บทที่ 1150 สระบงกชครามศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1150 สระบงกชครามศักดิ์สิทธิ์
การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้น
กองกำลังต่าง ๆ ที่เข้าต่อสู้แบ่งคร่าว ๆ ออกเป็นสามฝ่าย เป็นคนจากพวกจ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง และเซวียนหยวนอวิ่น กับคนจากจั่วชิวอิน อ้าวอู่หมิง เจี้ยงฉางไฮ่ และเหวินเหรินเซียว
ส่วนฝ่ายที่สามคือกองกำลังเล็กอื่น ๆ เทียบกับสิ่งมีชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่ในโลกภายนอกแล้ว พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือในรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับฝ่ายอื่น ๆ แล้วก็ยังเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ และอ่อนแอที่สุดอยู่ดี
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็จะถูกบีบให้ต้องใช้ตราดาราม่วงเพื่อหนีออกไป แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่หนีไม่ทัน ถูกสังหารก่อนจะออกไปจากแดนโลหิตได้
นับเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่ง ทำให้เฉินซีที่อยู่ไกลออกไปยังตกใจกับฉากนี้
แต่พอคิดดูแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ปะทุขึ้นก็ด้วยความบังเอิญ เขายังคิดอยู่เลยว่าจะใช้ราชาวิญญาณหน้าศิลาจัดการกับศัตรูที่ไล่ล่าตน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกลุ่มของจ้าวเมิ่งหลี นับว่าเต็มไปด้วยความบังเอิญโดยแท้
ว่ากันว่าอนาคตยากจะคาดเดา เพราะโชคช่วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงมักซับซ้อน แปลกประหลาด และไร้สาระยิ่งกว่าตำนานเสียอีก
“คนเราย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงผลการกระทำของตนเองได้ ฮ่า ๆ ! ความรู้สึกของจั่วชิวอินในตอนนี้คงซับซ้อนมากทีเดียวใช่หรือไม่?” เฉินซีเผยรอยยิ้มมุมปากขณะมองจั่วชิวอินที่กำลังต่อสู้ด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก
ชายหนุ่มรู้ว่าหลังการต่อสู้อันดุเดือดนี้ ตระกูลจั่วชิวก็คงเสียคนไปกว่าครึ่ง เขาไม่ต้องลงมืออีกฝ่ายก็คงอยู่ในแดนโลหิตได้ยาก
จากนั้นเฉินซีก็หยุดคิดแล้วเหินร่างเข้าสู่ส่วนลึกของป่าหินต่อไป
การต่อสู้ที่อยู่ไกล ๆ กระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบถึงพื้นที่กว่าสองพันลี้ และยังคงกระจายออกเรื่อย ๆ หากยังอยู่ตรงนี้ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เดิมทีเฉินซีอยากซุ่มดูและฉวยโอกาสใช้ความโกลาหลครั้งนี้สังหารจั่วชิวอินกับพวก แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจากไป
ช่วยไม่ได้นี่นะ ถึงจะไม่ต้องเข้าไปต่อสู้ด้วย แต่สุดท้ายมันก็เกิดจากตนอยู่ดี หากเขาไม่มาปรากฏตัวที่นี่ ศัตรูและพวกจั่วชิวอินก็คงไม่ไล่ล่ามาไกลถึงเพียงนี้
หากจ้าวเมิ่งหลีและคนอื่นรู้เข้า คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ที่สำคัญที่สุดคือ เฉินซีสังเกตเห็นราชาวิญญาณหน้าศิลาบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายแล้ว หากตามล่าราชาวิญญาณหน้าศิลา เวลานี้ก็คงเป็นจังหวะดีที่สุด
…
แม้เฉินซีจะออกไปแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก
พวกจ้าวเมิ่งหลีกับพวกจั่วชิวอินต่อสู้กันอย่างดุเดือด ล้วนได้รับความเสียหายไม่ต่างกัน คนถูกสังหารไปมากมาย หรือถูกบีบให้ต้องใช้ตราดาราม่วงไปหลายคน
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายจึงสูญเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ก็ยังไม่มีใครยอมแพ้
ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือจากกองกำลังชั้นยอดที่มีหน้ามีตาและเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง จนอยากจะอวดความภาคภูมิทั้งหลายไว้บนหน้าผากด้วยซ้ำ มีหรือจะยอมแพ้ให้อีกฝ่ายได้?
อีกทั้งนี้ยังเป็นการทดสอบภายในแดนโลหิต หากเป็นในโลกภายนอกก็คงมีการย้ำคิดว่าการต่อสู้ระดับนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ แต่เมื่ออยู่ภายในแดนโลหิตจึงไม่ต้องคิดอะไรมาก
อย่างไรก็ต่อสู้ไปเพื่อแต้มดาราอยู่แล้ว ถึงจะถูกสังหาร แต่ก็ไม่ได้ตายจริง แล้วใครจะอยากหนีการต่อสู้เช่นนี้?
อีกทั้งการทดสอบรอบที่สองก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว พวกเขาเป็นศัตรูกัน จึงไม่อาจเลี่ยงการปะทะนี้ไปได้ จะช้าหรือเร็วอย่างก็ต้องสู้กันอยู่ดี
หลายคนก็คงมีความคิดเช่นนี้ สงครามระหว่างสองฝ่ายจึงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และกระจายตัวออกไปนับหมื่นลี้
ถึงขนาดที่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้ ก็ส่งข่าวให้กองกำลังพันธมิตรเชื้อเชิญให้มาช่วยเหลือในการต่อสู้นี้อีกด้วย
“เจ้าจะเรียกคนอื่นมาหรือ? หึ! ก็ได้ ข้า อ้าวอู่หมิง ก็เป็นพันธมิตรกับเจิ่นลู่เช่นกัน ดูซิว่าเจ้าจะสามารถเชิญใครมาได้บ้าง!”
“หึ! คิดหรือว่าข้าจะกลัว? จ้งลี่ซวินกับพวกใกล้มาถึงแล้ว ในเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล ตัวข้า จี้เซวียนปิง เกลียดตระกูลเจี้ยงเป็นที่สุด ในเมื่อจะสู้กันแล้วก็สู้กันให้สาแก่ใจกันไปเลย!”
“ภพวิหคอมตะของข้าเป็นมิตรกับตระกูลมู่มาตั้งแต่กาลก่อน ตระกูลมู่อยู่ที่แดนกลางแล้ว ไม่ถึงเค่อก็คงมาถึงที่นี่”
“หึ! ตระกูลมู่กับตระกูลโม่ชีเป็นศัตรูคู่อาฆาต หากคนตระกูลมู่มา มีหรือตระกูลโม่ชีจะไม่มา? ตระกูลเจี้ยงของข้ามีการแต่งงานกับตระกูลโม่ชีมาหลายชั่วอายุคน!”
ได้ยินเสียงตะโกนดังก้องขึ้นในสนามต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร อยากจะสังหารอีกฝ่ายให้สิ้น ดังนั้นจึงไม่สนใจสิ่งอื่นแล้วรวบรวมพันธมิตรเข้าต่อสู้เพื่อให้ฝ่ายตนชนะ
นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะสำหรับคนจากตระกูลมีฐานะเช่นนี้ พันธมิตรก็สำคัญพอ ๆ กับภูมิหลังตระกูล ล้วนเป็นความแข็งแรงของกองกำลังเช่นกัน มีความสัมพันธ์อันดีไว้เช่นนี้ก็เพื่อเอาไว้รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไรเล่า
ครั้งนี้เจ้าช่วยข้า ครั้งหน้าข้าช่วยเจ้า เมื่อได้ช่วยเหลือกันและกันเช่นนี้ก็จะเกิดเป็นความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นได้เพราะสองฝ่ายมีฐานะเท่ากัน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์เท่าไหร่
อย่างที่ใครบางคนว่าไว้ ความภักดีมีไว้สำหรับผู้มีฐานะต่ำเท่านั้น ไม่ใช่ชนชั้นสูง
พวกที่มีความภักดี ความชอบธรรม และกล้าสละชีพเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาสามัญ ในขณะที่พวกชนชั้นสูงมักทรยศสหายตนเอง เพราะมีทั้งอำนาจ ฐานะ เงินตราอยู่แล้ว ความภักดีจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป
แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงความคิดของคนเพียงฝั่งเดียว แต่ก็เป็นคำที่นำมาใช้ได้ในหลายสถานการณ์
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
พริบตาเดียวร่างเงาจำนวนมากก็เริ่มเหินเข้ามาจากทั่วทุกทิศ รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด พวกเขาไม่ปกปิดกลิ่นอายแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าจะถูกใครลอบโจมตีระหว่างเหินร่างเข้ามาด้วย
นั่นเป็นเพราะทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือจากเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาลอย่างตระกูลมู่ ตระกูลโม่ชี ตระกูลจ้งลี่ และตระกูลอื่น ๆ นั่นเอง
การมาถึงของคนเหล่านี้เหมือนลมที่โหมเปลวเพลิงให้ลุกโชนยิ่งขึ้น การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้นทั่วทุกทิศ เสียงการต่อสู้ดังครืน แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายไปทั่วฟ้าดินแห่งป่าศิลาวินาศ
เกรงว่าคนอื่น ๆ ที่ยังรอดอยู่ภายในแดนโลหิตคงจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นแน่
…
ภายในส่วนลึกของป่าศิลาวินาศ เฉินซีอดสงสัยไม่ได้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพื้นดินที่สั่นสะเทือน และเสียงดังก้องจากการต่อสู้ที่ดังไล่หลังมาได้ราง ๆ ดูท่าจะเป็นการต่อสู้ที่น่าเกรงกลัวกว่าที่คิดไว้เสียอีก…
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งมีคนออกจากการทดสอบไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น หากคนตระกูลจั่วชิวถูกสังหารหมดก็ยิ่งดี หากเป็นเช่นนั้นได้เขาจะยินดียิ่ง เฉินซีคลี่ยิ้มก่อนพุ่งความสนใจไปทางด้านหน้า
ปัจจุบันเขามีหนึ่งหมื่นสองพันแต้มดาราในตราดาราม่วง เท่านี้ก็เพียงพอจะรั้งอันดับที่หนึ่งของการทดสอบในอดีตได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดอีก
เพราะถึงจะไม่ได้แต้มดาราเพิ่มหลังจากนี้ ชายหนุ่มก็เชื่อว่าตนต้องติดยี่สิบอันดับแรกแน่นอน
แฮ่ก แฮ่ก
ได้ยินเสียงหอบหายใจไม่น่าฟังดังขึ้นในความมืดมิด เมื่อรอบกายมืดสนิท เสียงเช่นนี้ยิ่งฟังดูน่ากลัว ราวกับเสียงอสูรดุร้ายที่กำลังอ้าปากกว้างรอเขมือบเหยื่ออยู่อย่างไรอย่างนั้น
เฉินซีได้ยินแล้วนอกจากไม่กลัวแต่กลับดีใจแทน เพราะนั่นต้องเป็นเสียงราชาวิญญาณหน้าศิลาเป็นแน่
ฟ้าว!
อึดใจต่อมาเงาร่างสูงใหญ่ก็แวบหายไปเหมือนภาพมายา ชายหนุ่มมุ่งหน้าเข้าสู่ความมืดมิดและค่อย ๆ เข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลาวินาศ
แนวเขาสูงแถบหนึ่งตั้งอยู่สูงเสียดฟ้า ยอดเขาสูงต่ำลดหลั่นกันไป เหมือนปราการเชื่อมฟ้าดินขวางทางเฉินซีเอาไว้ ทั้งยังปิดบังฟ้าทอดเงามืดลงมาอีกต่างหาก
ที่ตีนเขาคือพื้นที่ราบที่มีกองกระดูกหลายกอง เป็นภาพที่ดูน่าตกใจไม่ใช่น้อย
เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เฉินซีก็ซ่อนตัวอยู่หลังหินก้อนหนึ่งแล้วใช้เนตรเทวะแห่งความจริงตรวจสอบ
ไม่นานก็เห็นทางเข้าที่ซ่อนอยู่ในผนังถ้ำ ชายหนุ่มใช้เนตรเทวะแห่งความจริงจึงสังเกตเห็นว่าหลังทางเข้านั้นเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่จนมองไม่เห็นสุดปลายทางทีเดียว!
ผนังหินนั้นดูธรรมดายิ่ง แต่แท้จริงล้วนเป็นวิญญาณหน้าศิลา นับดูคร่าว ๆ ได้มากกว่าร้อยตัว ร่างของมันผสานรวมกับผนังหินอย่างสมบูรณ์ พลังชีวิตถูกกักเก็บไว้ภายในจนมิด ทำให้ดูเหมือนหินธรรมดา หากไม่ได้เนตรเทวะแห่งความจริง กระทั่งเฉินซีก็คงไม่รู้
หากเป็นใครอื่นเข้ามาที่นี่ ก็คงถูกโจมตีโดยวิญญาณหน้าศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนจะทันรู้ตัวอีกกระมัง? เฉินซีพึมพำด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มมองทางเข้าเนิ่นนาน ก่อนจะยื่นแขนออกมาหยิบคันธนู แล้วยิงศรฝ่าความมืดมิดด้านข้าง
ฟู่!
เสียงอากาศถูกกรีดดังขึ้น ได้ยินโดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางความเงียบสงัด นัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนผนังหิน ตามมาด้วยอีกหลายร้อยคู่ประหนึ่งโคมไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน พวกมันจ้องตรงมาทางเดียว
“ใครกัน?”
“ออกไปตรวจดีหรือไม่?”
“อย่าผลีผลามลงมือ ท่านราชาบาดเจ็บหนักใกล้สิ้นใจ กำลังฟื้นตัวอยู่ภายในสระบงกชครามศักดิ์สิทธิ์ เราต้องเฝ้าทางเข้าไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้พวกคนจากสามภพฉวยโอกาสเข้ามาได้” ได้ยินเสียงปรึกษากันอยู่ระลอกหนึ่ง พวกเขากวาดสายตามองรอบข้าง เมื่อมองไปยังที่ซ่อนของเฉินซี ตอนนี้ก็ไม่เห็นตัวคนแล้ว
เหตุผลนั้นไม่ยาก เฉินซีฉวยจังหวะนั้นพุ่งเข้าถ้ำไปแล้ว เป็นเหมือนสายลมพัดผ่านในความมืด ตรงเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำภายในทันที
ไม่นานหลังจากนั้น เฉินซีหยุดชะงักลง แสงสีดำสนิทแผ่ออกมาจากดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้ว เผยภาพบ่อน้ำสีดำเต็มไปด้วยหมอกจากปราณเซียน ที่กลางบ่อคือบงกชสีฟ้าจำนวนสามสิบหกดอกกำลังเบ่งบาน พวกมันปลดปล่อยแสงเรืองรอง ออกมาเป็นกระแสปราณมงคล ดูศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่ง
ที่ใจกลางดอกบัวทั้งสามสิบหกดอกนั้น มีชายวัยกลางคนเจ้าของร่างกำยำศีรษะล้านกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่!