บทที่ 1169 หม้อหยกคืนชีพ
บทที่ 1169 หม้อหยกคืนชีพ
อาจารย์หวังเหินกำชับว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป แต้มดาราจะถูกหักออกไปหนึ่งหมื่นแต้มหากมีการทะเลาะวิวาทหรือต่อสู้กันภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
เห็นได้ชัดว่ากฎนี้ไม่เคยมีมาก่อนและเพิ่งถูกบัญญัติขึ้นมาใหม่ ดังนั้นทุกคนรวมไปถึงศิษย์จากตระกูลเก่าแก่ทั้งเจ็ดอย่างจี้เซวียนปิงและจงหลีสวินที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ต่างตกใจและรู้สึกห่อเหี่ยวไม่น้อย
พวกเขาไม่ได้เสียใจเพราะไม่ได้ต่อสู้ แต่เสียใจเพราะไม่เพียงถูกลงโทษจากวิวาทเท่านั้น แต่ยังถูกตัดแต้มดารามากถึงหนึ่งหมื่นแต้มเลยทีเดียว
แต้มดารา!
คะแนนเหล่านั้นมีค่ายิ่งกว่าศิลาอมตะเนื้อดีเป็นไหน ๆ หากไม่มีพวกมัน การจะทำสิ่งใดภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ล้วนแต่กลายเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น
หลังจากนั้น หวังเหินก็ถามเจิ่นลู่และจ้าวเมิ่งหลีซึ่งอยู่ในอันดับที่สองและสามตามลำดับ พวกเขาตัดสินใจที่จะฝึกฝนภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ คนอื่นนอกจากอ๋าวอู๋หมิงก็ไม่มีใครรู้สึกเสียดายอีกต่อไป
อย่างไรเสียเรื่องราวก็ควรจะดำเนินไปเช่นนี้ พวกเขาคงจะกลายเป็นคนโง่เขลาหากปฏิเสธโอกาสจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพียงเพราะจำนวนแต้มดารา
แต้มดารานั้นเป็นสิ่งที่หมดไปแต่ก็สามารถหากลับมาได้ แต่โอกาสในการได้บ่มเพาะภายในเคหาระดับจักรพรรดินั้น หากหลุดมือแล้ว ก็ไม่อาจทวงคืนมาได้อีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเหินก็ได้จัดหาที่พักให้กับศิษย์คนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ไม่ใช่เฉินซี เจิ่นลู่ และจ้าวเมิ่งหลี ก่อนจะพาทั้งสามคนนั้นไปยังส่วนลึกของภูเขาเมฆาไพศาล
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าไปถึงส่วนลึกของภูเขาเมฆาไพศาล พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงปราณบรรพกาลโกลาหลที่อัดแน่นไปทั้งฟ้าดินในฉับพลัน มันเป็นเหมือนวัตถุไร้รูปร่างที่ล่องลอยไปมาในผืนพิภพ
จิตวิญญาณของพวกเขาได้รับการเยียวยาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว และตระหนักได้ในทันทีว่าการฝึกฝนที่นี่จะเป็นประโยชน์แก่การบ่มเพาะของตนอย่างยิ่ง
“เคหาระดับจักรพรรดิทั้งสามนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาแต่ละยอด พวกเจ้าสามคนสามารถเลือกได้ตามความต้องการ เมื่อเลือกจนพอใจแล้วก็ให้วางตราดาราม่วงไว้บนข้อจำกัดที่อยู่รอบ ๆ เสีย เคหะระดับจักรพรรดิจะหักแต้มดาราของพวกเจ้าเอง หลังจากนั้นมันจะยอมรับเจ้าเป็นนายและไม่ปล่อยให้ผู้ใดสามารถเข้าไปก้าวก่ายการบ่มเพาะของพวกเจ้าได้” หวังเหินชี้ไปที่ยอดเขาทั้งสามที่ตั้งตระหง่านไกลออกไปพร้อมกับอธิบายโดยละเอียด
“นอกจากนี้ นี่คือดวงแสงหมื่นสรรพสิ่ง มันเชื่อมโยงกับโถงแต้มดารา โถงแต้มดารานั้นเป็นที่ที่พวกเจ้าสามารถใช้แต้มดาราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่าง ๆ โดยดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือสำหรับการค้นหาของเหล่านั้น ทั้งนี้ หากเจ้าต้องการแลกของ ก็ยังคงต้องเดินทางไปที่โถงแต้มดาราด้วยตัวเอง” หวังเหินพูดพลางยื่นลูกแก้วใสขนาดเท่ากำปั้นจำนวนสามลูกออกมาเพื่อแจกจ่ายให้แก่พวกเขา
เจิ่นลู่และจ้าวเมิ่งหลีรับดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งมาจากหวังเหินก่อนจะพยักหน้ารับคำ ทั้งสองเปลี่ยนตัวเองเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังยอดเขาทั้งสองยอด
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงถือดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งไว้ในมือด้วยสีหน้างงงัน ชายหนุ่มยืนมองมันอยู่เช่นนั้นไม่แม้จะขยับย่างไปที่ใด
ดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งหรือ?
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งที่อยู่ในเจดีย์ต้าเหยี่ยน พวกมันแตกต่างกันก็แต่เพียงดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งที่อยู่ในเจดีย์ต้าเหยี่ยนนั้นสามารถใช้เพื่อแลกสิ่งของได้โดยตรง
“เป็นอะไรไป? หรือว่าเจ้ายังมีคำถามอีก?” หวังเหินมองไปยังเฉินซีก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ ดึงตัวเองขึ้นมาจากภวังค์ก่อนจะตอบ “ขอบคุณอาจารย์หวังที่ชี้แนะ”
“ไม่ต้องกังวล หากเจ้ามีเรื่องสงสัย หรือไม่เข้าใจในอนาคตก็อย่าลังเลที่จะมาหาข้า แต่แน่นอนว่าจะต้องถูกหักแต้มดาราเป็นค่าตอบแทนด้วยนะ” หวังเหินยิ้มขณะเล่นมุกตลกร้าย ไม่นานเขาก็ผละจากไปด้วยความรวดเร็ว
อาจารย์หวังผู้นี้ค่อนข้างเมตตาข้าไม่น้อย หากมีโอกาสในอนาคต ข้าก็คงจะเป็นสหายเต๋ากับเขาได้… เฉินซีจมดิ่งลงไปในห้วงความคิดขณะมองแผ่นหลังของหวังเหินค่อย ๆ ลับไปจากสายตา
…
ฟิ้ว~
ณ ยอดเขาวรุณมงคล เฉินซีถือตราดาราม่วงไว้ในมือก่อนจะวางมันลงบนข้อจำกัดหน้าเคหา พริบตาเดียว ความผันผวนประหลาดหนึ่งก็พลันเกิดขึ้น หลังจากนั้น ประตูสำหรับเข้าไปยังเคหาก็เปิดออกด้วยความรวดเร็ว
เท้าของเฉินซีค่อย ๆ ย่างเข้าไปภายใน
ตอนนั้นเอง แต้มดาราจำนวนแปดพันแต้มได้ถูกหักออกไปจากตราดาราม่วง คงเหลืออยู่เพียงเก้าพันกว่าแต้มเท่านั้น
ยอดเขาวรุณมงคลเป็นหนึ่งในสามยอดเขาที่มีเคหาระดับจักรพรรดิตั้งอยู่
ที่แห่งนี้มีเส้นชีพจรเซียนระดับจักรพรรดิสถิตอยู่เบื้องล่าง มันปลดปล่อยปราณบรรพกาลโกลาหลที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะออกมาเป็นระยะ
เมื่อชายหนุ่มเข้าไปภายในเคหา ภาพความงดงามที่เหมือนดั่งสรวงสวรรค์ก็ปรากฏสู่สายตา ที่แห่งนี้โอ่โถงอย่างพระราชวัง ทั้งสงบเงียบ สง่างาม และแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเรียบง่าย
ขณะเดียวกัน สายใยแห่งปราณที่เดือดพล่านประหนึ่งหินหนืดใต้ภูเขาไฟก็ปะทะเข้ากับใบหน้า ไอระอุรุนแรงเสียจนจิตวิญญาณยังสั่นไหว ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกเบาสบายราวกับกำลังทอดกายในบ่อน้ำพุร้อน แทบจะสะกดกลั้นไม่ให้ร้องออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้
“โอ้ ปราณ… ปราณบรรพกาลโกลาหล!” ทันใดนั้น เสียงของหม้อหยกก็ดังก้องภายในใจ
“ผู้อาวุโส!” เฉินซีชะงัก เขาไม่คิดว่าหม้อหยกที่ตกอยู่ในความเงียบงันอันล้ำลึกตั้งแต่ก้าวเข้ามาในภพเซียนจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้ ทำเอาชายหนุ่มนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
หลังจากนั้น เขาก็สำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความประหม่าในใจ ที่แห่งนี้คือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สถานที่ที่ซ่อนเร้นสิ่งมหัศจรรย์ไว้นับไม่ถ้วน มันคงกลายเป็นเรื่องประหลาดไม่น้อยหากจะไม่มีใครที่สามารถสังเกตเห็นถึงหม้อใบจิ๋วได้
“ไม่ต้องกังวล สถานที่แห่งนี้อยู่ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างแน่นอน เพื่อที่จะให้ที่แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยปราณบรรพกาลโกลาหล จักรพรรดิเต๋าจึงได้สร้างเคหาแห่งนี้ขึ้นบนเส้นชีพจรเซียนระดับจักรพรรดิ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถผ่านข้อจำกัดของที่นี่เข้ามาได้” หม้อใบจิ๋วกล่าวอย่างใจเย็น “อีกอย่าง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของข้าได้ แต่ถึงอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็หาได้สนใจคนตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าไม่ ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นข้าได้แน่”
เฉินซีถอนใจด้วยความโล่งอก “ยอดเลย”
ฟิ้ว!
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ หม้อใบจิ๋วก็ลอยออกมาจากร่าง เขาหมุนตัวเล็กน้อยขณะกำลังลอยลงมาที่พื้น “เดิมทีข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักสองสามพันปีเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ แต่ด้วยปราณบรรพกาลโกลาหลนี้ ข้าสามารถสร้างวิญญาณใหม่ให้สมบูรณ์ขึ้นได้ ถึงตอนนั้น ต่อให้ข้าจะปรากฏตัวขึ้นในภพเซียน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกฎของเต๋าแห่งสวรรค์จับได้อีก”
“สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้าง เขาเพิ่งรู้เอาก็ตอนนี้ว่าอาการบาดเจ็บของหม้อหยกนั้นสาหัสกว่าที่คาดไว้
“ใช่แล้ว เมื่อครั้งบรรพกาลข้าได้เผชิญกับเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลให้ข้าหลงเหลือวิญญาณเพียงเสี้ยวเดียว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ในสมรภูมิบรรพกาลเท่านั้น โชคไม่ดีเท่าไรที่สภาพวิญญาณของข้าไม่สมบูรณ์ ตลอดหลายปีมานี้ข้าจึงไม่อาจฟื้นคืนความแข็งแกร่งได้เลย ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม…” หม้อใบจิ๋วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถึงอย่างนั้น ปราณบรรพกาลโกลาหลก็ทำให้ข้ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง บางทีข้าอาจสามารถฟื้นฟูวิญญาณได้จนสมบูรณ์ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี เมื่อเวลานั้นมาถึง การจะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่และฟื้นฟูความแข็งแกร่งก็คงไม่ไกลเกินพยายาม”
เฉินซีตกตะลึง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหม้อใบจิ๋วที่มักสงวนวาจาอยู่เสมอจะยอมเล่าเรื่องราวเช่นนี้ให้ตนฟัง
“ที่ข้ายอมบอกเจ้าก็เพราะเจ้ามีความสามารถที่จะลงหลักในภพเซียน เมื่ออยู่ร่วมกันมานานหลายปีกรรมสัมพันธ์ก็บังเกิด พูดก็พูดเถิด ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว หลังจากที่ข้าสามารถฟื้นฟูวิญญาณได้ แน่นอนว่าข้าจะช่วยเจ้าต้านทานต่อทัณฑ์สวรรค์ทั้งปวงที่เข้ามากล้ำกราย!”
เฉินซีส่ายหน้า “ผู้อาวุโส ท่านต่างหากที่คอยช่วยเหลือมาเสมอ ดังนั้นเป็นฝ่ายข้าที่ติดหนี้ท่าน”
“เอาละ อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย ชะตากรรมนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งมหาเต๋ายังไม่อาจเข้าใจลึกซึ้ง ฉะนั้นแล้ว มันยังเร็วเกินไปที่จะมาพูดกันถึงเรื่องนี้ จงบ่มเพาะอย่างสบายใจเถิด เจ้าแบกรับสิ่งต่าง ๆ ไว้บนบ่ามากเกินไปแล้ว และเจ้าในตอนนี้เองก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่จะจัดการกับเรื่องทั้งหมดได้ด้วยความแข็งแกร่งที่มีในตอนนี้” ครั้นพูดจบ หม้อหยกก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน มันเริ่มดูดซับปราณบรรพกาลโกลาหลเข้าไปในร่างกาย แสงศักดิ์สิทธิ์อันเลือนรางค่อย ๆ เปล่งประกายระยับพราว
คำพูดของหม้อหยกทำให้เฉินซีนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุด ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดต่าง ๆ นานาออกไป หลังจากนั้น จึงนั่งขัดสมาธิพร้อมกับหงายฝ่ามือ ดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งปรากฏขึ้นบนนั้น
ดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งมีเกือบทุกอย่างที่ใจปรารถนา มันไม่ได้มีเพียงแค่บันทึกเกี่ยวกับเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนสมบัติอมตะเท่านั้น หากยังมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาด้วย
เฉินซีถือดวงหมื่นแสงสรรพสิ่งไว้ในมือพร้อมกับเปิดญาณมหาเทวะอมตะ ทันใดนั้น แสงจ้าก็ปรากฏขึ้นในความคิด มันแสดงผลของแผนผังต่าง ๆ รวมไปถึงข้อมูลพิเศษมากมาย
“หมวดสรรพสมบัติอมตะ!”
“หมวดสรรพโอสถ!”
“หมวดสรรพวัตถุ!”
“หมวด…”
มีรายการต่าง ๆ มากกว่าสิบหมวดหมู่ที่แตกต่างกัน
เฉินซีมองมันอย่างผ่าน ๆ
“กระบี่เฉือนวิญญาณ เป็นกระบี่ระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงที่หลอมขึ้นมาจากโลหะดาราเก้าชั้นฟ้า เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราสามพันแต้ม”
“เคล็ดวิชาวิญญาณมายา เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชานี้สำเร็จจะสามารถสร้างวิญญาณมายาเพื่อใช้ในการต่อสู้ได้ถึงหนึ่งพันแปดร้อยแต้ม เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราหกพันสี่ร้อยแต้ม”
“ยาหลอมกระจ่าง เป็นยาเม็ดสำหรับเสริมความสามารถในการขัดเกลาปราณเซียนและชำระล้างจิตวิญญาณ เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราเก้าพันหนึ่งร้อยดวง”
“…” ทั้งสมบัติอมตะ ทักษะวิชา เม็ดยา และวัตถุดิบเซียน… ล้วนแต่ปรากฏขึ้นในจินตภาพของเฉินซี ทำเอาชายหนุ่มตาพร่ามัวไปด้วยความตกใจ
ในดวงแสงหมื่นสรรพสิ่งมีสิ่งของมากมายเหลือเกิน มันมีแม้แต่สมบัติอมตะระดับวีรบุรุษไปจนถึงระดับว่างเปล่า! อย่างไรก็ตามราคาของสมบัติเหล่านั้นเรียกได้ว่าสูงเอาการ ด้วยความมั่งคั่งที่สะสมไว้ในตอนนี้ เขาไม่อาจจะซื้อพวกมันได้แม้แต่ชิ้นเดียว
ไม่นาน ดวงตาของเฉินซีก็จดจ่อกับสิ่งหนึ่ง
“บงกชครามบรรพกาล สมุนไพรเซียนที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราสามล้านแต้ม!”
รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบงกชครามไม่มีอะไรนอกจากการบรรยายว่ามันเป็นสมุนไพรเซียนที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ แต่มันกลับมีมูลค่าสูงถึงสามล้านแต้ม นับว่าเป็นจำนวนที่หากใครได้ฟังก็ต้องรู้สึกขนลุกขนพองไปตาม ๆ กัน
แม้แต่สมบัติอมตะระดับวีรบุรุษที่เฉินซีเห็นก่อนหน้านี้ก็ยังมีมูลค่าสูงสุดแค่แต้มดาราสองร้อยแปดแสนดวงเท่านั้น
ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหมิงซิงเหอจะกล้าโยนแต้มดาราตั้งสามล้านแต้มมาให้ข้า… ตอนนั้นเอง เฉินซีตกใจจนแทบสิ้นสติ ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความพิเศษของบงกชครามบรรพกาลอย่างลึกซึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มจึงคลายจากอาการตะลึงลาน
เขายับยั้งอารมณ์ที่ล่องลอยไปมาในหัวใจและหันกลับมาสนใจจินตภาพอีกครั้ง เมื่อเลื่อนรายการที่ปรากฏบนนั้นไปเรื่อย ๆ จำนวนของสมบัติที่หายากก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับมูลค่าแลกเปลี่ยนที่พุ่งสูงขึ้นไปตามความล้ำค่าของมัน ราคาเหล่านั้นเอาเฉินซีตาแทบถลนจากเบ้า
“ดวงจิตเทพอสูร เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราสี่ล้านแต้ม”
“หอกปีศาจสังหารจักรวาล สมบัติอมตะระดับว่างเปล่า เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราหกล้านสามแสนสองหมื่นแต้ม”
“ยาชำระวิญญาณเก้าชีพจร ซึ่งจำเป็นสำหรับการบรรลุขอบเขตราชันเซียน เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนอยู่ที่แต้มดาราเจ็ดล้านแปดแสนแต้ม”
“…”
สมบัติต่าง ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในภพเซียนปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินซี ไม่ว่าจะชิ้นไหนก็ล้วนแต่ล้ำค่าทั้งสิ้น ทำเอาหัวใจสั่นไหวเกินจะควบคุม ขณะเดียวกัน ราคาของมันก็ทำให้ชายหนุ่มต้องตัวสั่นสะท้านด้วยความพรั่นพรึงไม่ต่างกัน