บทที่ 1151 บงกชครามบรรพกาล
บทที่ 1151 บงกชครามบรรพกาล
สระน้ำสีครามที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้ง เต็มไปด้วยคลื่นหยกกระเพื่อมอยู่ด้านใน ปกคลุมด้วยหมอกปราณเซียนหนาแน่น ส่งกลิ่นหอมสดชื่นพาให้หัวใจเบิกบานแผ่ซ่านไปทั่ว
หากมองอย่างระมัดระวัง หมอก กลิ่นหอมสดชื่น แม้กระทั่งของเหลวสีเขียวมรกตที่รวมตัวกันอยู่ในสระน้ำล้วนเกิดจากดอกบัวสีฟ้าครามทั้งสามสิบหกดอก
ดอกบัวสีฟ้าเหล่านี้มีลำต้นตั้งตรง เอนไหวอย่างสง่างาม ดอกบัวสีฟ้าทุกดอกมีใบบัวแกว่งไปมาเคียงดอกถึงเก้าใบ เส้นใยลำต้นของใบเหล่านี้เป็นเหมือนแผนภาพยันต์ เต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับสุดจะพรรณนา
ชายวัยกลางคนร่างกำยำหัวโล้นในชุดดำ นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางดอกบัวทั้งสามสิบหก สีหน้าซีดเซียวและโปร่งแสง ผิวหนังปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นและรอยฉีกขาดที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย รัศมีที่เปล่งประกายทั้งสับสนไร้ระเบียบราวกับกำลังจะพังทลายลง
ยามนี้ อากาศบริสุทธิ์สองสายไหลเวียนจากทางจมูกและปากทุกครั้งที่หายใจ ก่อให้เกิดฉากสะท้อนการแลกเปลี่ยนระหว่างกระจ่างกับขุ่นมัวและหยินกับหยาง
เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้อาศัยพลังงานของสระบงกชคราม เพื่อซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายของตน
“บงกชครามบรรพกาล!? ทั้งยังมีมากถึงสามสิบหกดอก! กระจัดกระจายอยู่ทั่วสระน้ำ จัดเรียงเป็นผังดาราที่ผสมผสานหยินและหยางไว้ กำเนิดรัศมีศักดิ์สิทธิ์แผ่ทั่วอย่างไร้ขอบเขต เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้!”
เฉินซีกลั้นหายใจตั้งสมาธิอยู่ไกล ๆ เขาไม่เคยคาดคิดว่าที่ซ่อนของราชาวิญญาณหน้าศิลานี้จะมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อย่างบงกชครามบรรพกาลเช่นนี้
บงกชครามบรรพกาลเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่เกิดในช่วงเวลาหลังจากความโกลาหลที่ปกคลุมโลกถูกแยกออกจากกัน และก่อเกิดโลกบรรพกาลขึ้น มันหลอมรวมปราณบริสุทธิ์และแก่นแท้ของสวรรค์และปฐพีเข้าด้วยกัน มันทั้งลึกล้ำ บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์เกินหยั่งรู้ได้
บงกชครามบรรพกาลเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋า และเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ รวมทั้งประเมินค่าไม่ได้ มันเป็นสมบัติที่แม้จะมีโชคเป็นล้นพ้นก็ใช่ว่าจะได้มา!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากใครใช้ปราณบริสุทธิ์แห่งมหาเต๋าของบงกชครามบรรพกาล ในขณะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ทำลายด่านของความลึกลับทั้งสาม ‘ด่านปฐพีลี้ลับ’ ก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น และทำให้กำเนิดวิญญาณปฐพีที่บริสุทธิ์ที่สุดขึ้นมา!
วิญญาณปฐพี คือจุดที่ปราณอันขุ่นมัวมาบรรจบกันในร่าง …เมื่อคนผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นบนโลก มันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตวิญญาณของคนคนนั้นจะปนไปด้วยปราณขุ่นมัว ในขณะที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางนั้น มีเพื่อชำระล้างปราณขุ่นมัวนี้ภายในวิญญาณปฐพี และเปลี่ยนให้เป็นปราณบริสุทธิ์ เมื่อถึงจุดนั้น แก่นแท้แห่งชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง!
แน่นอนว่าผลของบงกชครามบรรพกาลนั้นไม่ได้ธรรมดาเลย และสามารถส่งผลมากมายอย่างเกินจะพรรณนาได้ เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำหรือแม้แต่ขอบเขตเซียนปราชญ์
ท้ายที่สุด มันเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ตามตำนานอันไร้ขอบเขตของภพเซียน บงกชครามบรรพกาลในยุคแรกเริ่มเคยได้บรรลุถึงเต๋า และเปลี่ยนเป็นเทพเซียน มันบ่มเพาะมากว่าหมื่นปีและในที่สุดก็บรรลุขอบเขตราชันเซียน จนถูกเรียกว่าขอบเขตราชันเซียนบงกชครามบรรพกาล!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบงกชครามบรรพกาลนั้นพิเศษเพียงใด
ด้วยเหตุนี้เองที่เฉินซีรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะเชื่อ เมื่อเห็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เช่นบงกชครามบรรพกาลภายในถ้ำของราชาวิญญาณหน้าศิลา
ราวกับขุมสมบัติสะเทือนโลกที่ซ่อนอยู่ในบ้านของชาวนา มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและไม่น่าเชื่อยิ่ง
“พูดกันตามเหตุผลแล้ว นี่คือแดนโลหิตซึ่งเป็นอาณาเขตของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะยังไม่ถูกค้นพบได้อย่างไรกัน? เพราะในสระนี้ก็ไม่ได้มีเพียงดอกเดียว แต่มีถึงสามสิบหกดอก! ถ้าปรากฏสู่โลกภายนอก มันจะดึงดูดความโลภของผู้มีอำนาจนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน” เฉินซีขมวดคิ้วและรู้สึกราง ๆ ว่าการมีอยู่ของบงกชครามบรรพกาลในสระน้ำนี้มีบางอย่างแปลก ๆ
แต่หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็หยุดคิดและมุ่งความสนใจไปที่ชายวัยกลางคนร่างกำยำหัวโล้นในชุดดำ ถ้าคาดเดาไม่ผิด นั่นยอมเป็นราชาวิญญาณหน้าศิลาอย่างแน่นอน
“ข้าเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว รัศมีชีวิตที่ใกล้จะพังของชายผู้นี้กำลังฟื้นตัวขึ้นทีละนิด ถ้าให้เวลาเขามากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสสังหารเขาได้อีก…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหยิบคันธนูขนาดใหญ่ออกมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
สายธนูสั่นขึ้นสามครั้งในทันควัน ราวกับเสียงมังกรคำราม เมื่อสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬชั้นสูงสามชิ้น ถูกเฉินซียิงออกไปด้วยเต๋าแห่งคันศร พวกมันกลายเป็นลำแสงพร่างพราวฉีกผ่านอากาศขณะพุ่งเข้าหาใจกลางสระน้ำ!
ฟู่ ฟู่ ฟู่~
เสียงเสียดสีที่แหลมคมและหูหนวกดังก้องไปทั่วอากาศว่างเปล่า รบกวนจิตใจ รัศมีอันสง่างามของมันเต็มไปด้วยรัศมีแห่งการทำลายล้างและสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“ฮึ่ม! เจ้าบัดซบตัวจ๋อยในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นอย่างเจ้า คิดว่าสามารถลอบโจมตีเปิ่นหวางได้งั้นรึ?”
ใจกลางสระน้ำ ชายวัยกลางคนในชุดสีดำผู้หลับตาทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความเย็นชาและกระหายเลือด ราวกับคาดเดาถึงการปรากฏตัวของเฉินซีได้
ขณะที่พูด ชายผู้นั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าจับลูกศรสามดอกไว้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าจู่ ๆ ทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ส่วนมือที่ใช้จับ ‘ลูกธนู’ กลับสั่นมากยิ่งกว่า
ความตกใจและความงุนงงฉายชัดในดวงตา เหมือนว่าไม่คาดคิดว่า ‘ลูกธนู’ ทั้งสามนี้จะมีพลังอันน่าเกรงขามเช่นนี้
“นี่ไม่ใช่การลอบโจมตี”
ชู่ว!
ในเวลาเดียวกับที่เฉินซีดึงคันธนูและปล่อย ‘ลูกธนู’ ออก ชายหนุ่มก็ดึงยันต์ศัสตราแล้วกระโดดเข้าฟาดฟันใส่ราชาวิญญาณหน้าศิลา
ครืน!
คลื่นกระบี่ก่อให้เกิดทะเลหยกที่ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังดวงอาทิตย์ กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต มันห่อหุ้มราชาวิญญาณหน้าศิลาไว้ด้านใน นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเคล็ดกระบี่วารี มหาสมุทรไร้พรมแดน!
ทว่าราชาวิญญาณหน้าศิลานั้นเป็นตัวตนที่เทียบได้กับเซียนทองคำ แม้จะบาดเจ็บหนักและใกล้ตาย การสังหารเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด
ดังนั้นทันทีที่โจมตี เฉินซีจึงเลือกใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด!
“มดปลวก! แส่หาที่ตาย! ในเมื่อเจ้าทำให้การรักษาอาการบาดเจ็บของข้าต้องล่าช้า ก็จงชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้ามาซะ!”
ราชาวิญญาณหน้าศิลากู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่ทั้งร่างจะสว่างวาบ และกลายร่างเป็นยักษ์สูงร้อยจั้ง กล้ามเนื้อแข็งราวกับหิน ใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างน่าสะพรึง มันยกแขนขึ้นก่อนที่ฟาดฝ่ามือใหญ่ราวกับม่านที่ปกคลุมท้องฟ้า กระแทกลงมาบดขยี้เบื้องล่างอย่างแรง!
ครืน!
เสียงดังก้องเขย่าสวรรค์ ราวกับว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปะทะกัน แผ่นดินไหวคลื่นสะเทือนปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ผลสะท้อนที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายกวาดล้างไปทุกทิศทุกทาง เขย่าถ้ำลึกให้สั่นสะเทือนจนหินปลิวว่อนและกำแพงหินพังทลาย
อย่างไรก็ตาม ดอกบัวทั้งสามสิบหกดอกในสระกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นห่อหุ้มและปกป้องพวกมันไว้
อัก!
แรงกระแทกส่งเฉินซีกระเด็นไปไกลกว่าร้อยจั้ง ชายหนุ่มไอเป็นเลือดในขณะที่ใบหน้าซีดลง แววตาเต็มไปด้วยความตกใจที่ไม่สามารถปกปิดได้ เขาก็ตระหนักว่าตนยังประเมินความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
ตัวตนขอบเขตเซียนทองคำไม่ใช่จัดการได้ง่าย ๆ สังเกตได้จากการที่จี้เซวียนปิงกับจ้าวเมิ่งหลีรวมกำลังกัน แต่ก็ไม่สามารถสังหารราชาวิญญาณหน้าศิลาได้แม้จะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
แต่ในอึดใจต่อมา เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากการโจมตีที่รุนแรงของราชาวิญญาณหน้าศิลา ภายนอกดูเหมือนจะไม่เกิดผลกระทบใด ๆ แต่ภายใต้การจ้องมองด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง พลังงานในร่างกายของราชาวิญญาณหน้าศิลานั้นกำลังเหี่ยวแห้งและพังทลายลงอย่างรวดเร็ว!
ตราบเท่าที่ยังยืนหยัดต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ราชาวิญญาณหน้าศิลาย่อมเหนื่อยจนตายไปเอง
“หากเจ้ายอมจากไปตอนนี้ เปิ่นหวางจะปล่อยเจ้าไป มิฉะนั้น แม้แต่ตราดาราม่วงก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้!” ราชาวิญญาณหน้าศิลาตะโกนด้วยเสียงทุ้มลึก คำพูดไร้ความปรานี แต่กระนั้นก็ไม่อาจปกปิดความกังวลในน้ำเสียงได้อย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นกัน
ฆ่า!
คิดหรือว่าเฉินซีจะรับฟังคำกล่าวของอีกฝ่าย? ร่างสูงใหญ่พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“กล้าดีอย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำให้เจ้าได้ตายสมใจเอง!” ราชาวิญญาณหน้าศิลาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่จิตสังหารไม่มีสิ้นสุดทั่วทั้งร่างพุ่งทะยานขึ้น และเข้าต่อสู้กับเฉินซี
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน เฉินซีเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มถูกอัดปลิวว่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไอเป็นเลือดไม่หยุด สภาพน่าอดสูเป็นอย่างมาก ทว่าดวงตากลับสว่างสดใสขึ้นทุกขณะ เพราะยิ่งอีกฝ่ายทุบตีตนเท่าไหร่ รัศมีของราชาวิญญาณหน้าศิลาก็แสดงสัญญาณของการล่มสลายมากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน สีหน้าของราชาวิญญาณหน้าศิลานั้นมืดมนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาที่เหมือนบ่อเลือดเต็มไปด้วยความโกรธและความกังวล แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้
ครืน!
ราชาวิญญาณหน้าศิลาตบเฉินซีลอยไปอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป ชายผู้นั้นหันกลับทันที ก่อนจะกระโดดลงไปในสระบงกชครามและกู่คำรามด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง “ในเมื่อเจ้าทำให้เปิ่นหวางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เช่นนั้นเปิ่นหวางจะทำลายบงกชครามบรรพกาลทิ้งซะ!”
ขณะที่พูดชายผู้นั้นก็ยกแขนขึ้น แขนเปล่งแสงสีเลือดจำนวนมากมายออกมา ดูราวกับขวานสีเลือดคู่หนึ่ง ก่อนจะฟาดลงไปทางบงกชครามบรรพกาลทั้งสามสิบหกดอกอย่างรุนแรง
รูม่านตาของเฉินซีหดลง ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะทำเช่นนี้จริง ๆ แต่มันก็สายเกินไปแล้วที่จะหยุดยั้งราชาวิญญาณหน้าศิลาแล้ว
โอม~
ทว่าก่อนที่การโจมตีของราชาวิญญาณหน้าศิลานจะฟาดลงมา จู่ ๆ ข้อจำกัดที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือบงกชครามบรรพกาลทั้งสามสิบหกดอก ทอเป็นแม่น้ำแห่งดวงดาวเปล่งประกาย เสียงดังโครมครามดังก้อง ขณะที่ร่างกายสูงกว่าร้อยจั้งของราชาวิญญาณหน้าศิลาถูกยกลอยโยนขึ้นไปในอากาศ!
ตุ้บ!
ราชาวิญญาณหน้าศิลาร่วงบนพื้นดุจกระสอบทราย ผิวหนังบนร่างกายแตกออก เลือดสด ๆ พุ่งกระจาย กระดูกในร่างกายล้วนแตกหัก ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
เห็นได้ชัดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจู่โจมครั้งนี้นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เฉินซีที่เฝ้าเหตุการณ์นี้จากระยะไกลอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง
“เหมิงซิงเหอ! เปิ่นหวางปกป้องดูแลเจ้าและบงกชครามบรรพกาลมากว่าแปดพันปี แต่ยามนี้เจ้ากลับตั้งใจจะสังหารเปิ่นหวาง! เจ้า!” ราชาวิญญาณหน้าศิลาคำรามอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจ
ทันทีที่ได้ฟังพูดคำเหล่านี้ เฉินซีจึงเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ ว่าบงกชครามบรรพกาลเหล่านี้เป็นของใครบางคนจริง ๆ ในขณะที่ราชาวิญญาณหน้าศิลาเป็นเพียงทาสที่ดูแลมันเท่านั้น!
เหมิงซิงเหอ!
คนผู้นี้คือใครกัน?
หรือจะเป็นบุคคลสำคัญของสำนักศึกษา? เหตุใดจึงทิ้งบงกชครามบรรพกาลไว้ที่นี่?
คำถามนับไม่ถ้วนแล่นวาบขึ้นมาในใจของเฉินซีเหมือนสายฟ้าฟาด แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบสนอง ราชาวิญญาณหน้าศิลาก็สิ้นใจไปแล้ว และไม่ส่งเสียงอะไรอีก
ในเวลาเดียวกันห้าพันแต้มดาราก็ปรากฏขึ้นภายในตราดาราม่วงของชายหนุ่ม รวมกับของเดิมกลายเป็นแต้มดารามากกว่าหนึ่งหมื่นเจ็ดพันแต้ม!
“เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ข้าที่สังหารเขา แต่ข้ากลับได้รับแต้มดารา? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน…” เฉินซีตกตะลึง ไม่มีความประหลาดใจที่น่ายินดีใด ๆ ในหัวใจ ขณะที่มองไปยังสระบงกชครามด้วยความสับสนงุนงง
ชู่ว!
ตอนนั้นเอง คลื่นหยกภายในสระพลันเดือดพล่าน ขณะที่บงกชครามบรรพกาลทั้งสามสิบหกดอก ดูเหมือนถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นจับไว้ พวกมันลอยขึ้นไปในอากาศราวกักำลังจะบินหนีไป
“ไม่เลว หนุ่มน้อย ชะตากรรมของเจ้าเป็นดั่งสายรุ้ง และความกล้าหาญของเจ้าก็น่ายกย่อง ในเมื่อเจ้าโชคดีที่มาถึงที่นี่ได้ ข้าก็จะมอบบงกชครามบรรพกาลนี้ให้แก่เจ้า”
เสียงโบราณดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี เหมือนดั่งเสียงฟ้าร้องที่ก้องอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ประหนึ่งได้ฟังความลับของมหาเต๋า กระตุ้นความรู้สึกเกรงขามในใจโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันทีที่เสียงก้องในอากาศเงียบลง บงกชครามบรรพกาลประกายสีสดก็ปรากฏขึ้นในมือของเฉินซี ในขณะที่บงกชครามบรรพกาลอีกสามสิบห้าดอกหายวับไปในอากาศ