บทที่ 1175 ภูเขาภารกิจ
บทที่ 1175 ภูเขาภารกิจ
เด็กสาวที่บริสุทธิ์และสดใส สวมชุดสีเขียว ผมสีดำสนิท และดวงตาใสเป็นประกายราวผนึกแก้ว ราวกับเนินเขาที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหลังฝนโปรย เปล่งประกายกลิ่นอายสดชื่นและสวยงาม
ริมฝีปากสีแดง ผิวขาวอมชมพูเนียนและอ่อนนุ่ม ท่าทางและรูปลักษณ์สง่างามดึงดูดความสนใจของศิษย์หลายคนที่อยู่รอบข้างทันที เพียงได้มองพวกเขาพลันรู้สึกประหนึ่งลมหายใจถูกพรากไป
ในทางกลับกัน เมื่อเฉินซีเห็นสตรีผู้นี้ ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมาทันที ความอบอุ่นจากการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
หญิงสาวผู้นี้คืออาซิ่ว
ชื่อเต็มของนางคือเซวียนหยวนซิ่ว นางเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเซวียนหยวน หนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่โบราณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นอัจฉริยะเปล่งประกายที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ของตระกูลอีกคน นอกจากเซวียนหยวนฉิงเฟิง
นั่นเพราะนางได้รับสืบทอดพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณ กระบี่เซวียนหยวน!
“สวัสดี เราเจอกันอีกแล้ว”
อาซิ่วยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ ความงดงามของรอยยิ้มนั้น ทอประกายบดบังโลกไปชั่วขณะ
สวัสดี…
เมื่อได้ยินรูปแบบการพูดคุยที่คุ้นเคยนี้ นอกจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว เฉินซีก็โล่งใจที่พบว่าอาซิ่วยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนจริง ๆ และไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ในทางกลับกัน กู่เยวหมิง เหลียงเริ่น มู่อวี่ชงและคนอื่น ๆ ต่างก็เบิกตากว้าง พวกเขาไม่คิดว่า เฉินซีจะรู้จักองค์หญิงน้อยของตระกูลเซวียนหยวนจริง ๆ และดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี…
“องค์หญิงน้อยเจ้ารู้จักเฉินซีได้อย่างไร?” มู่อวี่ชงอดไม่ได้ที่จะส่งกระแสปราณถามเซวียนหยวนอวิ่น
“ข้าเองก็อยากจะถามเจ้าเช่นกันว่า คุณหนูใหญ่หลิงหลงรู้จักกับเฉินซีได้อย่างไร?” เซวียนหยวนอวิ่นถามกลับด้วยความงุนงง
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็มองหน้ากันและพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง เพราะพวกเขาพบว่าทั้งเซวียนหยวนซิ่วและมู่หลิงหลงต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินซี แต่น่าเสียดายที่พวกเขายังไม่รู้ว่าเฉินซีมารู้จักกับคุณหนูจากทั้งสองตระกูลได้อย่างไร…
“หลิงไป๋อยู่ที่ไหน? ไป๋คุย? มู่ขุยเล่า? แล้วซางจือกับอาหมาน? เหตุใดพวกเขาไม่ได้อยู่กับเจ้ากันเล่า? โอ้ ใช่แล้ว พวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าสู่ภพเซียนได้” เห็นได้ชัดว่าอาซิ่วมีความสุขมากเมื่อได้เจอเฉินซี นางจึงได้พูดจาไม่หยุดหย่อน
เฉินซีรู้ว่าอาซิ่วมีเรื่องจะพูดมากมายเพราะนางไม่ได้เจอตนมานานแล้ว และนางก็ไม่ต้องการให้เขาตอบทีละเรื่อง
ในระหว่างนี้ เฉินซียังได้พบว่าอาซิ่วกลายเป็นศิษย์สายตรงของหวังต้าวหลูแล้ว และตอนนี้ก็กำลังฝึกฝนอยู่กับอาจารย์ของตน
ศิษย์นามอาซิ่ว จึงได้รับการพิจารณาให้เป็นศิษย์สายใน…
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ชายหนุ่มใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อผ่านการทดสอบทั้งสามรอบ และเข้าสู่สำนักศึกษาเพื่อกลายเป็นศิษย์สายนอก แต่อาซิ่วที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทดสอบใด ๆ กลับได้เป็นศิษย์สายใน ทั้งยังเป็นศิษย์ส่วนตัวของหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในอย่างหวังต้าวหลูอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่อาซิ่วเท่านั้น จั่วชิวเคอจากตระกูลจั่วชิว และมู่หลิงหลงจากตระกูลมู่เองก็ได้เข้าสู่สำนักศึกษาด้วยวิธีการพิเศษเช่นเดียวกัน
ต่อมา เฉินซีก็ได้เรียนรู้ว่าเมื่อต้องรับมือกับกองกำลังชั้นนำ เช่นเจ็ดตระกูลใหญ่โบราณ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะให้สิทธิพิเศษเพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาแก่แต่ละตระกูล
สิทธิพิเศษนี้ไม่ได้สุ่มมอบแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่มีข้อกำหนดมากมายในการได้รับมัน หากไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดหรือมีพรสวรรค์แต่กำเนิด แม้จะได้รับสิทธิ์นี้ คงไม่แคล้วถูกสำนักศึกษาปฏิเสธอยู่ดี
นี่คือแก่นแท้ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แม้จะมีสิทธิพิเศษ แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับมัน หากผู้ใดต้องการเข้าสู่สำนักศึกษา ผู้นั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากสำนักเสียก่อน!
เห็นได้ชัดว่า อาซิ่วไม่เพียงแต่ได้รับสิทธิ์นี้เท่านั้น นางยังได้เป็นศิษย์สายตรงของหวังต้าวหลูผู้อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นด้วย มองจากพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาของนาง มู่หลิงหลงและจั่วชิวเคอเองก็คงจะเหมือนกับอาซิ่ว ที่เข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าผ่านสิทธิพิเศษนี้
…
หลังจากตามทันเฉินซี อาซิ่วก็ถามต่อทันที “ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้มีคนสร้างความรำคาญให้เจ้า?” ขณะที่พูดหญิงสาวก็ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าบึ้งตึง
เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันได้รับการแก้ไขแล้ว”
เขาไม่ต้องการให้อาซิ่วเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้ตนดูไร้ความสามารถ เป็นการดีกว่าที่จะแก้ไขบางสิ่งด้วยตนเอง
น่าเสียดายที่อาซิ่วไม่พอใจกับคำตอบนี้ นางยกมือขึ้นเพื่อเรียกเซวียนหยวนอวิ่นมาและพูดว่า “พี่สิบสาม โปรดบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้?”
เซวียนหยวนอวิ่นไม่ได้ปิดบัง ชายหนุ่มพูดทุกอย่างโดยไม่มีการปรุงแต่ง และเพียงแค่อธิบายสถานการณ์ก่อนหน้านี้อย่างกระชับเท่านั้น
“ตระกูลจั่วชิวหรือ?” อาซิ่วเยาะเย้ย ริมฝีปากของนางยกขึ้นและพูดด้วยอาฆาตแค้น “พี่สิบสาม ไปแจ้งผู้เยี่ยมยุทธ์ตระกูลเซวียนหยวนของสายในที บอกว่าคนจากตระกูลจั่วชิวรังแกข้า ให้พวกเขามาที่นี่ทันที!”
คำพูดเหล่านี้พูดรุนแรงเกินจริง ทำให้กู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นประหลาดใจอย่างมาก โอ้สวรรค์! องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลเซวียนหยวนที่ดูบริสุทธิ์และสดใส …ที่แท้แล้วนางช่างเอาแต่ใจอย่างแท้จริง!
เซวียนหยวนอวิ่นตกตะลึง “เจ้าแน่ใจหรือ?”
อาซิ่วพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าดูเหมือนคนล้อเล่นหรือ?”
เมื่อเห็นอาซิ่วกำลังจะโกรธ เซวียนหยวนอวิ่นก็พูดอย่างเร่งรีบ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยว!” เฉินซีหยุดเซวียนหยวนอวิ่นไว้ “หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ มันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดเลย ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะลืมมัน เมื่อมีโอกาสข้าจะจัดการกับมันเอง”
เสียงของเขาสงบ แต่เผยให้เห็นน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ลืมมันไปเถอะ เราจะไว้ชีวิตไอ้สารเลวเหล่านั้นที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร” อาซิ่วย่นริมฝีปากและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ นางรู้จักนิสัยของเฉินซีเป็นอย่างดี และรู้ว่าเมื่อคนผู้นี้ตัดสินใจไปแล้ว มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ไม่เพียงแค่เฉินซีและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ตระหนักถึงความปั่นป่วนที่เกือบจะเกิดจากอาซิ่ว แม้แต่ศิษย์บางคนที่อยู่ใกล้เคียงและกำลังจะจากไปเองก็ได้ยินอย่างชัดเจน และพวกเขาก็ประหลาดใจกันอย่างมาก
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลเซวียนหยวนจะปกป้องเฉินซีขนาดนี้ เมื่อรวมกับมู่อวี่ชงและจี้เซวียนปิงที่ยืนหยัดเพื่อชายผู้นี้ก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่าอย่างน้อยสามในเจ็ดตระกูลใหญ่โบราณเป็นมิตรที่ดีกับเฉินซี!
ในทางกลับกัน การรวมตัวกันของจั่วชิวฉวน ภพมังกรและตระกูลเจี้ยง ก็เป็นกองกำลังที่ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน หากในอนาคตความขัดแย้งระหว่างพวกเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง ฉากนั้นคงงดงามจับตา
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มให้ความสำคัญกับเฉินซีอย่างจริงจัง
เดิมที เฉินซีเป็นผู้ได้รับอันดับแรกจากบรรดาศิษย์เข้าใหม่ของปีนี้ ชายหนุ่มก็ได้รับความสนใจจากบุคคลสำคัญมากมายในสำนักศึกษาอยู่แล้ว มาตอนนี้เขาได้สร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับกลุ่มตระกูลใหญ่โบราณอย่างตระกูลเซวียนหยวน ตระกูลมู่ และตระกูลจี้อีก ชายผู้นี้จึงดูราวกับดวงดาวที่กำลังเติบโตอย่างช้า ๆ
เมื่อยืนหยัดในสำนักอย่างมั่นคงได้เมื่อไหร่ คงจะไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขาอีกแล้ว!
“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อ?” อาซิ่วถามเกี่ยวกับแผนการของเฉินซี
หลังจากนี้อีกสองปี การทดสอบศิษย์สายในจะถูกจัดขึ้น ตอนนี้เฉินซีอยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางเท่านั้น หากเขาไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำในช่วงเวลาที่เหลือนี้ และมีชื่ออยู่ในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ เขาก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในการทดสอบ
“เก็บแต้มดารา” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยเคหาดารา เฉินซีจึงไม่ได้กังวลว่าจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ภายในสองปี สิ่งที่เป็นปัญหาจริง ๆ คือการเก็บแต้มดารามากกว่า
ชายหนุ่มตั้งมั่นที่จะคว้าแผนภาพวารีหลากและชิ้นส่วนแก่นแท้โกลาหลมาให้ได้!
“เอ่อ ข้าเข้าใจแล้ว” อาซิ่วกลอกตาและหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากังวลว่าเจ้าจะไม่มีแต้มดาราเพียงพอ เมื่อเจ้าทุบตีเหล่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวใช่หรือไม่?”
เฉินซีประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เมื่อเกิดการต่อสู้กัน แต้มดาราของเจ้าจะถูกหักออกทันที ทุบตีคนเดียวหักหมื่นแต้มดารา ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวมีอยู่มากมายในสำนัก ดังนั้นเจ้าก็ต้องเตรียมแต้มดาราให้มากขึ้น ในอนาคตเจ้าจะได้ทุบตีพวกเขาได้อย่างสะดวก”
อาซิ่วหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ของข้าเคยถามว่า สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักศึกษา? มันไม่ใช่หลักการหรือกฎเกณฑ์ แต่มันคือแต้มดารา! ต่อหน้าแต้มดารา จะกฎหมาย กฎเกณฑ์ หลักการ… ทุกสิ่งล้วนเหมือนเมฆที่ล่องลอยอยู่เต็มฟ้า เบาหวิวไร้น้ำหนัก อย่ากังวลไปเลย”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าในฐานะอาจารย์คนหนึ่งของสายใน หวังต้าวหลูจะพูด ‘ความจริง’ เช่นนี้
แต่เมื่อลองคิดดูมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แม้แต่สมบัติอันล้ำค่าในสามภพเช่นชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ก็ยังสามารถใช้แต้มดาราแลกมาได้ แค่สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าแต้มดารามีความสำคัญเพียงใด
“ในเมื่อเจ้าตั้งใจที่จะเก็บแต้มดารา ข้าก็มีความคิดดี ๆ ที่จะช่วยให้เจ้าได้รับแต้มดาราทุกวัน” อาซิ่วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด
จิตวิญญาณของเฉินซีตื่นตัวขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าะได้รับความช่วยเหลือจากอาซิ่วอย่างทันท่วงทีถึงเพียงนี้
“วิธีอันใด?” คราวนี้แม้แต่กู่เยวหมิง เหลียงเริ่น มู่อวี่ชง และเซวียนหยวนอวิ่นที่กำลังฟังอยู่ด้านข้างก็สนใจเช่นกัน พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่สำนักศึกษาเป็นวันแรก และไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งด้านในนั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งหากพวกเขาสามารถได้รับการแนะนำจาก ‘รุ่นพี่’ เช่น อาซิ่ว
หญิงสาวกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เรามาร่วมมือกัน!”
ขณะที่นางพูด หญิงสาวก็หันกลับมาและวิ่งออกไปไกล ในขณะที่คนอื่น ๆ รีบเดินตามหลังนางไปติด ๆ
…
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก่อตั้งขึ้นภายในพื้นที่ที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเต๋า ภูเขาปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ในขณะที่อาคารโบราณสามารถพบเห็นได้ทุกที่ ขอบเขตของมันแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้มันกว้างใหญ่ งดงามและอลังการ
กล่าวโดยสรุป สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ฝ่ายใน ฝ่ายนอก ฝ่ายสงวนคัมภีร์ ฝ่ายสงวนโอสถ และฝ่ายบำเพ็ญเต๋า ทุกพื้นที่เป็นเหมือนดั่งโลกใบเล็ก
เพื่อความสะดวกของศิษย์ในสำนัก บุคคลสำคัญในสำนักศึกษาได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติระหว่างลานทั้งห้า มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสำนักศึกษามีขนาดใหญ่เพียงใด
โอม~
อาซิ่วพาเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ และครู่ต่อมา พวกเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่ด้านหน้าภูเขาที่สูงตระหง่านอย่างยิ่งลูกหนึ่ง
บนภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยห้องโถงโบราณเรียงเป็นแถว โดยเริ่มตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไปจนถึงปลายยอด มองไกล ๆ ราวกับอาณาจักรที่สร้างขึ้นบนภูเขาก็ไม่ปาน
ในเวลานี้ ภูเขากำลังคึกคักอย่างมาก เงาร่างจำนวนมากมายเคลื่อนตัวไปมาบนนั้น เป็นเส้นแสงยาวทะลุท้องฟ้า จนดูงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“นี่มันหรือว่า…” มู่อวี่ชงงุนงงราวกับว่าจำบางอย่างได้
“ใช่แล้ว แห่งนี้คือที่สำหรับไว้มอบหมายงานและตั้งรับภารกิจของสำนัก มันถูกเรียกว่า ภูเขาภารกิจ ทุกห้องโถงที่กระจายอยู่บนนั้น จะมีงานภารกิจที่แตกต่างกันออกไปถูกแจกจ่ายอยู่ทุกวัน”
ขณะที่นางพูด อาซิ่วก็ได้พาเฉินซีและคนอื่น ๆ ขึ้นไปบนภูเขา
“ที่นี่มีภารกิจมากมายดุจน้ำในมหาสมุทร ข้าจะพาพวกเจ้าไปยืนยันตัวก่อน ในอนาคต พวกเจ้าทุกคนสามารถอาศัยตราดาราม่วง เพื่อตรวจสอบภารกิจใหม่ ๆ บนภูเขาภารกิจได้โดยไม่ต้องออกจากที่พักของตัวเอง!”