บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1173 ผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1173 ผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน

บทที่ 1173 ผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน

อานุภาพของการโจมตีของอ๋าวเทียนซิงเพิ่มขึ้นเมื่อเขาใช้กฎของเซียนทองคำ มันคือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุ ซึ่งควบแน่นจากกฎแห่งมหาเต๋าวายุและอัสนี ดังนั้นเมื่อชายร่างใหญ่ฟาดฝ่ามือลงไป จึงทำให้เกิดกระแสลมและสายฟ้าอันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ต่อสู้กับเซียนทองคำ และเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงอานุภาพของตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ ซึ่งในขณะนี้ กลิ่นอายที่อันตรายได้ผุดขึ้นในใจ

ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์นั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มันได้หลอมรวมกฎแห่งมหาเต๋าสองประเภทเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังทรงพลัง หนาแน่น และเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายรุนแรง นอกจากนี้ มันยังแสดงอานุภาพที่สามารถทำลายล้างกองทัพ หรือบดขยี้พสุธา สิ่งนี้เกินขอบเขตกฎแห่งมหาเต๋าแล้ว!

“ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์!”

ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกประหลาดใจและงุนงงเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขาไม่คาดคิดว่าอ๋าวเทียนซิงซึ่งอยู่ขอบเขตเซียนทองคำ จะใช้พลังดังกล่าวเมื่อต้องรับมือกับเฉินซีที่อยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้การบ่มเพาะที่เหนือกว่ารังแกเฉินซี!

ทว่าแม้ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ สีหน้าของเฉินซีกลับนิ่งสงบและเฉยเมยยิ่งกว่าเดิม ดวงตาลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้ จิตใจเยือกเย็นราวกับหิมะ

ด้วยคำสั่งเดียวในใจ ปราณกระบี่ที่ควบแน่นเป็นเมฆก็หมุนวน แปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรปราณกระบี่อันไร้ขอบเขต เข้าปกคลุมทั้งฟ้าดินในขณะที่สาดซัดใส่ศัตรู!

มันคือการโจมตีของเคล็ดกระบี่วารีขั้นสมบูรณ์!

โครม!

ฝ่ามือของอ๋าวเทียนซิงปะทะกับปราณกระบี่ของเฉินซี ทำให้เกิดประกายไฟแววมากมาย

ปราณกระบี่กวาดไปรอบ ๆ กระแสลมที่เกิดจากฝ่ามือพัดหวีดหวิว ดังก้องไปทั่วบริเวณ มันทำให้ศิษย์หลายคนหวาดกลัวจนถึงจุดที่ถอยกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ท่ามกลางควันและฝุ่นผงที่ปกคลุมโดยรอบ ร่างสูงของเฉินซีถอยหลังเจ็ดก้าวติดต่อกัน ใบหน้าหล่อเหลาซีดเล็กน้อย กลิ่นอายก็ปั่นป่วน ยิ่งกว่านั้น แก่นโลหิตในร่างยังไหลเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนรู้สึกหวาดกลัว

ทุกย่างก้าวทำให้พื้นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวถอยหลังไปก้าวที่เจ็ด ก็เกิดหลุมขนาดมหึมาเจ็ดหลุมบนพื้นแข็ง

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพลังที่แฝงอยู่ในการโจมตีของอ๋าวเทียนซิงนั้นน่ากลัวเพียงใด

แต่ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ยังต้านการโจมตีนี้ได้!

เมื่อเหล่าศิษย์ในบริเวณใกล้เคียงเห็นฉากนี้ พวกเขารู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก และความตกใจก็แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจอย่างช่วยไม่ได้

โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เฉินซีซึ่งอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง จะสามารถต้านการโจมตีของเซียนทองคำที่มีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ได้!

คล้ายดูตั๊กแตนตำข้าวหยุดล้อเกวียน พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

ท้ายที่สุดแล้ว ขอบเขตเซียนทองคำและขอบเขตเซียนลึกลับเป็นสองขอบเขตการบ่มเพาะที่แตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหว

อย่างไรก็ตาม แม้เฉินซีจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง แต่ชายหนุ่มก็โต้กลับการโจมตีนี้อย่างแรง! แม้จะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ได้!

ในบรรดาศิษย์ใหม่ที่อยู่ที่นี่ จะมีสักกี่คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้?

“นึกไม่ถึงเลย ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้…” เจิ่นลู่มองเฉินซีด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่กระนั้นก็มีร่องรอยของความผันผวนเกิดขึ้นในจิตใจ และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความแข็งแกร่งของเฉินซีที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

“เขามีพลังต่อสู้เพียงแค่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง แต่กลับสามารถยืนหยัดได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถได้รับอันดับที่หนึ่งในการทดสอบครั้งล่าสุด…” จี้เซวียนปิงชมเชยเบา ๆ ดวงตาแวววับด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์

“ชายคนนี้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวจริง ๆ น่าเสียดายที่เขาอยู่แค่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ข้าคงไม่สามารถสู้กับเขาได้ในระหว่างการสอบของฝ่ายใน…” ดวงตาสุกใสของจ้าวเมิ่งหลีสั่นไหวด้วยระลอกคลื่นประหลาด ขณะมองไปทางเฉินซี

เซวียนหยวนอวิ่น มู่อวี่ชง โม่ชีอวิน จงหลีสวิน และคนอื่น ๆ มีความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับเฉินซีในระหว่างการทดสอบ ดังนั้นจึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังต่อสู้ของคนผู้นี้อย่างลึกซึ้ง

แต่เมื่อเฉินซีต้านการโจมตีของอ๋าวเทียนซิงได้ พวกเขาได้แต่ตกใจ พลังต่อสู้ของเฉินซีนั้นน่าเกรงขามอย่างยิ่ง จนทำให้คนอื่น ๆ พลอยได้รับแรงกดดันมหาศาล จนได้แต่คิดว่า หากพวกเขาเป็นเฉินซีในตอนนี้ คงแหลกสลายภายใต้โจมตีของอ๋าวเทียนซิงไปแล้ว!

ในทางกลับกัน สีหน้าของจั่วชิวอิน เจี้ยงฉางไฮ่ และคนอื่น ๆ ก็จมดิ่งลง พวกเขารู้สึกประหลาดใจและงุนงง อีกทั้งในหัวใจก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะเห็นเฉินซีแสดงฝีมืออย่างน่าเกรงขามเช่นนี้

โดยสรุปแล้ว ศิษย์ใหม่ต่างตกใจกับพลังต่อสู้ของเฉินซี ในขณะที่ศิษย์อาวุโสเหล่านั้นก็ตกใจและประหลาดใจเช่นกัน และมีเพียงสีหน้าของอ๋าวเทียนซิงที่ไม่น่าดูเล็กน้อย

ในฐานะเซียนทองคำที่เป็นฝ่ายเปิดฉากการโจมตี และใช้พลังของตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น การไม่สามารถเอาชนะคนที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางได้นั้น เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!

“ฮึ่ม! ก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังเพียงสี่ส่วนเท่านั้น เข้ามา! ให้ข้าดูว่าเจ้าจะต้านทานการโจมตีของข้าได้อีกหรือไม่!” ความเหี้ยมโหดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ชายร่างใหญ่ตั้งใจจะโจมตีอีกครั้ง

ทว่ากลับมีคลื่นเสียงตะโกนดังก้องขึ้นพร้อมกัน “หยุดมือซะ!”

เสียงเหล่านี้มาพร้อมกับเซวียนหยวนอวิ่น มู่อวี่ชง มู่เสี่ยวลิ่ว เหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และคนอื่น ๆ พวกเขาพุ่งออกมาจากฝูงชน และยืนขวางหน้าเฉินซี

ชายหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อย เขากวาดสายตามองผ่านเซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเห็นความเกลียดชังร่วมกันในดวงตาสหาย หัวใจของเฉินซีก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกเกลียดชังอ๋าวอู๋หมิง อ๋าวเทียนซิง และคนอื่น ๆ ก็มากขึ้นเป็นทบทวี ชายหนุ่มจึงกล่าวกับตัวเองในใจ ‘ข้าบรรลุขอบเขตเซียนทองคำเมื่อใด ข้าจะควักเส้นเอ็นมังกร เพื่อตอบแทนพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน!’

“ฮึ่ม! อะไรกัน มันเป็นแค่การประลองเท่านั้น หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าจะทำให้เขาพิการจริง ๆ?” อ๋าวเทียนซิงแค่นเสียงเย็น แต่ยอมหยุดการโจมตี เพราะทราบดีว่าตนเองได้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการสยบเฉินซีแล้ว

“ประลองหรือ? เฉินซีได้ตกลงที่จะประลองกับเจ้าหรือไม่? ในฐานะเซียนทองคำ จู่ ๆ เจ้าก็เปิดฉากโจมตีศิษย์ที่ขอบเขตเซียนลึกลับ ถึงขั้นใช้ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อเกียรติของเจ้าไม่ใช่หรือ? เหล่าผู้คนจากภพมังกรจะไร้ยางอายเหมือนเจ้าหรือไม่”

มู่เสี่ยวลิ่วเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด และก้าวร้าวที่สุดในหมู่พวกเขา อีกฝ่ายชี้นิ้วไปที่อ๋าวเทียนซิงและก่นด่าทันที ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้คู่ควรกับฉายาของคนยิ่งนัก ‘ปีศาจน้อยในร่างมนุษย์’

“ฮึ่ม! เด็กน้อยขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์อย่างเจ้า บังอาจล่วงเกินข้าหรือ?” ใบหน้าของอ๋าวเทียนซิงกลายเป็นเย็นชา แล้วปล่อยพลังรุนแรงสายหนึ่งออกจากปลายนิ้ว พุ่งเข้าหามู่เสี่ยวลิ่วอย่างรวดเร็ว!

“เจ้า!” ความโกรธวูบวาบในดวงตาของมู่อวี่ชง เมื่อเห็นอ๋าวเทียนซิงโจมตีมู่เสี่ยวลิ่ว ชายหนุ่มรีบยืนขวางกั้น เปลี่ยนปราณเซียนพิสุทธิ์อันทรงพลังเป็นโล่แสง

โครม!

พลังดรรชนีนั่นกระแทกใส่โล่แสง และทำลายมันทันที มู่อวี่ชงส่งเสียงครวญครางและซวนเซจากปะทะ ใบหน้าซีดลงอย่างน่าสยดสยอง เลือดไหลออกมาจากมุมปาก

“เจ้าทำเกินไปแล้ว!” เซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ โกรธทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ ซึ่งถึงขนาดที่ศิษย์ใหม่ที่อยู่ใกล้เคียงไม่สามารถทนเห็นภาพนี้ได้ พวกเขาจึงประณามอ๋าวเทียนซิงเช่นกัน

ทันใดนั้น รอบข้างทั้งหมดเต็มไปด้วยเสียงประณามอ๋าวเทียนซิง

“หุบปาก! ศิษย์ใหม่ในปีนี้เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทั้งยังหยิ่งผยอง พวกเจ้ายังไม่ทราบกฎสินะ ถ้าอย่างนั้นก็จงรู้ไว้ซะ การเคารพผู้อาวุโสคือบทเรียนแรกที่พวกเจ้าทุกคนต้องเรียนรู้ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!” อ๋าวเทียนซิงเย้ยหยัน และไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ชายร่างใหญ่พลันสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างส่งเสียงดังก้อง กลิ่นอายก็ยิ่งดูน่ากลัว และน่าเกรงขามมากขึ้น “จงก้าวออกมาข้างหน้า ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมรับสิ่งนี้!”

ท่าทางของศิษย์ใหม่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง

พวกเขาที่สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ต่างมีความภาคภูมิใจและหยิ่งทะนง ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะจากมหาอำนาจที่มีทรัพยากรและกองกำลังลึกล้ำ! แล้วจะไม่โกรธได้อย่างไร เมื่อถูกด่าและเหยียดหยามเช่นนี้?

“ฮึ่ม!” แม้แต่จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ก็คำรามในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เนื่องจากคำพูดของอ๋าวเทียนซิงมุ่งตรงไปยังศิษย์ใหม่ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจะเฝ้าดูอย่างเย็นชาข้างสนามต่อไปได้อย่างไร

อาจกล่าวได้ว่าคำพูดของอ๋าวเทียนซิง ทำให้ทุกคนเกิดความโกรธแค้น!

ในขณะเดียวกันแม้แต่ศิษย์อาวุโสก็รู้สึกว่าอ๋าวเทียนซิงนั้นทำเกินไป และพากันขมวดคิ้วแน่น เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ศิษย์ใหม่มาถึงสำนักศึกษา หากคนผู้นี้ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ ผลที่ตามมาจะรุนแรงอย่างแน่นอน

อ๋าวเทียนซิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากนี้ แววตาหมองหม่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตระหนักถึงสถานการณ์เลวร้ายเช่นกัน

แต่อ๋าวเทียนซิงไม่เต็มใจที่จะแสดงความอ่อนแอ ชายร่างใหญ่จึงส่ายศีรษะและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้าไร้กระดูกสันหลังจริง ๆ พวกเจ้ารู้แต่วิธีรวมพลังกันเท่านั้น ช่างน่าผิดหวัง”

“ฮ่า ฮ่า! ไร้กระดูกสันหลัง? เซียนทองคำเช่นเจ้ายังไม่ผ่านการสอบของฝ่ายในจนถึงตอนนี้ แต่กลับรู้เพียงวิธีที่จะรังแกศิษย์ใหม่ การกระทำเช่นนี้ควรเรียกว่าอะไรดี?!

“ฮึ่ม! แม้ว่าข้าจะเป็นศิษย์ใหม่ แต่ก็เพียงบ่มเพาะมาน้อยกว่า ดังนั้นมีอะไรให้หยิ่งยโส? คิดว่าเราจะกลัวเจ้าจริง ๆ หรือ?”

“คนของภพมังกรเป็นพวกรังแกผู้อ่อนแอ และเกรงกลัวผู้แข็งแกร่งจริง ๆ!”

เมื่อเห็นว่าอ๋าวเทียนซิงตั้งใจจะจากไป เหล่าศิษย์ใหม่ก็เยาะเย้ยอย่างต่อเนื่อง

“พวกเจ้าพล่ามอันใดกัน?” อ๋าวเทียนซิงหยุดกะทันหัน แววตาทอประกายเย็นยะเยือก ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยจิตต่อสู้ “วันนี้เป็นวันแรกสำหรับพวกเจ้าที่เป็นศิษย์ใหม่ในสำนักศึกษา เดิมทีข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกเจ้าลำบาก แต่พวกเจ้ากลับกล้ายั่วยุข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าทนได้ แล้วอะไรจะทนไม่ได้ล่ะ!”

โครม!

กลิ่นอายอันทรงพลังของเซียนทองคำ แผ่ซ่านไปรอบบริเวณ และมันก็ระงับเสียงอึกทึกครึกโครมจากฝูงชน

เหล่าศิษย์ใหม่รู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ เพราะโดยปกติแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ของมหาอำนาจซึ่งมีความภาคภูมิใจในตนเอง แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และอาจถือได้ว่าเป็นเพียงคนรู้จัก แต่ทัศนคติเอาแต่ใจของอ๋าวเทียนซิง ทำให้พวกเขาถูกผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน

แน่นอน อ๋าวอู๋หมิงและศิษย์คนอื่น ๆ ของภพมังกรต่างก็สงวนท่าที และเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเย็นชา แม้แต่จั่วชิวอิน เจี้ยงฉางไฮ่ และคนอื่น ๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน

ดังนั้นจึงสามารถสังเกตเงื่อนงำบางอย่างได้จากสิ่งนี้

ผู้ที่มีความเกลียดชังต่อเฉินซีย่อมตั้งหน้าตั้งตารออ๋าวเทียนซิงมอบบทเรียนอันเลวร้ายให้คนผู้นี้ ในขณะที่คนที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับเฉินซีกลับก้าวไปข้างหน้า และตั้งแนวขวางหน้า ในฐานะศิษย์ใหม่เช่นกัน

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากล่าวกับตัวเองในใจว่า ‘อ๋าวอู๋หมิงอาจไม่เคยคิดมาก่อน ว่าการจัดการกับข้าจะทำให้สถานการณ์เลยเถิดไปได้ถึงขนาดนี้?’

“ใครกำลังมีข้อพิพาทอยู่ที่นี่? หรือพวกเจ้าทุกคนไม่รู้ว่าการต่อสู้ระหว่างกันนั้นละเมิดกฎของสำนักศึกษา?” ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น กลุ่มคนพลันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ คล้ายใช้การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ ยิ่งกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ

ผู้นำคือ ชายที่สวมชุดสีฟ้า ผิวขาว เบ้าตาลึก จมูกเหยี่ยว ริมฝีปากบาง เผยให้เห็นกลิ่นอายมืดมนและเย็นชา

“ศิษย์ของโถงผู้คุมกฎของสำนักศึกษาฝ่ายนอก!”

“ผู้ที่เป็นผู้นำ คืออันดับสองในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ จั่วชิวจวิน!”

เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ เหล่าศิษย์อาวุโสที่เฝ้าดูอยู่จากบริเวณโดยรอบก็เริ่มกระสับกระส่าย

——————————–

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท