บทที่ 1155 เสียงร้องที่ชัดเจนของวิหคอมตะหนุ่ม
บทที่ 1155 เสียงร้องที่ชัดเจนของวิหคอมตะหนุ่ม
บางคนชอบที่จะเป็นศูนย์กลางของความสนใจ และชอบที่ผู้คนปฏิบัติต่อตนด้วยความเคารพ ความนับถือ ความชื่นชม แต่บางคนก็ไม่ชอบ
เช่นเดียวกับเฉินซี
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตานับไม่ถ้วน เฉินซีก็ยังไม่เข้าใจ และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย เขาจึงคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
แต่ยามได้เห็นชื่อของตนปรากฏอยู่ในอันดับที่หนึ่งบนกำแพงลอยแห่งแสง ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ ‘แต้มดาราของข้า อยู่ในอันดับที่หนึ่ง!’
เดิมที นี่ควรเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยินดี แต่น่าเสียดายที่เฉินซีไม่อาจรู้สึกถึงความปีติใด ๆ ได้อย่างแท้จริง ยิ่งเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตามากมายเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เพราะไม่ชอบการจ้องมองเช่นนี้ ไม่ชอบให้คนอื่นมองว่าตนเป็นตัวประหลาด แต่โชคไม่ดีที่เหมือนสวรรค์ชัง ยิ่งไม่ชอบมากเท่าใด ก็ยิ่งได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นในราชวงศ์ซ่ง แดนภวังค์ทมิฬ หรือภพเซียน เขาถูกผู้คนมองราวกับเป็นตัวประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
ประสบการณ์เหล่านี้ไม่อาจทำใจคุ้นชิน ได้แต่เรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับมัน ดังนั้นในเวลาต่อมา ชายหนุ่มจึงแสดงท่าทีเฉยเมยและมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ขณะกลับไปที่ด้านข้างของเถี่ยชิวอวี้
หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบเหมือนนกกระจอกเทศเอาหัวมุดดิน
โชคดีว่าผ่านไปไม่นานนัก หวังต้าวหลูได้กล่าวจากกลางอากาศเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบพิกลนี้ และดึงความสนใจของทุกคนมาที่ตัวเขาเอง
“การทดสอบรอบที่สองสิ้นสุดลงแล้ว และการทดสอบรอบที่สามจะเริ่มขึ้น เหล่าศิษย์ที่ผ่านการทดสอบรอบที่สองจงตามหลังข้ามา และเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า” หวังต้าวหลูไม่ได้ให้รายละเอียดที่ไม่จำเป็นใด ๆ และไม่ได้ชมเชยเหล่าศิษย์ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในระหว่างการทดสอบรอบที่สองด้วย ชายวัยกลางคนเพียงประกาศการทดสอบต่อไปนี้ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทั้งตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม
ทันทีที่กล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็โบกมือเพื่อเปิดเส้นทางท่ามกลางฝูงชน จากนั้นเดินนำไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่อยู่ไกลออกไป ในขณะที่ศิษย์เจ็ดร้อยคนที่ผ่านการทดสอบรอบที่สองก็ตามหลังไปติด ๆ
ไม่นาน พวกเขาก็หายไปจากจัตุรัสด้านนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
…
“การทดสอบรอบที่สามเรียกว่า ‘เสียงร้องที่ชัดเจนของวิหคอมตะหนุ่ม’ นั่นหมายความว่าเสียงร้องของวิหคอมตะหนุ่มนั้นชัดเจนกว่าวิหคอมตะชรา หรือหมายความว่าอัจฉริยะที่โดดเด่นจะปรากฏในทุกรุ่นและเหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพื่อสังเกตได้” ขณะที่เฝ้าดูหวังต้าวหลูพาเหล่าศิษย์ออกไป คลื่นการสนทนาก็ดังก้องไปทั่วจัตุรัสอีกครั้ง
“การทดสอบรอบนี้ เป็นการทดสอบเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ ยิ่งมีเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเท่าใด ปรากฏการณ์อันน่าตกตะลึงก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตามตำนานระบุว่า บุคคลที่ไม่ธรรมดาบางคนถึงกับได้รับ ‘การสรรเสริญจากทวยเทพ’ ในระหว่างการทดสอบ และมันมีประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะในอนาคต!”
“ใช่แล้ว เมื่อหลายปีก่อน พิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋และอเวจีเหล็กเยี่ยถังต่างก็สร้างปรากฏการณ์จุติจากสวรรค์ ทำให้พวกเขาได้รับเลือกให้เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสเก่าแก่บางคนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง”
“ข้าสงสัยว่าครั้งนี้จะมีศิษย์กี่คนที่จะโชคดีพอได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และรับเป็นศิษย์เอก”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินซีจากทวีปทักษิณาก็เป็นม้ามืดในการทดสอบปีนี้อย่างแน่นอน หากไม่มีผิดพลาด ด้วยผลงานของเขาก็น่าจะเป็นที่สังเกตของผู้อาวุโสเก่าแก่หลายคน”
“ฮ่า ฮ่า ไว้เรามารอดูกัน”
ทุกคนในจัตุรัสไม่ได้ออกไปไหน พวกเขาเงยหน้า และรออยู่หน้ากำแพงแสง
หากไม่มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น การทดสอบคัดเลือกรอบที่สามของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะสิ้นสุดภายในวันนี้ จากนั้นอันดับสุดท้ายของผู้ทดสอบในครั้งนี้จะถูกประกาศต่อสาธารณชน
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง และอันดับสุดท้ายนี้จะกระจายไปทั่วทุกมุมของภพเซียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ไม่มีใครยอมพลาด
…
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ มันเรียงรายไปด้วยอาคารโบราณขนาดใหญ่สูงเทียมฟ้า ราวกับตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยเป็นพันปี
นับตั้งแต่เข้าสู่เมืองเซียนสัประยุทธ์เพื่อเข้าร่วมการทดสอบ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้เห็นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจากระยะใกล้เช่นนี้
ความรู้สึกแรกที่เขามีคือมันโบราณ!
ไม่ว่าจะพืชพรรณ ต้นไม้ทุกต้น อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น คราบหินปูนที่ปกคลุมพื้น ประตูสัมฤทธิ์โบราณ… ทุกสิ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณจู่โจมใบหน้า
มันเป็นตัวแทนของกาลเวลา ตัวแทนของการเป็นสักขีพยานในยุคต่าง ๆ และเรื่องราวที่ผ่านไปของประวัติศาสตร์ มันทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคารพอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับกำลังเดินเข้าไปในที่พำนักอันกว้างใหญ่ของเทพบรรพกาล
อันที่จริง หากตัดบรรยากาศโบราณนี้ออกไป ทุกสิ่งภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ธรรมดาอย่างยิ่ง และถึงขนาดไม่หรูหราเท่าห้องโถงที่เหล่าเซียนของโลกภายนอกอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ
นี่คือพลังของการกลับคืนสู่ความเรียบง่าย แสวงหาความจริงภายในความธรรมดา ได้ยินเสียงฟ้าร้องในความเงียบงัน และมีเพียงกองกำลังที่เหลือรอดจากยุคบรรพกาลเท่านั้น ที่สามารถครอบครองมันได้
ตลอดเส้นทางไม่พบเห็นผู้ใด เหล่าศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าดูเหมือนจะทราบอย่างชัดเจนว่า การทดสอบเพื่อคัดเลือกจะมีขึ้นในวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อผลลัพธ์สุดท้ายของการทดสอบ
แต่เฉินซียังคงรู้สึกได้ว่า มีสายตาที่คลุมเครือและน่าเกรงขามมากมายเฝ้ามองมาตลอดทาง กวาดตามองทุกคนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ลูบไล้ใบหน้า และมันไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ว่าหากไม่มีสติ ก็จะไม่สามารถสังเกตเห็นการมีอยู่ของพวกมันได้อย่างเต็มที่
ดูเหมือนผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเฝ้ารอการทดสอบรอบที่สามนี้… เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ ด้วยผลงานในปัจจุบันของตน การเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่ใช่ปัญหา
สำหรับการที่จะได้เป็นศิษย์เอกของผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาได้หรือไม่นั้น เฉินซีหาได้สนใจไม่ เขามาที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพียงเพื่อให้บรรลุสู่ตัวตนที่จะทำให้ตระกูลจั่วชิวไม่กล้าที่ลงมืออีกต่อไป
“เฉินซี จั่วชิวอิน และคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับเจ้า ในแดนโลหิต เจ้าฆ่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวไปกี่คนกันแน่?” เหลียงเริ่นที่อยู่ใกล้เคียงถามผ่านกระแสปราณ แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง
เฉินซีหันกลับมาและมองไปที่จั่วชิวอินที่อยู่ห่างไกล ๆ พวกมันมีสีหน้าเศร้าหมอง และแสดงความเกลียดชังโดยไม่ปิดบังเมื่อมองมาที่ตน ดูเหมือนว่าพวกมันอยากจะพุ่งเข้ามาโจมตีทุกขณะ
“ไม่มาก ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหลบสายตา แต่ต้องประหลาดใจเล็กน้อย เพราะอินเหมียวเมี่ยวไม่ได้ติดตามจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ นางจ้องมองอย่างว่างเปล่า เผยให้เห็นท่าทางห่างเหินและเย็นชา ขณะเดินเพียงลำพังอยู่ด้านหลังกลุ่ม ซึ่งดูเหมือนนางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เฉินซี ข้าจะเอาชนะเจ้าในระหว่างการทดสอบรอบที่สามอย่างแน่นอน!” ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มรูปหล่อที่ยังคงเผยให้เห็นร่องรอยของความยังไม่บรรลุนิติภาวะบนใบหน้าก็เข้ามา และกล่าวอย่างหนักแน่น
ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวผ่านกระแสปราณ เสียงของเขาจึงดึงความสนใจของเหล่าศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดทันที หลังจากนั้นหลายคนก็จำได้ว่า คนผู้นี้คือมู่เสี่ยวลิ่วแห่งตระกูลมู่
ตัวประหลาดน้อยที่บ่มเพาะมาเพียงไม่กี่สิบปี และถูกเรียกว่าปีศาจน้อยในร่างมนุษย์ภายในทวีปรัตติกาล ชายหนุ่มมีธรรมชาติที่เจ้าเล่ห์และซุกซน ปรารถนาที่จะเป็นเลิศเหนือผู้อื่น และสร้างปัญหานับไม่ถ้วนในทวีปรัตติกาล
เมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เสี่ยวลิ่วท้าทายเฉินซี พวกเขาส่วนใหญ่ก็คิดว่ากำลังดูการแสดง
หวังต้าวหลูที่เดินนำหน้าขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดฝีเท้าแต่อย่างใด
เฉินซีตกตะลึง ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งตนเคยเห็นชายหนุ่มคนนี้ตอนเพิ่งมาถึงพื้นที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเมืองเซียนสัประยุทธ์ แต่ไม่คาดคิดว่าชายผู้นี้จะเป็นฝ่ายมาหาตนก่อน
“ทำไมหรือ?” เฉินซีถามด้วยรอยยิ้ม สัมผัสได้ว่ามู่เสี่ยวลิ่วไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ และความท้าทายนี้เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะเป็นเลิศของชายหนุ่มเท่านั้น
“พี่ใหญ่หลิงหลงขอให้ข้าดูแลเจ้าในรอบที่สองของการทดสอบ แต่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะได้อันดับที่หนึ่งจริง ๆ และมันทำให้พี่ใหญ่หลิงหลงเรียกข้าว่าเศษขยะ” มู่เสี่ยวลิ่วค่อนข้างหดหู่ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ทุกการเคลื่อนไหวล้วนตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง เห็นได้ชัดว่าเขามีอุปนิสัยเหมือนเด็ก
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ จากนั้นรูปร่างที่สง่างาม น่าดึงดูด และงดงามของมู่หลิงหลงก็ลอยเข้ามาในใจ ‘ดูเหมือนว่านางไม่ใช่แค่เป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่จวินหลิน และยังมีตำแหน่งค่อนข้างสูงในตระกูลมู่ด้วย’
ในทางกลับกันบรรดาศิษย์ที่รอดูการแสดงต่างตกตะลึง แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเฉินซีที่มาจากทวีปทักษิณา จะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตระกูลมู่!
นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
“แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ ข้ามู่เสี่ยวลิ่วจะเอาชนะเจ้าอย่างเปิดเผยเท่านั้น และข้าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายที่น่ารังเกียจใด ๆ” มู่เสี่ยวลิ่วหันหลังกลับและจากไปหลังจากที่กล่าวจบ ชายหนุ่มกลับไปที่กลุ่มศิษย์จากตระกูลมู่
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม สายตาเหลือบเห็นมู่อวี่ชง ซึ่งเป็นผู้นำของศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ด้วยท่าทีอบอุ่น ตนก็พยักหน้ากลับไปให้อย่างมีไมตรี
จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นการสนทนาทั้งหมด ทำให้ความหม่นหมองบนใบหน้าลึกล้ำยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่สายตาที่จ้องมองมู่อวี่ชงและคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นเย็นชาทันที
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้ผ่านไปอย่างสงบ เพราะไม่นานนัก ก่อนที่ฝูงชนข้างหน้าจะเคลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่าย
หลังจากนั้นภายใต้สายตาที่ประหลาดใจและงุนงงของทุกคน จ้าวเมิ่งหลีผู้สวมชุดสีแดงเพลิง มีคอระหงขาวราวหิมะ และมีรูปลักษณ์สวยงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ นางได้ก้าวเดินช้า ๆ ไปหาเฉินซี
“เจ้าเป็นต้นเหตุของการต่อสู้ที่วุ่นวายอย่างนั้นหรือ?” จ้าวเมิ่งหลีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงที่ใสประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ มันทั้งน่าฟังและไพเราะ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘การต่อสู้ที่วุ่นวาย’ เหล่าศิษย์ของเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ศิษย์ของภพพุทธองค์ ศิษย์ของภพมังกร ศิษย์ของภพวิหคอมตะ หรือแม้แต่ศิษย์ระดับสูงของตระกูลเช่น ตระกูลเหวินเหริน ต่างขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่เฉินซี
การต่อสู้ที่วุ่นวายนั้น ส่งผลกระทบต่อผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ และเป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นเองที่ทำให้พวกเขาต้องออกจากแดนโลหิต แน่นอนว่ามีศิษย์ที่ถูกสังหาร และถูกยึดแต้มดาราไป
เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงสาเหตุของการต่อสู้ที่วุ่นวายก่อนหน้านี้
เมื่อจ้าวเมิ่งหลีตรงมาหาเฉินซี และเอ่ยถ้อยคำราวกับเฉินซีเป็นชนวนของการต่อสู้นั้น ร่องรอยของความโกรธก็พุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สายตาที่จ้องมองก็แฝงแววเกลียดชังอยู่เล็กน้อย
ทว่าเฉินซีกลับไม่ได้สังเกตเห็นทั้งหมดนี้เลย ท่าทางของเขาสงบ ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยท่าทีเรียบง่ายอย่างยิ่ง “มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ดี ข้าคงดูถูกเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่กล้ายอมรับ” จ้าวเมิ่งหลีจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวคำเหล่านี้ด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วจากไป
เฉินซีไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเข้าใจเจตนาของจ้าวเมิ่งหลีดี จึงอดคิดในใจไม่ได้ ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่เต็มใจที่จะสูญเสียเลยแม้แต่น้อย…’