บทที่ 1183 ผู้คุมกฎ
บทที่ 1183 ผู้คุมกฎ
สิบวันต่อมา ณ ฝ่ายสงวนโอสถ
บริเวณด้านหน้าของหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำที่ตั้งอยู่ใจกลางของห้องโถง
ร่างของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดจากตระกูลเซวียนหยวนแข็งทื่อ ก่อนจะกระอักเลือดออกมา และล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนต่างแตกตื่นโวยวาย และกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
คิ้วของเซวียนหยวนพัวจวินขมวดเข้าหากันแน่น ขณะเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอด จากนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พลังจิตอ่อนล้ามากเกินไป เขาปลอดภัยดี”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับมืดมนยิ่ง
เพราะในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดจากตระกูลเซวียนหยวนได้ศึกษาผังค่ายกลภายในหม้อสมบัติ แต่กลับคว้าน้ำเหลว และไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
ตอนนี้ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าอ้อนล้า ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ พลังจิตก็แห้งเหือด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เซวียนหยวนพัวจวินจะอารมณ์ดี
“สหายเต๋าพัวจวิน โปรดให้พวกเขาหยุดพัก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับผลกระทบ และอาจทำลายรากฐานการบ่มเพาะ!” เสิ่นฮ่าวเทียน อาจารย์ใหญ่ของฝ่ายสงวนโอสถกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอด ทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนนับไม่ถ้วนในโลกภายนอก ทว่าตอนนี้พวกเขากลับได้รับคำสั่งจากเซวียนหยวนพัวจวินให้ทำงานหนักเยี่ยงล่อ ดังนั้นเสิ่นฮ่าวเทียนจึงไม่สามารถทนดูเหตุการณ์นี้ต่อไปได้
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของฝ่ายสงวนโอสถต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากฐานรากของเหล่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดได้รับความเสียหายเพราะหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็คงเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดทนรับได้อย่างแน่นอน
“ลูกพี่ลูกน้อง ไยจึงไม่ปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนเสียหน่อย? อาซิ่วบอกว่าวันนี้เฉินซีจะมาไม่ใช่หรือ? บางทีชายหนุ่มคนนั้นอาจจะสร้างความประหลาดใจให้กับเราก็เป็นได้” เซวียนหยวนถงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมญาติของตน
“สิ่งที่อาซิ่วกล่าวนั่นเชื่อถือได้หรือ?” เซวียนหยวนพัวจวินไม่เห็นด้วย “ข้าเคยพบกับเด็กคนนั้นแล้ว และหากเจ้าบอกว่าพรสวรรค์ของเขาในวิถีแห่งเต๋านั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ตัวข้าจะไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่คิดรับเขาเป็นศิษย์หลังจากการทดสอบสิ้นสุดลงในวันนั้น”
เขาหยุดชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าเจ้าบอกข้าว่าเด็กน้อยที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง จะสามารถแก้ปัญหาที่พวกเราเหล่าผู้เฒ่าไม่สามารถแก้ไขได้ เรื่องนี้ข้ายังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย”
คำพูดของเซวียนหยวนพัวจวินสมเหตุสมผล ผู้อาวุโสต่างคิดเช่นเดียวกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคนต่างสงสัยในความสามารถของเฉินซี
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซวียนหยวนถงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ลูกพี่ลูกน้อง แล้วเราควรทำเช่นไร?”
คิ้วของเซวียนหยวนพัวจวินขมวดเข้าหากันแน่น เขาเงียบไปพร้อมกับครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง แน่นอนว่าในเวลานี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เว้นแต่ผู้อาวุโสบู่ผิงแห่งสำนักศึกษาผู้มีสมญานามว่า ‘เทพยันต์อักขระ’ จะกลับมา แต่เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นไปไม่ได้
ปึง!
ทันใดนั้น ประตูทางเข้าห้องโถงก็ถูกผลักเปิดจากด้านนอก
กลิ่นอายแห่งความตายอันเงียบงัน เย็นยะเยือก และเคร่งขรึมพุ่งเข้ามาจากภายนอกอย่างฉับพลัน ทำให้หัวใจของเหล่าผู้อาวุโสสั่นสะท้าน ขณะจ้องมองไปที่ประตูทางเข้า
กลุ่มคนในชุดคลุมสีดำประมาณสิบคนก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถงภายใต้การนำของจั่วชิวเซิง เมื่อพวกเขามาถึง อากาศในห้องโถงพลันเต็มไปกลิ่นอายสังหารอันเงียบงัน ความเยียบเย็นเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
ความรู้สึกราวกับกลุ่มยมฑูตที่มาจากขุมนรก พวกเขาไร้ความปรานี เย็นชา และตั้งใจพร้อมเก็บเกี่ยววิญญาณของผู้วายชนม์ ทำให้ความหนาวเย็นกัดกินหัวใจของทุกคนอย่างควบคุมไม่ได้
ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่และเป็นผู้อาวุโสของสำนักศึกษา แต่เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำเหล่านี้ รูม่านตาพลันหดเกร็ง ร่างกายก็รู้สึกอึดอัดยิ่งขึ้น
ไม่ใช่ความกลัวเกรง แต่เป็นความรู้สึกชิงชัง ราวกับเห็นการมาเยือนของกลุ่มเทพแห่งโรคระบาด
“ผู้คุมกฎ!”
“พวกเขามาทำอะไรที่นี่?”
ทุกคนในห้องโถงต่างขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน เสิ่นฮ่าวเทียน อาจารย์ใหญ่ฝ่ายสงวนโอสถถึงกับลุกยืนขึ้น สายตาเย็นชาราวกับสายฟ้าฟาด ไม่คิดปกปิดความเกลียดชังแม้แต่น้อย
ผู้คุมกฎคือกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ในสำนักศึกษาที่มีฝีมือไม่ธรรมดา
ซึ่งอย่างน้อยทุก ๆ คนจะต้องมีการบ่มเพาะขั้นขอบเขตเซียนปราชญ์ และมีพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัว การดำรงอยู่ของพวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกับโถงผู้คุมกฎ และเพื่อประโยชน์ในการรักษากฎของสำนักศึกษา
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือโถงผู้คุมกฎถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าศิษย์ และคอยดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศิษย์ ในขณะที่ผู้คุมกฎมีหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ฝึกสอนในสำนักศึกษา!
คนเหล่านี้เปรียบดั่งเพชฌฆาต เย็นชา ไร้ความปรานี และแปดเปื้อนไปด้วยเลือด พวกเขาเป็นคนที่ไร้ความปรานีและโหดเหี้ยมที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดชื่นชอบพวกเขา
“จั่วชิวเซิง! ทำไมเจ้าถึงนำผู้คุมกฎมาที่ฝ่ายสงวนโอสถ?” เซวียนหยวนถงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“โอ้ ข้าพบสหายเต๋าหลีเป่ยโดยบังเอิญ พวกเขากำลังตามหาสหายเต๋าพัวจวิน ดังนั้นข้าจึงพาพวกเขามา” จั่วชิวเซิงกล่าวตรงไปตรงมา
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ยิ้มให้กับชายชุดดำที่อยู่เคียงข้าง “สหายเต๋าหลีเป่ย ภารกิจของข้าเสร็จสิ้นแล้ว เชิญทำงานของเจ้าได้”
ชายในชุดดำที่ชื่อว่าหลีเป่ย มีรูปร่างผอม ยืนตัวตรงมั่นคงดุจหอก ใบหน้าที่ดูเหมือนถูกเฉือนด้วยใบมีด กลับซีดเซียวอย่างน่าประหลาด ท่าทางมั่นคง เย็นชา และอำมหิต
คนผู้นี้คือหลีเป่ย หนึ่งในหัวหน้าผู้คุมกฎ อยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ในช่วงหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษา เขาสังหารผู้ฝึกสอนผู้ทรยศต่อสำนักไปนับไม่ถ้วน ทำให้เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงน่ากลัวในหมู่ผู้คุมกฎ
แม้ว่าทุกคนที่นี่จะทราบอย่างชัดเจนว่า ผู้ฝึกสอนที่ล้มตายด้วยน้ำมือของหลีเป่ย สมควรได้รับการลงโทษเช่นนี้แล้ว เพราะผู้ฝึกสอนเหล่านั้นได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกต่างพิภพ นิกายชั่วร้าย หรือก่ออาชญากรรมที่มิอาจรับได้ แต่ก็ไม่อาจมีความรู้สึกที่ดีต่อคนผู้นี้ได้แม้แต่น้อย
เพราะเพชฌฆาตก็คือเพชฌฆาต และไม่มีพื้นฐานความเข้าใจระหว่างผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการที่แตกต่างกัน!
เมื่อเห็นหลีเป่ยนำผู้คุมกฎมา พร้อมกับจั่วชิวเซิง ทุกคนก็เข้าใจในทันทีว่าทั้งหมดนี้มุ่งเป้าไปที่เซวียนหยวนพัวจวิน!
เมื่อคิดว่าเซวียนหยวนพัวจวินจะตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้คุมกฎ ผู้อาวุโสทุกคนที่นี่ล้วนลอบถอนหายใจและโกรธเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่พอใจจั่วชิวเซิงที่กระทำการอย่างไร้ความปราณี
“ทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนก เรามาที่นี่เพียงเพราะได้รับข่าวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ สมบัตินี้ดำรงอยู่มานับตั้งแต่สมัยบรรพกาล และเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของฝ่ายสงวนโอสถ เราจึงได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบ” หลีเป่ยกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ ทั้งมืดมน และน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง “ตัวข้าทราบดีว่าพวกท่านล้วนไม่ชื่นชอบในตัวพวกเราเหล่าผู้คุมกฎ ดังนั้นโปรดให้ความร่วมมือ และเราจะจากไปให้เร็วที่สุด”
ทุกคนคำรามในลำคอและนิ่งเงียบ
เซวียนหยวนพัวจวินดูเหมือนไม่ได้สังเกตเลยว่า ตัวเขาจ้องหลีเป่ยอย่างไร้ความรู้สึก “ว่ามาเถิด เจ้ามาจับกุมข้าหรือ?”
ท่าทางของหลีเป่ยระมัดระวังมากขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าอาจารย์ของสำนึกศึกษาฝ่ายในอย่างเซวียนหยวนพัวจวิน จึงเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่ได้มาเพื่อจับกุมเจ้า แต่มาเพื่อสอบสวน”
เซวียนหยวนพัวจวินแค่นหัวเราะ เสียงนี้ทำให้ห้องโถงสั่นสะเทือน “มีอะไรต้องตรวจสอบ? สมบัติที่เสียหายเพียงชิ้นเดียว กลับทำให้เหล่าผู้คุมกฎเคลื่อนไหวได้ สำหรับข้าแล้ว ดูเหมือนพวกเจ้าจะว่างมากเกินไป!”
สีหน้าของผู้คุมกฎกลายเป็นเย็นชาโดยพร้อมเพรียงกัน และเผยสายตาไม่เป็นมิตรให้เห็น
หลีเป่ยขมวดคิ้ว และยับยั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของตน “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับหม้อสมบัติ แต่ข้าสนใจโอสถพลิกชะตาสวรรค์ การกลั่นเม็ดยานี้จะต้องเสียสละดวงวิญญาณนับล้านดวงเพื่อเปลี่ยนชะตาของเต๋าแห่งสวรรค์ และเป็นสิ่งที่มีแต่นิกายชั่วช้าเท่านั้นที่ทำ ดังนั้นข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าได้ดวงวิญญาณมาจากที่ใด?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าว ทุกคนในห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบ แท้จริงแล้ว โอสถพลิกชะตาสวรรค์นั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะมันจะต้องสังเวยดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับล้านเป็นส่วนผสมหลัก และหลายคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นปรมาจารย์ชั้นยอดในเต๋าแห่งโอสถของฝ่ายสงวนโอสถ ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
เซวียนหยวนพัวจวินกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะถามเรื่องนี้ แต่ข้าไม่มีหน้าที่ที่จะต้องบอก และถ้าข้าต้องอธิบาย ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าสำนักฟังเท่านั้น!”
“สหายเต๋าพัวจวิน เจ้า…” จั่วชิวเซิงกล่าว
“หุบปาก! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงบังอาจตั้งคำถามต่อข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้ซะ ถ้าเจ้ายังกล้ากล่าวอีก!” ก่อนที่จั่วชิวเซิงจะกล่าวจบ เซวียนหยวนพัวจวินโบกมือเพื่อขัดจังหวะจั่วชิวเซิง เสียงตวาดราวฟ้าร้อง ทำให้จั่วชิวเซิงหน้าซีดเผือด
คนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นและประหลาดใจ เพราะไม่คาดคิดว่าเซวียนหยวนพัวจวินจะทำตัวมีอำนาจเหนือกว่าในเวลาเช่นนี้
“สหายเต๋าเซวียนหยวนจะไม่ให้ความร่วมมือหรือ?” ท่าทางของหลีเป่ยกลายเป็นเฉยเมยมากขึ้นเรื่อย ๆ จิตสังหารพวยพุ่งอยู่ในดวงตาของผู้คุมกฎทุกคน กลิ่นอายน่าเกรงขามปะทุออกมาราง ๆ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าว บรรยากาศภายในห้องโถงก็ตึงเครียดถึงขีดสุด และพร้อมที่จะปะทุเป็นความขัดแย้งได้ทุกเมื่อ มันกดดันทุกคนที่อยู่ตรงนี้จนหายใจแทบไม่ออก
ทุกคนล้วนทราบอย่างชัดเจนว่า หากเซียนหยวนพัวจวินจากไปพร้อมกับพวกเขา สิ่งที่เซียนหยวนพัวจวินต้องประสบจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ตามไป เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ และผลที่ตามมาจะรุนแรงอย่างยิ่ง
มีเพียงมุมปากของจั่วชิวเซิงเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ตอนนี้ให้ข้าดูว่าเจ้าเซวียนหยวนพัวจวิน จะทำอะไรได้!”
เซวียนหยวนพัวจวินหายใจเข้าลึก พลางแสดงสีหน้าโกรธเคือง เขากวาดตามองหลีเป่ยไล่มาจนถึงจั่วชิวเซิงอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ประเสริฐ! ประเสริฐยิ่ง! พวกเจ้าบีบให้ข้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย! ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ ทว่าจู่ ๆ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกห้องโถง “ผู้อาวุโส เรื่องนี้จะยุติหรือไม่ หากข้าสามารถซ่อมแซมหม้อสมบัติได้สำเร็จ”
น้ำเสียงนั้นสงบ เฉยเมย และมั่นคง ซึ่งแฝงไปด้วยพลังที่ทำให้หัวใจของทุกคนสงบลง
ทว่าเพราะสิ่งนี้ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดสลายลงไปหลายส่วน
เมื่อมองไปที่ด้านนอกห้องโถง ปรากฏร่างสูงยืนอยู่ข้างนอก ชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทางไม่แยแส และไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ทุก ๆ การเคลื่อนไหวยังแฝงด้วยกลิ่นอายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งสงบราวกับห้วงอเวจี
ร่างนี้คือเฉินซีนั่นเอง!
เซวียนหยวนพัวจวินและเสิ่นฮ่าวเทียนต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว และไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะปรากฏตัวในเวลานี้
คนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักเฉินซี เมื่อได้ยินสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าว พวกเขาก็เดาตัวตนของเฉินซีได้ราง ๆ ชั่วขณะหนึ่ง ท่าทางของพวกเขาพลันแปลกไปเล็กน้อย “เด็กคนนั้นมาจริง ๆ หรือเขาจะสามารถซ่อมแซมหม้อสมบัติได้จริง ๆ?”
มีเพียงจั่วชิวเซิงเท่านั้นที่หัวเราะเบา ๆ และส่ายศีรษะ ก่อนจะถอนหายใจ “ศิษย์สมัยนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ พวกเขากล้าที่จะเข้ามาในพื้นที่หลักของฝ่ายสงวนโอสถโดยพลการ ช่างขาดการสั่งสอนและไม่คำนึงถึงกฎระเบียบของสำนักศึกษา”
แม้เสียงของจั่วชิวเซิงจะเบา แต่ทุกคนในห้องโถงล้วนได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาต่างขมวดคิ้ว และรู้สึกว่าคำพูดของจั่วชิวเซิงไม่อยู่ภายใต้กิริยาที่ผู้อาวุโสควรมี
เฉินซีย่อมได้ยินเช่นกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจั่วชิวเซิง แสงเย็นเยียบส่องประกายอยู่ภายในส่วนลึกของดวงตา ‘ไอ้เฒ่าเตี้ยอ้วนเหมือนลูกตำลึงคนนี้ น่าจะเป็นจั่วชิวเซิงกระมัง?’
—————————————————-