บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1194 คำเชิญ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1194 คำเชิญ

บทที่ 1194 คำเชิญ

“คนผู้นี้… ไม่มีความภาคภูมิใจและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของคนหนุ่มเลยจริง ๆ” รอยยิ้มบนใบหน้าของถังอิงหายไปทันทีเมื่อเฉินซีกลับเข้าไปในเคหา สีหน้ามืดมนห่างเหิน ในขณะที่ส่ายศีรษะก่อนจะจากไปเช่นกัน

ฟิ่ว!

ภายในที่พำนักท่ามกลางภูเขาอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ร่างของถังอิงทะยานเข้ามา

“ศิษย์พี่ถังอิง!”

“ศิษย์พี่ถังอิง เป็นอย่างไรบ้าง? เฉินซีตกลงหรือไม่”

ภายในที่พำนัก ชายหญิงสองสามคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น เมื่อสังเกตเห็นถังอิงกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เดินเข้ามา และเอ่ยปากสอบถามทันที

“ไม่ เจ้าเด็กนั่นไม่สนใจคำเชิญของข้าแม้แต่นิดเดียว” ถังอิงส่ายศีรษะและหัวเราะเยาะตัวเอง

“อะไรกัน? ศิษย์พี่ถังอิงเป็นถึงศิษย์ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาฝ่ายนอก แต่เจ้าเฉินซีกลับไม่ไว้หน้าท่านเลยสักนิด? เขาช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ศิษย์ที่อาวุโสที่สุด?” รอยยิ้มเยาะเย้ยตนเองปรากฏบนมุมปากของถังอิง เขายิ่งจมลึกมากขึ้น “ความอาวุโสไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรือ สหายร่วมรุ่นของข้าทุกคนที่เข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกัน ตอนนี้ล้วนบรรลุขอบเขตเซียนทองคำแล้ว!”

น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความหดหู่ใจอย่างถึงที่สุด

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็อับจนหนทาง ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร

ถังอิงเป็นศิษย์อาวุโสที่สุดในสำนักศึกษาฝ่ายนอก เขาเข้าสู่สำนักศึกษาฝ่ายนอกเมื่อพันปีก่อน แต่การบ่มเพาะยังคงอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้

ทว่าเขามีไหวพริบและมีทักษะในการติดต่อกับผู้คน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเยาะเย้ย ประกอบกับอยู่ในสำนักศึกษาฝ่ายนอกมาหลายปี จึงมีโอกาสผูกมิตรกับบุคคลน่าเกรงขามมากมาย แม้ว่าตนจะไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ แต่การอยู่ในสำนักศึกษาฝ่ายนอกก็ไม่เลว

“ศิษย์พี่ถังอิง ท่านอย่าได้ดูถูกตัวเอง ถ้าในแง่ของพลังฝีมือแล้ว ในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ นอกจากหนิงเมิ่งและอีกสองสามคน ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงท่านได้” ในขณะเดียวกัน หลิวอี่หมิง ผู้งดงามก็กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ในเมื่อเฉินซีปฏิเสธ เราจะใช้วิธีอื่น”

“การมีพลังฝีมือน่าเกรงขามในขอบเขตเซียนลึกลับจะมีประโยชน์อันใด ข้าแค่ได้รับความนับถือจากระยะเวลาที่ข้าได้บ่มเพาะเท่านั้น” ถังอิงส่ายศีรษะ แต่สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าคำปลอบใจของหลิวอี่หมิง ทำให้เขาสบายใจขึ้น

“ศิษย์พี่หญิงอี่หมิง เราควรทำอย่างไรต่อไป” ชายชุดดำกล่าว

คนอื่น ๆ จ้องมองไปที่หญิงสาวเป็นตาเดียว

หลิวอี่หมิงรู้สึกพอใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ นางสนุกกับการเป็นศูนย์กลางความสนใจ และเพื่อแสดงภูมิปัญญาของตน นางจึงไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวถึงแผนการที่คิดไว้นานแล้ว

“ข้าได้ยินมาว่า เฉินซีมาจากทวีปทักษิณา เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงก็มาที่สำนักศึกษาพร้อมกับเขา นอกจากนี้ ทั้งสามยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เนื่องจากเราไม่สามารถทำให้เฉินซีตอบรับคำเชิญของเราได้ ดังนั้นเราจะเชิญสองคนนั้นมาหารือเกี่ยวกับเต๋าแทน” หลิวอี่หมิงกล่าวช้า ๆ ในขณะที่เผยความมั่นใจออกมา “เมื่อสองคนนั้นพ่ายแพ้และเสียหน้า เราจะแจ้งข่าวนี้แก่เฉินซี ถ้ายังเห็นแก่มิตรภาพที่มี เจ้าเด็กนั่นจะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน”

สิ้นคำ ดวงตาของคนอื่น ๆ ก็สว่างวาบ แผนการนี้ไม่เลวเลย

“แต่ข้าได้ยินมาว่า เฉินซีมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่และตระกูลเซวียนหยวนเช่นกัน ดังนั้นหากเราทำเช่นนี้ แล้วเกิด…” หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างลังเล

คิ้วของหลิวอี่หมิงขมวดเข้าหากัน จากนั้นโบกมือและกล่าวว่า “อย่าได้กังวล เราเพียงแค่ ‘หารือเกี่ยวกับเต๋า’ ในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเท่านั้น มันไม่ใช่การต่อสู้ นี่เป็นกฎของสำนักศึกษาที่รับรู้โดยทั่วกัน ทุกครั้งที่มีศิษย์ใหม่เข้ามาในสำนักศึกษา พวกเขาจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประมือกับศิษย์อาวุโส”

คนอื่น ๆ พยักหน้าตามกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้

“ศิษย์น้องหูไห่และหยวนเจิ้น ข้าคงต้องรบกวนเจ้าทั้งสองแล้ว ช่วยไปเชิญเหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงให้ที จำไว้ว่า อย่าให้ใครรู้ถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะเฉินซี” หลิวอี่หมิงสั่ง

“วางใจได้ศิษย์พี่หญิงอี่หมิง” ชายหนุ่มสองคนก้าวออกมายืนข้างหน้าและรับคำสั่ง ก่อนจะจากไป

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิวอี่หมิงกวาดสายตามองไปยังถังอิงและศิษย์อีกสองคน “ศิษย์พี่ ถ้าเราสามารถเชิญเฉินซีมาได้สำเร็จ ข้าจะมอบหน้าที่จัดการเขาให้พวกท่าน”

ถังอิงพยักหน้า

“ได้เลย ได้เลย” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงในชุดสีเขียวพยักหน้าอย่างสำรวม คนผู้นี้คือ ซิงเยวียนหัง เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับของสำนักศึกษาฝ่ายนอก

“อันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ใหม่ ข้าอยากรู้ว่าเขาคู่ควรกับชื่อเสียงนี้หรือไม่?” ชายหนุ่มอีกคนเลียริมฝีปาก และกล่าวพลางหัวเราะแผ่วเบา คนผู้นี้คือ กงหยางหลงเฟ่ย เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเช่นเดียวกับซิงเยวียนหัง

เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ หลิวอี่หมิงรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จึงเผยรอยยิ้มงดงาม เย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง

ถังอิง ซิงเยวียนหัง และกงหยางหลงเฟ่ย ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่นางเชิญมาเพื่อจัดการกับเฉินซีโดยเฉพาะ สาเหตุที่ต้องมีถึงสามคน เป็นเพราะชื่อเสียงของเฉินซีนั้นยิ่งใหญ่เกินไป หลิวอี่หมิงเกรงว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จึงเชิญผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามคนมาพร้อมกัน

“หากมันยังไม่พอ ข้าคงได้แต่พึ่งแผนฉุกเฉินของตระกูลจั่วชิว… แต่เขาเป็นเพียงศิษย์ใหม่เท่านั้น ดังนั้นแค่ถังอิงและคนอื่น ๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” หลิวอี่หมิงครุ่นคิดสั้น ๆ จากนั้นก็ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับแผนการของตน

โชคดีเฉินซีไม่เหมือนจั่วชิวจวิน และไม่ใช่คนจากกองกำลังชั้นนำ มิฉะนั้นนางคงไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะขวัญกล้าเพียงใดก็ตาม

ฟิ่ว!

กู่เยวหมิงพุ่งผ่านอากาศ ฉีกทะยานผ่านม่านฟ้า บินไปยังที่พำนักของตน

“ให้ตายเถอะ แต้มดารานั้นหายากยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์อสูรเซียนหรือเพาะปลูกสมุนไพรเซียน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างไร รางวัลที่จะได้รับก็น้อยเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีภารกิจแม้แต่ชิ้นเดียวที่ศิษย์ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างข้าจะสามารถออกไปเสาะแสวงหานอกสำนักศึกษาได้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก…” กู่เยวหมิงค่อนข้างหดหู่ และกำลังจะกลับไปที่พำนักของตน ทว่ากลับถูกหยุดกลางคัน

“ศิษย์น้องกู่” ชายหนุ่มร่างกำยำเข้ามาขวางเขาไว้

“ขอทราบนามของศิษย์พี่ได้หรือไม่?” กู่เยวหมิงเอ่ยปากถาม

“ข้าชื่อหูไห่ ข้ามาเพื่อศิษย์น้องโดยเฉพาะ” ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักขณะกล่าว

คิ้วของกู่เยวหมิงเลิกขึ้น “ที่แท้ศิษย์พี่หูไห่นี่เอง ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่า เหตุใดท่านถึงตามหาข้า?”

“ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญเจ้าไปที่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า…” หูไห่ไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า!” กู่เยวหมิงตกตะลึง ดวงตาสว่างวาบทันที

เขาเคยเห็นการแนะนำของฝ่ายบำเพ็ญเต๋าที่อยู่ภายในตราดาราม่วง ทราบดีว่า การประลองและหารือเกี่ยวกับเต๋าของฝ่ายบำเพ็ญเต๋านั้น เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่ศิษย์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตนกับเหล่าศิษย์พี่

ยิ่งไปกว่านั้น มักจะมีการเดิมพันในการประลองเหล่านี้ เช่น แต้มดารา สมบัติ เคล็ดวิชาบ่มเพาะ และอื่น ๆ เป็นต้น

ในทางกลับกัน การได้รับแต้มดารา คือสิ่งที่กู่เยวหมิงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่าฝ่ายบำเพ็ญเต๋า เขาก็รู้สึกสนใจทันที

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องยินดีจะประลองและหารือเรื่องเต๋ากับข้าหรือไม่” หูไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“การประลองกับศิษย์พี่ถือเป็นเกียรติของข้า มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธ” กู่เยวหมิงรู้สึกว่าหูไห่คนนี้ไม่เลวเลย หูไห่มาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อเชิญตน ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินและอิ่มเอมในใจ เพราะเท่าที่ทราบมา ไม่ใช่ว่าใครจะได้รับเชิญให้ไปที่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเพื่อหารือเกี่ยวกับเต๋า

ในทางกลับกัน การกระทำของหูไห่ เห็นได้ชัดว่าเป็นการรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตน ดังนั้น กู่เยวหมิงจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งจึงตอบรับคำเชิญนี้

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” หูไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ความสงสารฉายผ่านส่วนลึกของดวงตา ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“ตกลง” ดวงตาของกู่เยวหมิงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เพราะอัจฉริยะทุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ก่อนจะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาคือผู้ที่ได้อันดับสองของทวีปทักษิณา จึงไม่คิดว่าตนเองนั่นด้อยกว่าใคร

อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีว่า เหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ความภาคภูมิใจและความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับ ยังคงทำให้ทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น แม้จะไม่ได้แต้มดารา แต่แค่ได้ประลองก็เพียงพอแล้ว

ฟิ่ว! ฟิ่ว!

หูไห่และกู่เยวหมิงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาบินเคียงข้างกันมุ่งหน้าไปยังฝ่ายบำเพ็ญเต๋า

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์คล้ายกันก็เกิดขึ้นกับที่พำนักของเหลียงเริ่น

แตกต่างจากกู้เยวหมิงเล็กน้อย ตรงที่เหลียงเริ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แม้ตอบรับคำเแต่ก็ยังมีท่าทีคลางแคลงใจ จึงตั้งใจจะไปเยือนฝ่ายบำเพ็ญเต๋า แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการประลอง และหารือเกี่ยวกับเต๋าหรือไม่

ณ ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า

ที่แห่งนี้แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของสำนักศึกษา ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเป็นสถานที่ซึ่งศิษย์ของสำนักได้มาประลองและหารือเกี่ยวกับเต๋า ซึ่งการต่อสู้มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในสำนัก

ในลานบำเพ็ญเต๋าแห่งหนึ่งในขณะนี้ ผมของกู่เยวหมิงยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว ความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏขึ้นที่ระหว่างคิ้ว

มีบาดแผลฉกรรจ์จำนวนมากบนร่างกายของเขา เลือดสีแดงฉานไหลซิบ เขามีสภาพที่ไม่สู้ดีนัก และน่าสังเวชอย่างยิ่ง

“แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก…” กู่เยวหมิงหอบหายใจอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายอยู่ในความปั่นป่วน ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้าด้วยความเดือดดาล เขาจ้องเขม็งไปที่กลุ่มคนกว่าสิบคนที่อยู่ตรงหน้า

ศิษย์ชายและศิษย์หญิงกว่าสิบคนตรงหน้า พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์อาวุโสของสำนักศึกษาฝ่ายนอก หลายคนแสดงความดูถูกและเหยียดหยาม ขณะมองสภาพของกู่เยวหมิง

“ประเสริฐมาก พวกเจ้าตั้งใจหลอกข้า!” กู่เยวหมิงกัดฟันแน่น ในที่สุดเขาก็เข้าใจอย่างสมบูรณ์ คนเหล่านี้ตั้งใจจัดฉากเพื่อรังแกศิษย์ใหม่อย่างตน!

หูไห่ซึ่งอยู่ภายในกลุ่มส่ายศีรษะ “ศิษย์น้องกู่ อันที่จริงเจ้าไม่สามารถตำหนิพวกเราได้ เพราะในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ศิษย์ใหม่ทุกคนจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมฝ่ายบำเพ็ญเต๋า และศิษย์อาวุโสจะบดขยี้ความภาคภูมิใจของพวกเขา สิ่งนี้ได้กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว”

“แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่มองหาคนอื่น แล้วเลือกข้าล่ะ” คิ้วของกู่เยวหมิงขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

ทันใดนั้น หลิวอี่หมิงก็หัวเราะเบา ๆ “ผิดแล้ว เราไม่ได้แค่เลือกเจ้า แต่เหลียงเริ่นสหายของเจ้าก็ได้รับการอบรมอยู่ที่ลานบำเพ็ญเต๋าอีกแห่งเช่นกัน”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?” กู่เยวหมิงตกตะลึง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่ชอบมาพากล

“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องคุยกับขยะ ศิษย์พี่หญิงอี่หมิง เดิมทีข้าคิดว่าทวีปทักษิณาจะมีผู้แข็งแกร่งอยู่มาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เป็นดั่งที่คิด”

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องกู่เจ้ายังเด็ก และเส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกล อย่าได้ถือโทษโกรธเราเลย เข้าใจหรือไม่? การได้รับแต้มดาราหนึ่งพันแต้มจากเจ้า ถือได้ว่าเป็นบทเรียนที่ดี นี่เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยแต้มดารา ไม่ว่าจะจำนวนเท่าใดก็ตาม เจ้าควรขอบคุณเราด้วยซ้ำ เพราะ ไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจจะชี้แนะเจ้าเช่นนี้”

คนอื่น ๆ ต่างเย้ยหยันด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยการเสียดสี

ใบหน้าของกู่เยวหมิงกลายเป็นซีดเผือด มือกำหมัดแน่น เขากัดฟันจนเสียงแตกดังเล็ดลอดออกมา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความเดือดดาลอย่างถึงที่สุด!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท