ตอนที่ 737 ลงมือ!
เมื่อโจวเจ๋อออกมาก็พบว่าประตูร้านถูกล็อกไปแล้ว ตอนที่นักพรตเฒ่าปรับปรุงร้านก่อนหน้านี้ยังตั้งใจติดตั้งม่านไฟฟ้าโดยเฉพาะ แถมราคาค่อนข้างแพงหูฉี่ ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร แต่ถ้าพูดตามคำพูดของนักพรตเฒ่าละก็ ของพวกนี้ต้องติดตั้งไว้ เผื่ออีกหน่อยร้านหนังสือจะทำเรื่องลับลมคมในอะไรกลางวันแสกๆ
เวลานี้ ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ถนนด้านนอกกำลังจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน
เหล่าสวี่ยังวางค่ายกลอยู่ โต๊ะ เก้าอี้ และโซฟาบริเวณส่วนกลางชั้นหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายไปทั้งหมด มีแค่เก้าอี้ตัวที่เหล่าจางนั่งยังอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เหล่าจางนั่งอยู่ตรงนั้นแน่นิ่งและนั่งหลังตรง
นักพรตเฒ่าอุ้มเจ้าลิงน้อยลงมานั่งอยู่ด้านข้าง เด็กชายก็ลงมาแล้วนั่งอยู่บนโซฟาไกลๆ เจ้าลิงน้อยและเด็กชายดูอ่อนระโหยโรยแรงอยู่บ้างเล็กน้อย
“มา กินสิ” นักพรตเฒ่าปอกถั่วลิสงส่งเข้าปากเจ้าลิง เจ้าลิงอ้าปากเคี้ยวถั่วลิสงช้าๆ มันยังไม่ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอย่างแต่ก่อน แต่ในแววตากลับแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรียวในวันวาน
ทนายอันเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ถือจานเมล็ดแตงโมไว้ในมือ เขานำมาวางด้านหน้านักพรตเฒ่าพร้อมกับแทะเมล็ดแตงโมในมือไปพลางๆ
“ขอบใจ” นักพรตเฒ่ากำเมล็ดแตงโมมาเริ่มแทะด้วยรอยยิ้มแป้น
ความรู้สึกนี้เหมือนกับทีมฉายหนังกลางแปลงเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เด็กน้อยและผู้ใหญ่ทั้งหมู่บ้านพากันมานั่งข้างๆ รอดูเรื่องสนุกๆ
โจวเจ๋อหยิบปากกาจากข้างหู วางบนมือแล้วหมุนเล่น
“เถ้าแก่ นั่งเจ้าค่ะ” อิงอิงยกเข้าอี้เข้ามา
โจวเจ๋อนั่งลง ไม่นานอิงอิงก็ยกโต๊ะน้ำชาตัวเล็กๆ เข้ามาอีกครั้ง บนนั้นวางจานผลไม้ไว้ แล้วยังมีกาแฟอีกหนึ่งแก้ว ส่วนสาวน้อยโลลิถือสมุดการบ้านวิ่งไปทำการบ้านแล้ว ดูเหมือนจะชวนเด็กชายทำไปด้วยกัน ทั้งสองคนนั่งอยู่ไกลพอสมควร แต่พวกเขาดันไม่ใช่คนเป็นด้วยซ้ำ คุณไม่อาจบอกว่าพวกเขากำลังทำลับๆ ล่อๆ ได้
หญิงสาวตัวดำนอนอยู่บนโซฟาตรงมุม กำลังตะแคงข้างมองสถานการณ์ฝั่งนี้ เดดพูลยังคงช่วยโจวเจ๋อเฝ้าฮวาหูเตียวที่ถูกอัดสั่งสอนที่สวนผัก ไม่ได้ออกมาอีก แต่มีเถาวัลย์สองเถายื่นออกมา เถาหนึ่งมีผลไม้กินได้เติบโตบนนั้น ส่วนอีกเถาหนึ่งแค่ดูดกินก็ดูดได้น้ำผลไม้หวานอมเปรี้ยวออกมา
สวี่ชิงหล่างนั่งคุกเข่าบนพื้น เหมือนกับจิตรกรระดับปรมาจารย์วาดภาพสามมิติในลานจัตุรัส
อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี การวาดค่ายกลก็เป็นงานที่ใช้พลังงานจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก วาดจนถึงตอนนี้เขาจำต้องหยุดนั่งบนพื้นพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พอกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าทุกคนกำลังพากันดื่มชากินเมล็ดแตงโมกันอยู่
“…” สวี่ชิงหล่าง
“อะแฮ่ม…” โจวเจ๋อวางแก้วชาลง กระแอมไปทีและพูดว่า “ค่ายกลนี้วาดได้เยี่ยมจริงๆ”
“ใช่ๆๆ วาดได้ประณีตจริงๆ ไปถึงระดับละเอียดลออแล้ว จุ๊ๆ อายุยังน้อยก็สามารถ…”
เหล่าอันกระทุ้งแขนนักพรตเฒ่า ถ้ายังโม้อีกก็ชักจะล้ำเส้นแล้ว
“รินน้ำให้ผมหน่อยได้ไหม” สวี่ชิงหล่างพูด
“เดดพูลรินน้ำหน่อย” โจวเจ๋อตะโกนบอก
เถาวัลย์ทอดยาวมาตรงหน้าสวี่ชิงหล่าง สวี่ชิงหล่างชะงักไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเถาวัลย์จิ้มริมฝีปากของเขา สวี่ชิงหล่างถึงได้อ้าปากดื่มไปหลายอึก
“ดีเลยทีเดียว อีกหน่อยไม่ต้องใช้เครื่องคั้นน้ำผลไม้กันแล้ว” ที่จริงในใจของสวี่ชิงหล่างไม่ได้โมโหแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องค่ายกลไม่ใช่การขนอิฐ คนอื่นอยากจะช่วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ หรืออาจจะยิ่งช่วยยิ่งยุ่งเหยิงกว่าเดิม
ขณะนั้นเขาทำได้เพียงกัดฟันวาดต่อไป ประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เหล่าสวี่ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก และยืนขึ้นเดินตามเส้นทางที่กำหนดออกจากบริเวณค่ายกล ตอนนี้มีเพียงเหล่าจางที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายกล
“เริ่มได้เลย แต่ค่ายกลนี้ผมทำได้แค่ช่วยปลุกให้มันตื่นขึ้นมาทำงานเท่านั้นนะ ยังจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาช่วยให้มันโคจรสักหน่อย ตอนนี้ร่างกายผมอ่อนแอเกินไป พลังปราณไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถอัญเชิญเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาประทับร่างได้”
โจวเจ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งสัญญาณให้อิงอิงหยิบสมุดหยินหยางเล่มนั้นออกมา โบกมือทีเดียวแมวดำตัวนั้นก็กระโดดออกมา หากใช้สมุดหยินหยางร่วมกับปากกาพิฆาต โจวเจ๋อพอจะฝืนควบคุมได้เล็กน้อย ก่อนหน้านี้ก็ปล่อยเหล่าเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นออกมาอย่างนี้เช่นกัน
ร่างของแมวดำปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนและเดินนวยนาดอย่างช้าๆ
“เข้าไปในค่ายกลและช่วยให้มันทำงานที” โจวเจ๋อพูด
แมวดำลังเลครู่หนึ่ง ดูเหมือนกำลังคิดและชั่งน้ำหนัก แต่สุดท้ายแล้วก็กระโจนเข้าไปท่ามกลางค่ายกลตรงหน้าจนรูปร่างกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างช้าๆ ราวกับทั้งร่างกายหลอมรวมเข้ากับค่ายกล
“เหอะ…” สวี่ชิงหล่างหัวเราะอยู่ข้างๆ “คิดไม่ถึงว่าแค่พริบตาเดียวก็ตามหาตำแหน่งประตูสำคัญของค่ายกลผมได้ทันที แถมไม่ต้องให้ผมเปิดและนำทาง มันก็หาตำแหน่งเจอแถมยังเข้าไปเองอีกต่างหาก”
“ดังนั้นความหมายนี้ของนายคือ”
“แมวดำตัวนี้อาจจะรู้เรื่องค่ายกลมากกว่าผมเสียอีก” ตอนที่สวี่ชิงหล่างพูดประโยคนี้ไม่รู้สึกท้อแท้เลยสักนิด พลางหยิบผ้าขนหนูเปียกมาเช็ดซับใบหน้า ดูนิ่งสงบมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่แสดงออกถึงความไม่ยินยอมที่ถูกแมวแซงหน้าอย่างสิ้นเชิง
“ฉันชอบฟังคำพูดพวกนี้ รู้สึกเหมือนเก็บของดีมาได้อีกอย่าง”
“อืม เป็นของดี ปล่อยให้มันจัดการค่ายกลไป ผมไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ เผลอๆ จะเป็นการเพิ่มความวุ่นวายเปล่าๆ”
โจวเจ๋อจำได้ว่า หญิงสาวจากสะพานไน่เหอคนนั้นเป็นคนให้สมุดหยินหยางเขามาตอนอยู่ในโรงเรียนมัธยมผิงเฉา ที่นรกก่อนหน้านี้โจวเจ๋อยังได้เจอกับเธออีกด้วย ตอนนั้นเจ้าโง่นั่งอยู่บนยอดเขา เผชิญหน้ากับกองทัพทหารยมโลก หญิงสาวคนนั้นก็เข้ามาหา แต่โดนน้ำเสียงและคำพูดของมะเร็งชายชายแท้อย่างเจ้าโง่ทำให้สำลักไป
ตอนนี้พอมานึกดู ตอนแรกเธอไม่ได้บอกความลับกับใคร สองคือเธอเป็นเหยื่อ สามยังมอบสมุดหยินหยางเล่มนี้ให้อีก อีกทั้งโจวเจ๋อยังคาดเดาว่าสมุดหยินหยางเล่มนี้ของเขาอาจจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในมือของผู้พิพากษาเหล่านั้นเสียอีก ซึ่งสามารถมองเห็นมันได้จากแมวดำตัวนี้
“ค่ายกลกำลังอุ่นเครื่องแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวแล้ว” สวี่ชิงหล่างเอ่ยเตือน
โจวเจ๋อพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปที่ริมขอบค่ายกล
“เปิดมันเลย” โจวเจ๋อเอ่ยพูด
“เมี้ยว!”
แสงสีแดงเริ่มลอยขึ้นจากพื้นดิน ดูเหมือนว่าจะมีคลื่นอากาศอยู่บ้าง แต่ทว่าไม่มีเอฟเฟ็กต์ภาพเคลื่อนไหวแบบนั้น มีเพียงแสงสว่างวาบเล็กน้อย ไม่ได้เวอร์วังอลังการนัก
“เมี้ยว!”
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย
“เมี้ยว! เมี้ยว!”
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้าต่อ
“เมี้ยวๆๆ!”
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก และหันหน้าไปมองสวี่ชิงหล่าง
เขาฟังไม่เข้าใจ
สวี่ชิงหล่างจึงเดินเข้ามาทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา “ความหมายของมันคือ ถามคุณว่าจะเข้าไปในค่ายกลไหม เพราะตอนที่ผมวางค่ายกลก่อนหน้านี้รู้ว่าค่ายกลของผมไม่ดีพอเอามาจัดการร่างแยกของเซี่ยจื้อ จึงตั้งใจเปิดประตูเกิดไว้ข้างในอีกบาน เป็นการให้โอกาสพลังภายนอกหลั่งไหลเข้ามา”
“ก็ได้ นายยืนอยู่ข้างๆ แล้วช่วยฉันแปลหน่อย”
สวี่ชิงหล่างพยักหน้า
โจวเจ๋อหันหลังกลับไปมองเหล่าจางที่ยัง ‘นั่งท่าทหาร’ อยู่ตรงนั้น ด้านหน้ามีช่องว่างปรากฏในวงแสงสีแดง โจวเจ๋อเดินเข้าไป
“เมี้ยว! เมี้ยว! เมี้ยว…”
“ขั้นตอนแรก ก่อนอื่นให้วิญญาณของมันปรากฏตัว ตัวเหล่าจางเองก็ควบคุมมันได้ยาก คุณช่วยเขาแบ่งแยกออกมาได้” สวี่ชิงหล่างแปล
ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจภาษาแมว แต่เขาเป็นคนวางค่ายกลนี้ แถมเขายังเคยใช้ค่ายกลนี้จับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจปรุโปร่งในแต่ละขั้นตอน
โจวเจ๋อพยักหน้า ค่ายกลเริ่มเปลี่ยนแปลง เงาสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าร่างของเหล่าจาง เงาเริ่มแผ่ขยายออกและค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของกระจกที่มีขนาดสูงเท่าคนสีแดง เพียงแต่บนกระจกเป็นสีแดงเข้มมืดครึ้ม
ไม่นานนัก สีแดงเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ เงาคนร่างหนึ่งก็มองเห็นได้ชัดเจนในกระจก และด้านหลังร่างนั้นมีกระแสน้ำวนสีดำ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังดูดเขาอยู่
“เหล่าโจว ค่ายกลนี้สามารถทำให้จิตสำนึกของวิญญาณที่สองในร่างเป็นอัมพาตในระยะแรกได้ ทำให้เราได้เปรียบในก้าวแรก ตอนนี้ให้ดึงจิตสำนึกของเหล่าจางออกมาก่อน จะใช้มือของคุณไม่ได้ ต้องให้จิตสำนึกของคุณหลอมรวมเข้าไป”
เหล่าจางต่างจากเหล่าสวี่ เซี่ยจื้อก็ต่างจากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ดังนั้นขณะที่ใช้ค่ายกลนี้ สวี่ชิงหล่างจึงสามารถพึ่งพาตนเองได้ในตอนแรกเริ่ม อย่างมากสุดก็ปล่อยให้โจวเจ๋อปกป้องรักษาด้านนอกไว้เพื่อขัดขวางฝีเท้าของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
แต่ทว่า เหล่าจางไม่สามารถทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องมีคนมาช่วย แต่จิตสำนึกของผู้คนเปราะบางมาก อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ ทั้งร้านหนังสือมีเพียงเถ้าแก่โจวคนเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและความสามารถในการยืนอยู่ที่นั่นเพื่อใช้จิตสำนึกของเขาช่วยเหล่าจาง!
เพราะทุกคนต่างก็รู้ดี ลึกลงไปในจิตวิญญาณของโจวเจ๋อ มีภูเขาไท่ซานอยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้จิตสำนึกและจิตวิญญาณของโจวเจ๋อยังได้รับการฝึกฝนจากวิญญาณทหารนับหมื่นในภูเขาคะฉิ่น มันได้ทำให้พื้นฐานอัดแน่นจนไม่สามารถอัดแน่นได้อีกมานานแล้ว
แค่นี้ ยังอยู่บนพื้นฐานที่ไม่นับอิ๋งโกวที่ตื่นขึ้นมาแล้วอีก ต่อให้อิ๋งโกวจะเกียจคร้านอย่างไร ก็ไม่มีทางทนเห็นสุนัขเฝ้าบ้านของตัวเองเปลี่ยนจากซุกซนกลายเป็นหมาบ้าน้ำลายไหลได้ เขาอิ๋งโกวจะสูญเสียคนคนนี้ไปไม่ได้!
ดังนั้นหมายความว่า เถ้าแก่โจวเทียบเท่ากับการสวมชุดเทพทับชุดเทพอีกทีแล้วเพิ่มบัฟหลายชั้น คุณจะล้มเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่เสียเลือด แถมความเสียหายที่สะท้อนกลับมาสามารถฆ่าคุณได้ภายในไม่กี่วินาทีอีกต่างหาก…แกร่งเสียจนทำให้คนสิ้นหวัง
โจวเจ๋อหลับตาช้าๆ
“เมี้ยว!”
ค่ายกลเริ่มดึงดูดจิตสำนึกของโจวเจ๋อ โจวเจ๋อค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองเดินออกจากร่างของตัวเองมาอยู่ตรงหน้ากระจก ทิวทัศน์โดยรอบกลายเป็นชัดเจนยิ่งกว่ามองด้วยตาเปล่าก่อนหน้านี้เสียอีก กระจกใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ เดิมทีเป็นแค่กระจกสูงเท่ากับคน ตอนนี้กลับให้ความรู้สึกสูงเสียดฟ้าไปเสียได้
ตรงหน้าโจวเจ๋อ เหล่าจางยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่หลังกระจก และด้านหลังยังมีคลื่นดำมืดพลุ่งพล่านอีกต่างหาก
“เหล่าจาง คุณได้ยินผมพูดไหม”
“เหล่าจาง ฟื้นสิ”
“จางเยี่ยนเฟิง คุณฟื้นสิ รีบฟื้นขึ้นมา!” เหล่าจางในกระจกยังไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรอย่างสิ้นเชิง
นี่ยังไม่สำเร็จสินะ ต้องให้เหล่าจางยื่นมือออกจากกระจกเอง เขาถึงจะดึงมาได้
“เหล่าจาง ลูกชายของคุณแต่งงานแล้ว ฟื้นเร็ว!”
“เหล่าจาง หลานชายของคุณคลอดแล้ว คุณดูสิ!”
เถ้าแก่โจวเริ่มเรียกไม่หยุด แต่กลับไม่มีผลใดๆ เหมือนเดิม
“เหล่าจาง ภรรยาเก่าคุณกลับมาแล้ว!”
“เหล่าจาง ลูกสาวลับๆ ของคุณมาหาคุณแล้ว!”
“เหล่าจาง…”
โจวเจ๋อตะโกนอยู่หลายครั้ง แต่เหล่าจางในกระจกกลับไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
“เหล่าจาง มีคนร้ายก่อเหตุบนถนน” ทันทีที่พูดออกไป คิ้วของเหล่าจางขมวดมุ่นทันที!
…………………………………………………….