้ก่อนแล้ว หลังจากอนุมานครั้งแล้วครั้งเล่า และขัดเกลากระบี่อมตะอีกครั้ง ก่อนที่จะจารึกอักขระยันต์ที่ซับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ถึงเวลาติดตั้งทุกอย่าง ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีกำจัดจั่วชิวอิน และคนอื่น ๆ ในคราวเดียว
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ร่างสูงใหญ่ไล่ตามหลังจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่มักจะลอบโจมตีเพื่อก่อกวนและบดขยี้ขวัญกำลังใจของพวกเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เพื่อช่วงเวลานี้เท่านั้น หลอกล่อให้คนตระกูลจั่วชิวลดการป้องกัน และเดินเข้าสู่กับดักด้วยตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าเฉินซีประสบความสำเร็จ
แต่ชายหนุ่มก็ต้องจ่ายไปมากสำหรับสิ่งนี้ เพราะถึงอย่างไร แม้เต๋าแห่งคันศรจะน่าเกรงขาม แต่มันก็ทำให้จิตใจผู้ใช้เหนื่อยล้า พละกำลังถดถอย และสีหน้าซีดเซียวอย่างยิ่ง
คลื่นเสียงร้องตื่นตกใจและโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากระยะไกล มันถูกเปล่งออกมาโดยจั่วชิวอินและคนตระกูลจั่วชิวที่ติดอยู่ภายในค่ายกลใหญ่
เฉินซีไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างสูงใหญ่ทะยานวูบวาบเหมือนเงาภูตผี และเข้าใกล้ค่ายกลใหญ่
ฟึบ! ฟึบ!
ในเวลาเดียวกัน คันธนูในมือถูกดึงซ้ำ ๆ ส่งเสียงเหมือนพายุที่พัดผ่านอากาศหรือโลหะและหินที่ถูกเจาะ ลูกธนูที่ปล่อยออกจากสายธนูนั้น เหมือนสายฟ้าฟาดที่ผ่าท้องฟ้าพร้อมกับเปล่งแสงที่น่าหวาดหวั่นออกมา
ในช่วงเวลาต่อมา เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากภายในค่ายกลใหญ่ จากนั้นลำแสงสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งผ่านท้องฟ้า
“สามคน…” เฉินซีขมวดคิ้วและไม่พอใจเล็กน้อย ชายหนุ่มทราบอย่างชัดเจนว่า ค่ายกลใหญ่ปีศาจดาราพิสุทธิ์ถูกสร้างขึ้นด้วยความเร่งรีบมากเกินไป ดังนั้นพลังของมันจึงไม่สมบูรณ์ ซึ่งไม่สามารถกักขังจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ไว้ได้นานนัก
ชายหนุ่มจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด และฆ่าพวกมันให้มากขึ้น!
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงสายธนูที่ทรงพลังและชัดเจนดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อลูกธนูฉีกผ่านท้องฟ้าและพุ่งเข้าสู่ค่ายกลใหญ่ พวกมันเป็นเหมือนคมเคียวของยมทูตที่หมายจะยึดวิญญาณและบดขยี้นรก
เสียงคำรามด้วยความโกรธ เสียงร้องโหยหวน และคำสาปแช่งดังก้องมาจากภายในค่ายกลใหญ่… ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังมาพร้อมกับเสียงเสียดหูจำนวนมาก และเสียงระเบิดดังกึกก้องสั่นสะเทือนทั้งฟ้าดิน
…
“แสงสีขาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และปราณที่น่าสะพรึงกลัวลงมา การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นที่นั่น!”
จู่ ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น และมองไปที่ท้องฟ้าอันไกลโพ้น คนที่เป็นผู้นำมีคิ้วหนาดำสนิท มีรูปร่างกำยำ ขณะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ๆ ชายหนุ่มเป็นเหมือนจ้าวเหนือหัวที่ปกครองโลกและควบคุมสามัญชนทั้งปวง ร่างกายแผ่กลิ่นอายสง่างามของการมองโลกอย่างเย่อหยิ่ง
“พี่ใหญ่ฉางไฮ่ นั่นไม่ใช่คนของตระกูลจั่วชิวที่ถูกโจมตีหรอกหรือ?”
เบื้องหลังของชายหนุ่ม มีคนมากกว่าหกสิบคน และหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“เราไปดูกันเถอะ ตระกูลจั่วชิวกล้ำกลืนศักดิ์ศรี และมอบตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าให้กับตระกูลเจี้ยงของเรา เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เราต้องดูแลพวกเขา” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำโบกมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก่อนที่พาคนที่เหลือทะยานออกไปไกล
ตระกูลเจี้ยง!
พี่ใหญ่ฉางไฮ่!
ชายหนุ่มคนนี้คือเจี้ยงฉางไฮ่ ผู้นำของศิษย์รุ่นเยาว์จากหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือตระกูลเจี้ยง! และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้อันดับหกในการทดสอบรอบแรก!
นั่นหมายความว่า กลุ่มคนที่อยู่ทางเบื้องหลังของเจี้ยงฉางไฮ่นั้น ย่อมเป็นศิษย์ของตระกูลเจี้ยงอย่างไม่ต้องสงสัย
…
“ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสของภพมังกร ดำรงตำแหน่งในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าก็ไม่คิดที่จะสนใจตระกูลจั่วชิวที่ไร้ประโยชน์นั่นหรอก” ในอีกทิศทางหนึ่ง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกำลังฉีกผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนและบินเข้ามา หากมองให้ดี ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น คือมังกรจริง ๆ!
มังกรแดง มังกรม่วง มังกรฟ้า มังกรยักษ์น้ำแข็งอันธการ มังกรเถื่อนเกล็ดนิล… พวกมันมีมากกว่ายี่สิบตัว!
มังกรยักษ์ที่เป็นผู้นำนั้น ทั้งร่างกายดูเหมือนกับผลึกแก้ว ใสและโปร่งแสง เกล็ดทั่วร่างแผ่กลิ่นอายอันอ้างว้าง กว้างใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่ออกมา
มันคือจักรพรรดิแห่งเผ่ามังกร มังกรเขียวสายเลือดบริสุทธิ์!
เห็นได้ชัดว่ามังกรเขียวตัวนี้คืออ้าวอู่หมิง ซึ่งเป็นผู้นำจากภพมังกร!
มีศิษย์ประมาณยี่สิบกว่าคนของภพมังกรที่เข้าร่วมการทดสอบการคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า อ้าวอู่หมิงเป็นผู้นำ ด้วยสายเลือดอันสูงส่งและบริสุทธิ์ เขาเป็นจักรพรรดิแห่งมังกร ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งยังน่าตะลึงถึงขีดสุด และครองอันดับที่ห้าในระหว่างการทดสอบรอบแรก!
“พี่ใหญ่อู่หมิง จริงหรือที่ผู้อาวุโสของเผ่ามังกรเราเป็นมิตรกับผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิว เราจึงได้รับคำสั่งให้มาช่วยศิษย์ของตระกูลจั่วชิว?” มังกรแดงที่มีเกล็ดสว่างไสวและมีสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟเคลื่อนผ่านท้องฟ้าขณะเปล่งเสียงคำถามนี้
“ไม่มากไม่น้อย ตระกูลจั่วชิวสัญญาว่าเมื่อเรื่องนี้เสร็จสิ้น พวกเขาจะส่งคืนวัตถุศักดิ์สิทธิ์แห่งภพมังกร วิญญาณมังกรทอง พวกเจ้าทุกคนคงทราบดีว่าผู้อาวุโสของภพมังกรที่สอนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นมาจากเผ่ามังกรทอง และแม้แต่ข้าก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา” อ้าวอู่หมิงอธิบายด้วยเสียงที่ดัง แต่น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย คล้ายหากมีทางเลือกอื่น ตนก็คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
“ดูนั่น! แสงสีขาวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า! ดูเหมือนจะมีการต่อสู้ที่นั่น!”มังกรยักษ์น้ำแข็งอันธการกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“มาเถอะ ไปดูกัน!” อ้าวอู่หมิงสั่ง ก่อนจะโผทะยานไปยังทิศทางนั้น
…
“ตระกูลเหวินเหรินของเราดูเหมือนจะทัดเทียมกับกองกำลังของตระกูลจั่วชิว แต่แท้จริงแล้วเราด้อยกว่าเล็กน้อย ในแง่ของทรัพยากรและกำลังสำรอง อย่าดูถูกความแตกต่างนี้ เพราะมันอาจกว้างใหญ่เหมือนความแตกต่างระหว่างราชันเซียนกับราชันเซียนครึ่งขั้น”
ศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งเรือเหาะสมบัติที่บินอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วอย่างมาก พวกเขาเคลื่อนที่ได้สองร้อยห้าสิบลี้ในพริบตา ซึ่งดูเหมือนกับการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติจริง ๆ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติระดับจักรวาล
การที่พวกเขากล้าโบยบินอย่างอิสระในท้องฟ้าของแดนโลหิต มันจึงพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าชายหญิงกลุ่มนี้ไม่เกรงกลัวที่จะถูกจู่โจม
“การช่วยเหลือศิษย์ของตระกูลจั่วชิวในครั้งนี้ เทียบได้กับการสร้างมิตรภาพระหว่างตระกูลเหวินเหรินและตระกูลจั่วชิว มันค่อนข้างเป็นประโยชน์สำหรับเราเมื่อเราเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวบาง ๆ ยืนอยู่หัวเรือกล่าวอย่างเฉยเมย “ท้ายที่สุด หากในแง่ของอิทธิพลภายในสถาบันจักรพรรดิเต๋า แม้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่สามารถทัดเทียบกับตระกูลจั่วชิวได้”
ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าเหวินเหรินเซียว และเป็นผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเหวินเหริน ผู้ครองอันดับที่สิบสามในการทดสอบรอบแรก และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าเกรงขามเช่นกัน
มีชายหนุ่มและหญิงสาวประมาณสี่สิบคนอยู่ข้างหลัง แน่นอนว่า พวกเขาเป็นศิษย์ชั้นยอดของตระกูลเหวินเหริน
“หลังจากที่พวกเจ้าทุกคนเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เจ้าจะเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงถูกเรียกว่าเจ็ดตระกูลโบราณ พวกเขาสมควรได้รับชื่อเสียงนั่นอย่างแท้จริง” เหวินเหรินเซียวไม่ได้กล่าวอะไรอีก หลังจากที่กล่าวคำดังกล่าว
ในทางกลับกัน กลุ่มชายหญิงที่อยู่ข้างหลังต่างก็มีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
“เอ๊ะ! การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า! เป็นคนของตระกูลจั่วชิว!” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นทันที ดวงตาอาบย้อมด้วยแสงสีทองราวกับดาบ และมันก็เปล่งแสงที่ดุร้ายออกมา มันคือเคล็ดวิชาประเภทหนึ่งที่ได้มาจากพรสวรรค์โดยกำเนิด เนตรทองคำทลายความเป็นจริง!
“เร็วเข้า รีบไปกันเถอะ!” ดวงตาของเหวินเหรินเซียวหรี่ลง ขณะเร่งเรือเหาะสมบัติด้วยพลังทั้งหมด และมันก็เปลี่ยนเป็นลำแสงหายไปอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า
…
หากมองลงมาจากจุดสูงสุดบนท้องฟ้าเหนือแดนโลหิต ก็จะสังเกตเห็นกลิ่นอายอันน่าเกรงขามกำลังบินเข้ามาอย่างน่ากลัว ราวกับสายฟ้าฟาดที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกพุ่งตรงไปยังจุดเดียวกัน!
ในขณะนี้ เฉินซีได้ล่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวไปสิบสองคนแล้ว
ชายหนุ่มง้างคันธนูและกำลังจะส่งลูกศรออกไป แต่หัวใจกลับกระตุกอย่างรุนแรง ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนตรเทวะแห่งความจริงที่กลางหน้าผาก เปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนที่มันจะก่อตัวเป็นฉากต่าง ๆ
“นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว มองไปยังค่ายกลใหญ่ปีศาจดาราพิสุทธิ์ที่ใกล้จะพังทลาย ก่อนจะเก็บคันธนูและจากไปทันที
ในบรรดาศิษย์ตระกูลจั่วชิวทั้งสิบสองคนที่ถูกกำจัด มีเก้าคนเลือกเปิดใช้งานตราดาราม่วง ทำให้เฉินซีไม่สามารถได้รับแต้มดารามาไว้ในครอบครองได้ แต่อีกสามคนถูกเขาสังหาร ทำให้เฉินซีได้แต้มดารารวมกันมากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยแต้ม
เมื่อรวมกับแต้มดาราก่อนหน้านี้ แต้มดาราในปัจจุบันมีมากถึงหนึ่งหมื่นเก้าร้อยสามสิบแต้มแล้ว!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากที่เฉินซีเพิ่งจากไป ร่างจำนวนมากก็ทะยานมาจากท้องฟ้า และพวกมันทั้งหมดก็ล้อมรอบค่ายกลใหญ่ปีศาจดาราพิสุทธิ์
“ตระกูลเจี้ยง?”
“ตระกูลเหวินเหริน?”
“ภพมังกร?”
ทันทีที่ศิษย์ของกองกำลังทั้งสามเผชิญหน้ากัน พวกเขาทั้งหมดก็ตกตะลึง หลังจากพูดคุยกันสั้น ๆ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่า ทั้งหมดมาเพื่อช่วยเหลือตระกูลจั่วชิว จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ
อย่างไรก็ตาม การระมัดระวังซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท้ายที่สุดที่แห่งนี้ก็คือแดนโลหิต ทุกคนเป็นคู่แข่งกัน แม้แต่ศิษย์นิกายเดียวกันยังทะเลาะกันได้ แล้วพวกเขาจะประมาทได้อย่างไร?
ในเวลาไม่นาน จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ก็รอดพ้นจากวิกฤตด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังทั้งสามนี้
จั่วชิวอินและคนตระกูลจั่วชิวอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นเจี้ยงฉางไฮ่ เหวินเหรินเซียว อ้าวอู่หมิง และคนอื่น ๆ ทั้งหมดต่างก็ตกใจอย่างมาก
ลำพังแค่คนเพียงคนเดียว กลับสามารถบดขยี้ตระกูลจั่วชิวได้ถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?
พวกเขาไม่ได้คิดว่าคนตระกูลจั่วชิวเป็นคนอ่อนแอ ไม่อย่างนั้น คงไม่อาจเข้าสู่การทดสอบรอบที่สอง และอยู่รอดได้จนถึงตอนนี้
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล่าวเยาะเย้ยคนตระกูลจั่วชิวแต่อย่างใด
จั่วชิวอินมีสีหน้าที่หมองคล้ำและไร้ชีวิตชีวาอย่างมาก เพราะไม่นานมานี้ เขาสูญเสียศิษย์ไปถึงสิบสองคน ตอนนี้เหลือศิษย์ตระกูลจั่วชิวประมาณสิบสี่คนเท่านั้น
เมื่อเทียบกับจำนวนศิษย์เจ็ดสิบหกคนก่อนหน้านี้ พวกเขาสูญเสียกองกำลังไปมากกว่าครึ่ง เป็นการสูญเสียที่หนักหนายิ่ง
“ขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ” จั่วชิวอินหายใจเข้าลึกและระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ ขณะป้องประสานมือ
“ไม่จำเป็น” เจี้ยงฉางไฮ่โบกมือในลักษณะสบาย ๆ
“พี่อิน เจ้าเด็กนั้นอยู่ที่ไหนกัน เราได้รับคำสั่งให้ช่วยเหลือเจ้าตามล่าและสังหารชายหนุ่มที่ชื่อเฉินซีด้วยกำลังทั้งหมดของเรา” น้ำเสียงของเหวินเหรินเซียว ราวกับถูกผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน
“ฮึ่ม! รีบบอกมาจะได้เสร็จภารกิจไว ๆ ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก” เมื่อเทียบกับเจี้ยงฉางไฮ่และเหวินเหรินเซียวแล้ว อ้าวอู่หมิงนั้นกลับเย็นชาและไม่แยแส เขากลายร่างเป็นมนุษย์ รูปลักษณ์หล่อเหลา เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ มีท่าทีที่ห่างเหิน และดูเหมือนจะดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
จั่วชิวอินทราบอย่างชัดเจนว่า นี่คือธรรมชาติของเผ่ามังกร พวกเขาหยิ่งผยองจนถึงกระดูกดำ อีกทั้งยังรู้สึกว่าสายเลือดของตนสูงส่งและยิ่งใหญ่ จึงมีความรู้สึกที่เหนือกว่าโดยกำเนิด