บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1157 บุกฝ่ากระแสคลื่น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1157 บุกฝ่ากระแสคลื่น

บทที่ 1157 บุกฝ่ากระแสคลื่น

บรรยากาศที่ริมฝั่งของทะเลสาบสะท้อนดวงกมลบัดนี้ตึงเครียดและเงียบสนิท

สายตาของผู้คนจับจ้องไปที่เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิง รวมไปถึงผู้เยี่ยมยุทธ์อีกราวเจ็ดคน เพื่อที่จะคว้าโอกาสในการก้าวสู่ทะเลสาบเป็นคนแรก ๆ พวกเขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

ตู้ม!

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดนี้ ศิษย์ผู้หนึ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป กระโจนร่างทะยานลงไปในทะเลสาบก่อนที่จ้าวเมิ่งหลีจะก้าวย่างขึ้นไปบนศิลาลับเต๋า

โชคไม่ดีนัก ทันทีที่เท้าของศิษย์ผู้นั้นแตะลงที่ผิวทะเลสาบ ระลอกคลื่นก็กระแทกเข้ากับร่างจนทรงตัวไม่อยู่ ไม่ทันได้ขัดขืน ร่างนั้นก็ร่วงหล่นลงไปยังแผ่นน้ำ ก่อนจะถูกพลังอันไร้รูปร่างพัดพาให้กลืนหายไป

บางคนหัวเราะเสียงเย็น “ทั้งใจร้อนและไม่ประมาณตน คนที่มีดวงจิตแห่งเต๋าเช่นนี้จะผ่านการทดสอบของทะเลสาบสะท้อนดวงกมลได้อย่างไร? ถูกกำจัดเช่นนี้ก็สมควรแล้ว”

บนแท่นบวงสรวงเต๋า ผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามองภาพเหล่านั้นทั้งใบหน้าเรียบเฉย พวกเขายังคงไม่พูดสิ่งใดด้วยคาดไว้แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น

อย่างไรเสีย การกระทำที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ก็ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นนิจตลอดการทดสอบทั้งสามรอบที่ผ่านมา มันกลายเป็นสิ่งที่เห็นจนชินชาไปเสียแล้ว

ตอนนั้นเอง ร่างของจ้าวเมิ่งหลีเปล่งแสงสว่างวาบ นางเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าลงยังศิลาลับเต๋าได้สำเร็จ

ฟิ้ว!

ขณะเดียวกัน เฉินซีก็เริ่มเคลื่อนไหว ชายหนุ่มก้าวลงไปยังทะเลสาบพร้อมกันกับที่จ้าวเมิ่งหลีเหยียบลงบนศิลาลับเต๋า

มีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกกว่าสิบคนที่เริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ทว่าความเร็วกลับไม่อาจเทียบได้กับเฉินซี ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นว่ามีคนก้าวลงไปในทะเลสาบก่อนหน้า ทั้งหมดก็ต้องส่ายหน้าเพื่อปรามตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วชะงักฝีเท้าลง

เมื่อเฉินซีก้าวลงไปบนผิวทะเลสาบ ความรู้สึกแสนประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจ วารีวิญญาณทมิฬนั้นหาได้เหมือนกับน้ำธรรมดาทั่วไป มันเหนียวเหนอะและมีความหนาแน่นอย่างบึงโคลน ยิ่งไปกว่านั้น ยังปลดปล่อยพลังงานเยือกเย็นและบาดลึกไปถึงกระดูกออกมาทุกขณะ

ในทันทีที่ร่างสูงสง่าสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบ ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานประหลาดที่ก่อขึ้นภายในร่างกาย สิ่งนั้นเข้าโจมตีดวงจิตแห่งเต๋าโดยแรง ราวกับกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยในตอนแรกเริ่ม ก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นจนคล้ายกับกระแสน้ำคลั่ง

สภาวะเช่นนี้ทำให้เฉินซีเผลอนึกไปว่าดวงจิตแห่งเต๋ากำลังถูกห้อมล้อมด้วยผืนสมุทร ครั้นเมื่อมันถูกโจมตีจากกระแสน้ำในทุกทิศทาง ชายหนุ่มพลันรู้สึกครั่นเนื้อตัวราวกับมีใครคนหนึ่งกำลังควักหัวใจไปบีบรัดและบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี

ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้น ร่างเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนยอดดวงจิตแห่งเต๋า รูปลักษณ์นั้นเหมือนตนทุกประการ ทั้งยังสวมเสื้อผ้าสีเขียวและถือกระบี่ไว้ในมือ เพียงสิ่งนั้นตวัดกระบี่เบา ๆ หนึ่งครั้ง คลื่นการโจมตีก็ถูกบดขยี้ไปจนสิ้น

ร่างเล็กนี้คือวิญญาณดวงใจของเฉินซี มันจะควบแน่นเป็นร่างวิญญาณก็ต่อเมื่อมีพลังดวงใจในระดับที่สูงมาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าดวงจิตแห่งเต๋านั้นแข็งแกร่ง น่าเกรงขาม และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ

เมื่อเห็นร่างสูงสามารถทรงตัวในทะเลสาบได้อย่างมั่นคง ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งน้ำก็พลันถอนหายใจ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าตนพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว และทำได้เพียงรอให้เฉินซีขึ้นไปบนศิลาลับเต๋าก่อนเท่านั้น ถึงจะสามารถก้าวลงไปในทะเลสาบโดยใช้เส้นทางนี้ได้

ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคงไม่ต่างอะไรกับคนก่อนหน้าที่เพิ่งพบพานกับชะตากรรมอันน่าเศร้าไป

ทันใดนั้น สิ่งที่สร้างความประหลาดใจและงุนงงให้กับทุกคนก็บังเกิดขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ในทะเลสาบ ก็มีคนบางกลุ่มเดินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด คล้ายตั้งใจที่จะติดตามเฉินซีลงไปในทะเลสาบ

ผู้นำของกลุ่มดังกล่าวเป็นสตรีที่อยู่ภายใต้ผ้าโปร่งสีดำ ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและเด็ดเดี่ยว แน่นอนว่านางหาใช่ใครอื่นนอกจากอินเหมียวเมี่ยว

เฉินซีตกตะลึง สังเกตได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนที่เดินตามหลังอินเหมียวเมี่ยวมานั้นล้วนแต่มองตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชัง ทว่าในบรรดาคนเหล่านั้น กลับไม่มีคนของตระกูลจั่วชิวเลยแม้แต่คนเดียว

ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะเหลือบมองกลุ่มของศิษย์ตระกูลจั่วชิวที่อยู่ด้านบนฝั่ง พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ยืนกอดอกมองชายหนุ่มด้วยท่าทางขบขันระคนเหี้ยมเกรียม ใบหน้าเผยความพึงพอใจอันไร้ความปรานี เฉินซีเข้าใจได้ในทันทีว่าอินเหมียวเมี่ยวและคนอื่น ๆ ได้รับคำสั่งมาให้ทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดตนออกจากการทดสอบรอบที่สาม!

ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น

ผู้คนบนฝั่งต่างก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าการปรากฏตัวของอินเหมียวเมี่ยวและคนอื่น ๆ ในครั้งนี้ มุ่งเป้าไปที่เฉินซีโดยตรง!

ทุกคนประหลาดใจและอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจการกระทำเช่นนี้

ทุกการกระทำของคนเหล่านั้น บัดนี้อยู่ภายในสายตาของผู้อาวุโสแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทั้งสิ้น หรือว่าพวกนั้นจะไม่เกรงกลัวบทลงโทษ? จริงอยู่ที่การกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าผิดกฎ แต่ชัดเจนว่ามันจะต้องสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นแก่บุคคลเหล่านั้นอย่างแน่นอน

ไม่นานนัก เมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าอันแน่วแน่ของอินเหมียวเมี่ยวและคนอื่น ๆ อย่างชัดแจ้ง ทั้งหมดก็พลันกระจ่างแก่ใจว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการผ่านการทดสอบ ไม่แม้จะสนใจสักนิดว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลต่อการได้เข้าไปในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือไม่

ช่างเป็นวิธีการเหี้ยมโหดเสียจริง!

ทั้งที่การทดสอบดำเนินมานานแล้ว แต่ตระกูลจั่วชิวก็ยังคงทุ่มสุดตัวและพร้อมสละผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์บางคนเพื่อขัดขวางไม่ให้เฉินซีผ่านการทดสอบไปอย่างราบรื่น นับเป็นการเคลื่อนไหวที่บ้าดีเดือดไม่น้อย ไม่ว่าใครที่สามารถเดาเบื้องลึกเบื้องหลังของการกระทำนี้ออกก็ล้วนแล้วจะอดตกใจขึ้นมาไม่ได้

อีกฟากหนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบวงสรวงเต๋าต่างขมวดคิ้วเมื่อเห็นการกระทำดังกล่าว ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งข้าง ๆ โจวจื่อหลี

บุรุษผู้นั้นสวมเสื้อคลุมปักลาย ผิวขาวผ่องขับให้รูปลักษณ์ที่ดูร่ำรวยประหนึ่งคหบดีโดดเด่น ครั้นเมื่อภาพของอินเหมียวเมี่ยวและเฉินซีปรากฏขึ้นสู่สายตา ชายวัยกลางคนก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งสีหน้าสงบ ไม่เปลี่ยนแปลง คนผู้นั้นค่อย ๆ ยกจอกชาในมือขึ้นจิบด้วยท่าทางผ่อนคลายอย่างยิ่ง

คนผู้นี้คือจั่วชิวฮง รองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาฝ่ายนอก มีหน้าที่ในการลงโทษและควบคุมระเบียบวินัย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถือได้ว่าเป็นคนที่มีอำนาจอย่างยิ่งในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพียงแค่มีสถานะเป็นรองโจวจื่อหลีซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฝ่ายนอกเท่านั้น

ครั้นเมื่อคนอื่น ๆ เห็นปฏิกิริยาของจั่วชิวฮง พวกเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น หากสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป

ผิดกับโจวจื่อหลีที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

“พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ที่ริมทะเลสาบ มู่เสี่ยวลิ่วอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นด้วยเสียงขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉากนี้

“ช่างน่ารังเกียจ! น่าละอายยิ่งนัก!”

“พวกบัดซบเอ้ย! เฉินซีไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะมารังแกได้! ออกไปซะ!”

แม้แต่ศิษย์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังตะโกนออกมา คล้ายไม่อาจทนให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ บางคนถึงกับคิดจะเข้าไปขวางคนเหล่านั้นเอาไว้ ทว่าการเคลื่อนไหวกลับช้าเกินไปจนไม่อาจหยุดยั้งได้อย่างเต็มกำลัง

ท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งที่กู่ก้อง อินเหมียวเมี่ยวพาร่างของศิษย์อีกห้าคนที่เหลือลงไปยังทะเลสาบ

บางคนถึงกับร้อนรนในใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ไอ้พวกสารเลว! ให้ตายเถิด! คนที่ภายหน้าจะต้องเป็นสุริยันอันเจิดจ้าในภพเซียนอย่างเฉินซีกำลังจะถูกทำลายลงไปด้วยน้ำมือของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้านี่ช่าง… สมควรตายจริง ๆ!” เสียงสาปส่งของคนผู้นั้นดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ

คนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทางเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ที่ไม่ได้มีความแค้นเคืองใด ๆ กับเฉินซี พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสารและโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด

ขวับ!

เมื่ออินเหมียวเมี่ยวก้าวเท้าลงไปบนทะเลสาบ ยังไม่ทันจะทรงตัวในน้ำได้ พวกเขาก็โบกมืออย่างรุนแรงเพื่อสร้างคลื่นขนาดยักษ์บนผิวน้ำ ราวกับต้องการจะลากเฉินซีให้พังพินาศลงไปพร้อมกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อจ้าวเมิ่งหลีและคนอื่น ๆ ก้าวลงไปในทะเลสาบ พวกเขาก็พยายามเคลื่อนไหวช้า ๆ ขณะที่บางคนไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวใด ๆ ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดระลอกคลื่น ทว่าตอนนี้อินเหมียวเมี่ยวและคนของนางกลับพยายามสร้างให้เกิดคลื่นซัดสาดแทบจะในทันที ภาพนั้นทำให้ใครหลายคนเลือกที่จะหลับตาลงเพราะทนดูต่อไปไม่ได้

นั่นคือวารีวิญญาณทมิฬ!

เพียงแค่พลังจากระลอกคลื่นเล็ก ๆ ก็ยากที่จะต้านทานแล้ว นับประสาอะไรกับคลื่นยักษ์ที่สูงเป็นชั้น ๆ!

เมื่อแรงน้ำซัดเข้าหาเฉินซี ชายหนุ่มก็เปล่งเสียงที่เด็ดขาดไม่ต่างจากฟ้าคำรามออกมาเป็นคำสั้น ๆ “หลีกไป!”

ทันใดนั้น พลังที่ไร้รูปร่างก็กระจายตัวรอบ ๆ มันกลายเป็นเป็นพายุขนาดใหญ่ซัดออกไปด้านข้างด้วยความรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ทำลายการโจมตีของวารีวิญญาณทมิฬเท่านั้น หากยังกระจายออกไปยังพื้นที่โดยรอบและสร้างคลื่นยักษ์ขึ้นมาอีกลูกหนึ่ง

ตู้ม!

คลื่นยักษ์เหล่านั้นซัดสาดใส่อินเหมียวเมี่ยวและคนอื่น ๆ

ทั้งหกคนคล้ายถูกทุบด้วยค้อนขนาดมหึมาที่ไร้รูปร่าง เสียงดังตึงตังลั่นออกมาจากภายในร่างกายทีละคน คนเหล่านั้นทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง ศิษย์ทั้งห้าคนที่ไม่ใช่อินเหมียวเมี่ยวก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปจนสิ้น

ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่มีโอกาสจะขัดขืนแม้แต่น้อย!

เหตุผลที่อินเหมียวเมี่ยวไม่ถูกคลื่นน้ำกำจัดไปนั่นก็เพราะเฉินซีเข้าไปคว้าตัวนางเอาไว้!

ความโกลาหลครั้งใหญ่ระเบิดขึ้นท่ามกลางฝูงชน พวกเขามองภาพตรงหน้าด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง จนเผลอคิดไปว่าเมื่อครู่ตนอาจตาฝาดไป

อย่างไรนั่นก็คือวารีวิญญาณทมิฬ มันเป็นพลังงานไร้รูปร่างที่สามารถบุกโจมตีดวงจิตแห่งเต๋าได้ผ่านระลอกคลื่นเล็ก ๆ เพียงแค่การโจมตีหนึ่งครั้งก็ทรงพลังยากต้านทาน ไม่มีการโจมตีใดที่สามารถทำลายมันลงได้ ทว่าเฉินซีไม่เพียงไม่หวั่นเกรงต่อกระแสคลื่นเหล่านั้น หากยังสามารถทำลายมันได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!

“หรือว่านั่นจะเป็นพลังของ… วิญญาณดวงใจ!” บรรดาศิษย์ของผู้อาวุโสทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบวงสรวงเต๋าตัวสั่นด้วยความตกตะลึง แม้แต่ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างหวังต้าวหลูและโจวจื่อหลีก็ยังต้องหรี่ตาลงขณะที่ความประหลาดใจฉายแววขึ้นบนนั้น

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะสามารถก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ ซึ่งเป็นขั้นที่สามของพลังดวงใจทั้งสี่ขั้นขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น

“เป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ” โจวจื่อหลีกล่าว เป็นครั้งแรกที่ชายวัยกลางคนพูดบางอย่างออกมาตั้งแต่การทดสอบเริ่มต้นขึ้น

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงจั่วชิวฮงที่ใบหน้าแข็งกระด้าง มือที่ถือจอกช้าไว้หยุดชะงักลงคล้ายกำลังจะสูญเสียความสงบและผ่อนคลายที่มีเมื่อครู่ไป

สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ ในตระกูลจั่วชิว พวกเขาล้วนแต่มีท่าทางตกตะลึงราวกับเห็นผี

ตอนนั้นเอง ร่างของเฉินซีพลันเปล่งพลังที่ไร้รูปร่างออกมา ส่งผลให้เรือนกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าแผ่นผา พลังของวิญญาณดวงใจกระจายไปรอบ ๆ และสยบระลอกคลื่นทั้งหลายบนทะเลสาบไปจนสิ้น ชายหนุ่มเป็นเหมือนกับหลักศิลากลางน้ำที่ยังคงยืดหยัดมั่นคงไม่ว่ากระแสธารจะเชี่ยวกรากเพียงใด

อีกด้านหนึ่ง อินเหมียวเมี่ยวที่กำลังตัวสั่น ถูกเฉินซีบีบรัดลำคอเอาไว้จรดสายตายังคนตรงหน้าด้วยความเกลียดชังและสับสนเหลือคณนา นางไม่เข้าใจแม้สักนิด เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้ช่วยนางเอาไว้?

“ที่ข้าช่วยเจ้าไว้เมื่อครู่ก็เพราะมีคำถามบางอย่างที่อยากจะถามเจ้าเท่านั้น อินเหมียวเมี่ยว เจ้าคิดว่าการที่เจ้ายอมมาเป็นขี้ข้าของคนตระกูลจั่วชิวมันถือเป็นเกียรติต่อบรรพบุรุษตระกูลมากนักหรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรกับสิ่งตกทอดของเต๋าแห่งยันต์อักขระจากเขาเทพพยากรณ์หรือ?” เฉินซีพูดอย่างสงบนิ่งผ่านกระแสปราณทั้งสีหน้าที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก

ดวงหน้าอันงดงามของหญิงสาวผลันสีซีด แววตาเจือไปด้วยความเศร้าหมอง

ตู้ม!

เฉินซีไม่ต้องการเสียเวลากับนางอีกต่อไป ชายหนุ่มโยนหญิงสาวลงไปในทะเลสาบและปล่อยให้คลื่นกลืนกิน

ผู้คนที่อยู่โดยรอบไม่คิดว่าเฉินซีทำเกินกว่าเหตุเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแต่สงสัยว่าเฉินซีพูดอะไรกับอินเหมียวเมี่ยวผ่านกระแสปราณเท่านั้น เหตุใดสีหน้าของนางจึงซีดเซียวและหดหู่ได้ถึงเพียงนี้

ก่อนที่ทุกคนจะคลายจากอารามตกใจ เสียงคลื่นที่ฟังดูฉวัดเฉวียนพลันดังขึ้น

ท่ามกลางสายตาที่เบิกกว้าง เฉินซีเคลื่อนไหวบนทะเลสาบคล้ายกำลังเดินบนพื้นดินราบเรียบ สีหน้าสงบนิ่ง กระแสคลื่นใด ๆ ก็ไม่อาจแตะต้องร่างสูงสง่าได้ ชายเสื้อสีเขียวพัดไหวไปตามแรงลมขณะฝ่าคลื่นน้ำไปยังเบื้องหน้า

เพียงไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก็มาถึงศิลาลับเต๋ากลางทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปร่วมหกลี้!

ผู้คนต่างตกตะลึง มีเพียงความเงียบงันที่เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท