บทที่ 1136 แตกพ่ายยับเยิน
บทที่ 1136 แตกพ่ายยับเยิน
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ฝนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า เศษเนื้อกระเด็นออกไปทุกทิศทุกทาง ละอองเลือดหนาแน่นจนก่อเป็นหมอกเลือดล่องลอยไปทั่วฟ้าดิน และขอบเขตของหมอกเลือดก็ขยายตัวออกไปพร้อมกับฝีเท้าของเฉินซี
การเคลื่อนไหวแม้ดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ทุกย่างก้าวกลับรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มเคลื่อนตัวได้ถึงสองลี้ในพริบตา และแม้มันจะเทียบไม่ได้กับการเคลื่อนย้ายมิติที่แท้จริง แต่เท่านี้ก็รวดเร็วจนถึงขีดจำกัดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเฉินซีนั้นรวดเร็วกว่าเคล็ดวิชาตัวเบามาก และมันยังคมกริบอีกด้วย
ปราณกระบี่นี้ เป็นตัวแทนของเคล็ดกระบี่วารี ซึ่งเปลี่ยนปราณกระบี่ให้กลายเป็นละอองหมอกปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน อีกทั้งยังครอบคลุมเส้นทางที่ก้าวเดินทุกฝีก้าว สัตว์อสูรจักรวาลทุกตัวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างพุ่งตัวเข้าใส่อย่างเดือดดาล แต่มันไม่อาจเข้าใกล้ได้ในระยะสองลี้ เพราะพวกมันถูกฟันจนกลายเป็นละอองเลือดด้วยปราณกระบี่ที่แหลมคม!
แต่เฉินซีกลับดูไม่รับรู้ต่อเรื่องทั้งหมดนี้ ชายหนุ่มยังคงสีหน้าสงบนิ่ง สายตาจดจ่อไปยังระยะไกล ไม่คล้ายกำลังฆ่าฟัน แต่เป็นเหมือนนักเดินทางที่ผ่านมาแทน
นักเดินทางที่ผ่านสถานที่แห่งนี้ และก่อให้เกิดพายุเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ คร่าชีวิตไปมากมายนับไม่ถ้วน!
เฉินซีสงบนิ่งและสุขุม ปราณกระบี่เหมือนฝนตกปรอย ๆ ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พื้นดินใต้เท้าเต็มไปด้วยซากศพขาดวิ่น เลือดไหลนองเป็นทาง เศษกระดูกกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง
ชายหนุ่มเดินตัวตรงในชุดสีเขียว เส้นทางแห่งการเข่นฆ่าเบ่งบานอยู่ใต้ฝ่าเท้า!
พรูด! พรูด! พรูด!
เสียงครางอู้อี้ดังขึ้นและเงียบลง ราวกับเป็นสัญญาณแห่งความตาย เหมือนเสียงระฆังของยมทูตที่ค่อย ๆ กลบเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดที่อยู่รอบ ๆ
ไม่ทราบว่าไปนานเพียงใด อาจเป็นเพียงชั่วพริบตา หรือเป็นเวลาที่นานแสนนาน
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่อยู่รอบข้างก็เปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด มีเพียงเสียงของเลือดที่สาดกระเซ็นดังก้อง ทำให้บรรยากาศบีบคั้นจนถึงขีดสุด
ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในหัวใจของสัตว์อสูรจักรวาลทุกตัว และพวกมันเหมือนกำลังจมอยู่ใต้กระแสน้ำแห่งความตาย!
“อ้า!!!” ทันใดนั้น สัตว์อสูรจักรวาลตนหนึ่งไม่สามารถทนกับฉากนองเลือดตรงหน้าได้ มันคำรามสุดเสียง ก่อนจะหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
สิ่งนี้เป็นเหมือนชนวนระเบิด เพียงพริบตา กองทัพสัตว์อสูรที่หวาดกลัว ก็ส่งเสียงดังก้อง หนีตายกระเจิดกระเจิง ราวกับไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการเกิดมาพร้อมกับขาอีกสองสามขา
เฉินซีไม่สนใจ เพราะนับตั้งแต่ช่วงเวลาที่มหาค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมารถูกทำลาย ญาณมหาเทวะอมตะก็จับจ้องไปที่เจียงจูหลิว อินเหมียวเมี่ยว และราชาหางพิสุทธิ์อย่างแน่วแน่
สำหรับสัตว์อสูรจักรวาลตัวอื่น ๆ เฉินซีไม่สนใจ แม้พวกมันจะมีจำนวนเกือบห้าร้อยตัวก็ตาม เพราะตอนนี้พวกมันเป็นเพียงกลุ่มสัตว์ไร้ค่าซึ่งอยู่ในความเมตตาของตนเท่านั้น
นี่คือข้อได้เปรียบที่แท้จริงของความแข็งแกร่ง!
แม้ว่าเฉินซีจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น แต่พลังฝีมือกลับไร้เทียมทานในหมู่ผู้ที่มีขอบเขตการบ่มเพาะระดับเดียวกัน เห็นได้ชัดจากอันดับที่เก้าในระหว่างการทดสอบรอบแรก
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังเป็นผู้เดียวที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ท่ามกลางสิบอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!
เมื่อรวมกับมรดกอย่างเคล็ดกระบี่วารีที่ได้รับจากการเข้าใจยันต์เทวะอนันต์ ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ทัดเทียม
ซึ่งแน่นอนว่า เป้าหมายของเฉินซีคือเจียงจูหลิว อินเหมียวเมี่ยว และราชาหางพิสุทธิ์ที่อยู่ในระยะไกล!
กลิ่นอายของราชาหางพิสุทธิ์นั้นน่าเกรงขาม และสร้างแรงกดดันอย่างยิ่ง ดังนั้นเฉินซีจึงให้ความสำคัญกับราชาหางพิสุทธิ์มากที่สุด ในทางกลับกันอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวก็เป็นศัตรูเช่นกัน ชายหนุ่มจึงไม่คิดปล่อยทั้งสองคนไป
แม้จะทราบดีว่า ภายในแดนโลหิตแห่งนี้ เขาไม่สามารถฆ่าทั้งสองได้อย่างแท้จริง แต่ตราบใดที่สามารถกำจัดทั้งสองออกจากการทดสอบได้ พวกเขาจะไม่มีโอกาสเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้อีก
เฉินซีจะทำลายอนาคตของพวกเขาทางอ้อม แล้วหลังจากนี้จะไปตามเก็บบัญชีแค้นในภายหลังก็ยังไม่สาย!
…
ชายหนุ่มก้าวเดินโดยที่ไม่ขยับร่างกายใด ๆ ในขณะที่ปราณกระบี่กลืนกินสภาพแวดล้อมโดยรอบ และพยายามเปิดเส้นทางเลือดผ่านท่ามกลางกองทัพสัตว์อสูรจักรวาลที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นฉากนี้ เจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยวก็อดที่จะกังวลไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นพลังฝีมือของเฉินซีตั้งแต่ออกจากทวีปทักษิณา และในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมคนผู้นี้ถึงได้อันดับเก้าในการทดสอบรอบแรก
เพราะเพียงแค่ปราณกระบี่ที่ดุร้ายและไร้เทียมทานเช่นนี้ ก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้มาก และเฉินซีอาจถือได้ว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งในเต๋าแห่งกระบี่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น!
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่จนเต็มใบหน้า มันยากที่จะยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับ ความจริงได้ปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว!
“ให้ราชาหางพิสุทธิ์ลงมือเถอะ แล้วเราใช้จังหวะนี้หลบหนี แล้วกลับไปรวมตัวกับจั่วชิวอินในภายหลัง เฉินซีไม่ใช่คนที่เราจะต่อกรได้” อินเหมียวเมี่ยวหายใจเข้าลึก นางพยายามควบคุมความรู้สึกซับซ้อนและตกตะลึงในใจ ขณะกล่าวอย่างรวดเร็วผ่านกระแสปราณ
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต หญิงสาวจำได้ว่าตอนที่ตนเองเผชิญหน้ากับการท้าทายของเฉินซีในวันนั้น นางเคยกล่าวว่า เฉินซีไม่คู่ควร…
หลังจากนั้นอินเหมียวเมี่ยวก็นึกถึงคำตอบที่เฉินซีเคยให้กับนาง ‘เจ้าไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่จะท้าทายข้าในอนาคต… ’
ในตอนนั้น หญิงสาวรู้สึกว่ามันไร้สาระและไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ มันก็เหมือนโดนตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุข พ่ายแพ้ และผิดหวัง เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้
“ตกลง” สีหน้าของเจียงจูหลิวเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อได้ยินเสียงของอินเหมียวเมี่ยว ชายหนุ่มกัดฟันและตอบตกลงในที่สุด แม้จะมันเป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะถูกบีบออกจากรอยแยกระหว่างฟัน เป็นเรื่องยากและหนักหนาสำหรับเขานัก
ชายหนุ่มไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าตนด้อยกว่าเฉินซี ทว่า… ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้! อารมณ์ของเขาจึงหดหู่และน่ากลัวอย่างมาก
“เร็วเข้า! เตรียมตัวให้พร้อมกองทัพสัตว์อสูรจักรวาลกำลังจะแตกพ่าย!” สีหน้าของอินเหมียวเมี่ยวเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว ขณะกล่าวอย่างรวดเร็ว
เจียงจูหลิวพลันรู้สึกตกตะลึง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสัตว์อสูรจักรวาลที่เหลือเพียงสองร้อยตัว ซึ่งกำลังหลบหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความตื่นตระหนก
ชู่ว!
อย่างไรก็ตาม อินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อราชาหางพิสุทธิ์ที่สะสมพลังอยู่ที่ด้านข้างมาตลอด จู่ ๆ จะทะยานหลบหนีไปในขณะนี้!
ใครจะคาดคิดว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์สัตว์อสูรจักรวาลซึ่งเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า กลับเลือกหนีอย่างคนขี้ขลาด หลังจากเฝ้าดูบริวารมากกว่าครึ่งถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี?
อย่างน้อยทั้งเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยวก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
“บัดซบ! พวกเจ้าฝากไว้ก่อนเถอะ! พลังฝีมือของเจ้าเด็กคนนี้แข็งแกร่งมาก แต่ยังกล้าใช้เขาหลอกลวงราชาผู้นี้! ข้าจะแก้แค้นมันในภายหลังอย่างแน่นอน!” เสียงของราชาหางพิสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความแค้นอันไร้ขอบเขตดังขึ้นจากระยะไกล ทำให้หัวใจของอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวจมดิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด ใบหน้าของทั้งสองซีดเซียวยิ่ง
“เหมียวเมี่ยว รีบไปซะ! ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้าเอง!” ความเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงจูหลิว ชายหนุ่มกัดฟันขณะกล่าว เสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง แต่ภายในนั้นกลับมีความเด็ดเดี่ยวมากกว่าที่เห็นภายนอก
อินเหมียวเมี่ยวตกตะลึง นางรู้สึกประทับใจเล็กน้อย “ได้ หากวันนี้เจ้าต้องประสบคราวเคราะห์ ข้าจะล้างแค้นมันเป็นสิบเท่า!” ขณะที่กล่าวหญิงสาวชำเลืองมองเจียงจูหลิว ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปอย่างไม่ลังเล
“คิดหนีหรือ? ฝันไปเถอะ!” ทันใดนั้น เสียงที่ไม่แยแสและสงบของเฉินซีก็ดังออกมาจากระยะไกล ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าไล่ตามอินเหมียวเมี่ยวไปอย่างรวดเร็ว
การหลบหนีอย่างกะทันหันของราชาหางพิสุทธิ์ ทำให้เฉินซีประหลาดใจเช่นกัน และทำให้แผนของตนยุ่งเหยิง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา
ยิ่งเมื่อเห็นอินเหมียวเมี่ยวตั้งใจหลบหนีเช่นกัน ชายหนุ่มจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
ชู่ว!
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะไล่ตามอินเหมียวเมี่ยวทัน ชายหนุ่มก็ถูกเจียงจูหลิวสกัดไว้
“เฉินซี ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าเอง!” เจียงจูหลิวกู่ร้องอย่างดุดัน ก่อนที่กระบี่อมตะสีเงินจะปรากฏขึ้นในฝ่ามือ มันถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งกฎเมื่อมันฟันลงมาที่เฉินซี!
กระบวนท่านั้นรุนแรงและเด็ดขาด ซึ่งเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของการไม่แยแสต่อชีวิตและความตาย!
เคร้ง!
เฉินซีขมวดคิ้วจากนั้นเพียงสะบัดนิ้วเบา ๆ แต่มันกลับเหมือนค้อนขนาดใหญ่เมื่อกระแทกเข้ากับกระบี่ของเจียงจูหลิว มันทำให้เจียงจูหลิวสั่นสะท้านจนกระบี่พังทลาย ร่างกายซวนเซไปด้านหลัง
เฉินซีละความสนใจจากเจียงจูหลิว และไล่ตามอินเหมียวเมี่ยวอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้า ก็อย่าได้หวังว่าจะไล่ตามเหมียวเมี่ยวได้!”
อย่างไรก็ตาม เจียงจูหลิวไม่ได้รู้สึกหดหู่แม้แต่น้อย ชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง กระบี่อมตะสีเงินเปลี่ยนเป็นม่านกระบี่มหึมาราวกับก้อนเมฆสีเงินที่แผ่ขยายไปทั่วฟ้า และพุ่งเข้าหาเฉินซี!
การโจมตีครั้งนี้น่ากลัวถึงขีดสุด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเจตนาโหดเหี้ยมและน่าสยดสยอง ซึ่งตั้งใจลากเฉินซีให้ตายตกตามกัน มันทำให้คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นเล็กน้อย และไม่กล้าประมาทกับการโจมตีครั้งนี้
เฉินซีจึงสร้างกระบี่ด้วยนิ้วมือ ก่อนที่จะฟันกระบวนท่าคลื่นเมฆาทำลายล้างออกไป บังเกิดเป็นปราณกระบี่มากมายจนกลายเป็นคลื่นเมฆถาโถมลงมา และบดขยี้การโจมตีของเจียงจูหลิวได้อย่างง่ายดาย!
กว่าการต่อสู้จะจบลง อินเหมียวเมี่ยวก็หนีไปไกลจนไม่เหลือร่องรอยของนางอีกต่อไป
“น่าเสียดายจริง ๆ” เฉินซีครุ่นคิดในใจ ชายหนุ่มหันกลับไปมองเจียงจูหลิวด้วยสายตาเย็นชาอย่างยิ่ง ทั้งที่คนผู้นี้เป็นถึงอันดับหนึ่งของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา แต่เหตุใดถึงกลายเป็นคนเช่นนี้!
ในความเป็นจริง ทั้งสองไม่ได้มีความบาดหมางกันแม้แต่น้อย แต่คนผู้นี้กลับไม่ลังเลที่จะลงมือเพื่ออินเหมียวเมี่ยว ทั้งยังสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลจั่วชิว ทำให้เฉินซีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“เฉินซี เข้ามาเลย! เจ้าไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าข้าหรอกหรือ? ตอนนี้เป็นโอกาสเดียวของเจ้าแล้ว!” เจียงจูหลิวเย้ยหยันด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “น่าเสียดาย ที่นี่คือแดนโลหิต ดังนั้นเจ้าจึงสังหารข้าไม่ได้อย่างแม้จริง ฮ่า ฮ่า!”
เฉินซีขมวดคิ้ว “เจ้าไม่คิดถึงความจริงที่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอีก หากถูกคัดออกจากการทดสอบรอบนี้? เจ้าคิดว่าอินเหมียวเมี่ยวจะยังคงเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้าหรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป สีหน้าของเจียงจูหลิวก็แข็งทื่อ ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เหมียวเมี่ยวไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
เฉินซีชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารเล็กน้อย “แม้แต่เจ้าก็ทราบดีว่า ภูมิหลังของเจ้าไม่สามารถเทียบเคียงอินเหมียวเมี่ยวได้ และตอนนี้เจ้าก็หมดโอกาสที่จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว แม้ว่าอินเหมียวเมี่ยวจะตกลงที่จะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า แต่คนของตระกูลอินเล่า?”
เสียงของเฉินซีนั้นสงบและไม่แยแส แต่ทุกคำพูดเป็นดั่งใบมีดแหลมคมที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจของเจียงจูหลิว สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ฮ่า ฮ่า! จริงดั่งเจ้าว่า ข้ามีภูมิหลังยากจนเทียบไม่ได้กับตระกูลอิน ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากำลังจะถูกกำจัดเช่นกัน แต่เจ้าล่ะ? จั่วชิวอินได้จัดเตรียมแผนมากมายเพื่อกำจัดเจ้าจากการทดสอบ เจ้าคิดว่าตระกูลจั่วชิวจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต และเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้หรือ?” จู่ ๆ เจียงจูหลิวก็หัวเราะลั่น “สถานการณ์ของเจ้าแย่กว่าข้าเสียอีก เจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะหัวเราะเยาะข้า? แม้ข้าจะเกิดมายากจน แต่ก็สูงส่งกว่าเจ้าที่มาจากภพมนุษย์เป็นล้านเท่า!”
ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่แยแส ขณะมองเจียงจูหลิวอย่างใจเย็น “ภูมิหลังนั้นสำคัญอย่างไร?”
น้ำเสียงของเฉินซีเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์แปลกประหลาด ในใจหวนนึกถึงจั่วชิวเสวี่ย ซึ่งเป็นมารดาของตน…
——————————–