บทที่ 1201 สุดยอดการประลอง
บทที่ 1201 สุดยอดการประลอง
หลิวเจ๋อเฟิงมีรูปร่างหนาและบึกบึน สวมเสื้อคลุมนักพรตปักด้วยลายต้นสน และมีรูปลักษณ์โดดเด่นเป็นสง่า
คนผู้นี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักศึกษาฝ่ายนอก ครองอันดับที่แปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ทันทีที่มาถึงลานบำเพ็ญเต๋า เขาก็ดึงดูดเสียงโห่ร้องของผู้คนได้ทันที
ปัจจุบัน มีศิษย์อาวุโสแปดพันคนในสำนึกศึกษาฝ่ายนอก พวกเขากว่าครึ่งล้วนอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับ นอกนั้นล้วนอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ
มีเพียงห้าร้อยคนเท่านั้นที่สามารถติดอันดับอยู่ในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ แต่หลิวเจ๋อเฟิงไม่เพียงสามารถขึ้นสู่เทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกด้วย!
ร่างเย่อหยิ่งราวกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ย่อมทำให้เกิดเสียงอุทานอย่างชื่นชมมากมาย ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม
“เขาคงไม่ได้มาประลองกับเฉินซีใช่หรือไม่?” มีคนกล่าวติดตลก แต่ไม่มีผู้ใดหัวเราะแม้แต่คนเดียว เพราะทุกคนต่างรับรู้ว่าหลิวเจ๋อเฟิงมาเพื่อเฉินซีอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นโกลาหล
เฉินซีก็สังเกตเห็นหลิวเจ๋อเฟิงเช่นกัน และเคยได้ยินโจวจื่อหลี อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฝ่ายนอกกล่าวถึงหลิวเจ๋อเฟิงในวันแรกที่ตนเข้าสำนักศึกษา
หลิวเจ๋อเฟิงอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางเมื่อเข้าสู่สำนักศึกษาฝ่ายนอก และใช้เวลาราวสี่ร้อยปีเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ หลังจากนั้นใช้เวลาอีกเกือบสามร้อยปีเพื่อติดหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก และได้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่แปด ด้วยเวลาบ่มเพาะในสำนักศึกษาฝ่ายนอกกว่า 916 ปี!
บางทีความสำเร็จของหลิวเจ๋อเฟิงอาจไม่ได้พิเศษนักเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่อันดับของเขาก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด
ตุบ! ตุบ!
ฝีเท้าของหลิวเจ๋อเฟิงไม่เร็วหรือช้า เขาเดินตรงไปยังลานบำเพ็ญเต๋าที่เฉินซียืนอยู่ สีหน้าสงบนิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ใด ๆ แต่ด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปในอากาศ เสียงเซ็งแซ่โดยรอบก็ค่อย ๆ เบาลง ก่อนที่จะเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้น หลิวเจ๋อเฟิงก็หยุดอยู่นอกลานประลอง และกล่าวว่า “ข้าจะประลองกับเจ้า”
เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของคนอื่น ๆ ก็ทำให้เกิดคลื่นความโกลาหลทันที และไม่สามารถรักษาความเงียบไว้ได้อีกต่อไป
“เขา… แท้จริงแล้วมาเพื่อประลองกับเฉินซี!”
“ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! เห็นได้ชัดว่าเขารังแกเด็ก! เป็นถึงเซียนทองคำผู้ได้อันดับแปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ แต่กลับมาท้าประลองกับศิษย์ใหม่ ช่างเป็นคนพาลอย่างแท้จริง!”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น นี่คือเขตเซียนลึกลับของฝ่ายบำเพ็ญเต๋า แม้ว่าศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิงจะเข้าร่วมในการประลอง แต่การบ่มเพาะของเขาก็จะถูกลดขั้นไปยังขอบเขตเซียนลึกลับเป็นการชั่วคราว”
“หรือมาเพื่อแก้แค้นให้หลิวอี่หมิง คู่บำเพ็ญเพียรของเขา? ก่อนหน้านี้เฉินซีสั่งสอนหลิวอี่หมิง และทำให้นางเสียหน้าอย่างมาก ดังนั้นในฐานะคู่บำเพ็ญเพียร หลิวเจ๋อเฟิงจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?”
“ที่เขากระทำก่อนหน้านี้ก็เกินไป ต่อให้การบ่มเพาะจะถูกระงับ แต่ปราณเซียนพิสุทธิ์และเคล็ดวิชาไม่ได้รับผลกระทบด้วย และมันเพียงพอที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับคนใดก็ได้”
หลิวเจ๋อเฟิงเมินเฉยต่อการสนทนา การวิจารณ์ และการดูถูกจากคนรอบข้าง สีหน้าสงบไม่เปลี่ยนแปลง เผยให้เห็นว่าหัวใจของคนผู้นี้มั่นคงและแข็งแกร่งเพียงใด
เขาเพียงแค่มอง และกำลังรอคำตอบของเฉินซีอย่างใจเย็น
คล้ายนอกจากเฉินซีแล้ว ไม่มีอะไรในฟ้าดินที่สามารถกระตุ้นความสนใจของคนผู้นี้ได้
เฉินซีจ้องมองอีกฝ่ายเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวว่า “เดิมพันด้วยอะไร?”
ใช่แล้ว เฉินซีไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่ก็ไม่ต่างจากให้คำตอบไปแล้ว เมื่อมันเข้าไปในหูของผู้คนรอบข้าง นอกจากความรู้สึกประหลาดใจแล้ว ความรู้สึกที่ซับซ้อนก็บังเกิดขึ้นในใจของพวกเขา
พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า ศิษย์ใหม่จะใจเย็นและมีความมั่นใจได้อย่างไร ถึงขนาดไม่หวั่นเกรงแม้ต้องเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมาอย่างยาวนาน
ในตอนแรก เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและหยุดสหายจากการประลองกับหลิวเจ๋อเฟิง แต่เฉินซีดันตอบตกลงก่อนที่จะได้ห้ามปราม ทำให้พวกเขาตกตะลึง ซึ่งนอกจากความรู้สึกกังวลในใจแล้ว ก็อดมีความรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเฉินซีถึงได้รับความสำเร็จในปัจจุบัน?
เพราะกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า!
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่า แม้ว่าเฉินซีจะพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ แต่สหายตนก็ยังคงมีชื่อเสียงในสำนักศึกษา และได้รับความเคารพจากเหล่าศิษย์อย่างมากมาย
“ฮึ่ม! ช่างรนหาที่ตาย!” ภายในฝูงชน มีเพียงจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่หัวเราะในใจอย่างเย็นชาไม่รู้จบ เพราะแน่ชัดแล้วว่า เฉินซีไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย จุดจบเดียวของเรื่องนี้มีแต่จะต้องถูกบดขยี้เท่านั้น!
แม้ว่าความพ่ายแพ้ของเฉินซี จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของเขา แต่ถึงอย่างไรเฉินซีก็พ่ายแพ้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเผชิญกับคำถามของเฉินซี หลิวเจ๋อเฟิงยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม “ข้าจะเดิมพันเท่าที่เจ้าเดิมพัน”
เฉินซีพยักหน้า “ตกลง”
สิ้นคำ ชายหนุ่มก็หันไปหาชายชราผมขาวและกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “หนึ่งล้านแต้มดารา”
“หนึ่งล้านแต้มดารา!”
ลูกตาของทุกคนแทบจะหลุดออกจากเบ้า เพราะนี่ไม่ใช่กะหล่ำปลีที่สามารถพบได้ตามท้องถนนทั่วไป แต่นี่คือแต้มดาราของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า! เขาจะโยนมันทิ้งอย่างไม่ใส่ใจได้อย่างไร?
“คนผู้นี้จะต้องเสียสติอย่างแน่แท้!”
หลายคนคิดเช่นเดียวกัน น่าขบขันยิ่ง! แม้แต่ผู้เป็นเซียนทองคำยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีหรือนานกว่านั้นเพื่อรวบรวมแต้มดาราหนึ่งล้านแต้ม
ทว่า เฉินซีกลับยังวางเดิมพันสูง และเกทับแต้มดาราไปอีกหนึ่งล้านแต้ม ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมรู้อย่างชัดเจนว่าตนไม่มีความหวังที่จะชนะ ถ้าไม่เสียสติ แล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า?
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ประหลาดใจกับความมั่งคั่งของเฉินซี คนผู้นี้ดูไม่เหมือนศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักเลยแม้แต่น้อย และยังมั่งคั่งกว่าศิษย์อาวุโสบางคนด้วยซ้ำ จึงทำให้ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำด้วยความอิจฉา
เมื่อได้ยินตัวเลขที่น่าตกใจ สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงที่ปกติจะสงบนิ่งเสมอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตกลง ข้าจะเดิมพันกับเจ้า”
“การเดิมพันจะไม่สามารถเรียกคืนได้ เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว” ชายชราผมขาวอดไม่ได้ที่จะเตือนพวกเขา
เฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงใช้ความเงียบเพื่อแสดงว่าพวกตนจะไม่เปลี่ยนการเดิมพัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายชราผมขาวจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก และบันทึกการเดิมพันของพวกเขาก่อนจะหยิบจานค่ายกลออกมา และเปิดใช้งานข้อจำกัดรอบ ๆ ลานบำเพ็ญเต๋า
โอม~
คลื่นผันผวนของข้อจำกัดบังเกิดขึ้นและส่งเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้จิตใจและความคิดของทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ภายในลานบำเพ็ญเต๋า เฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงยืนเผชิญหน้ากัน
…
คลื่นผันผวนของข้อจำกัดในลานประลอง ดูเหมือนจะทำให้เกิดแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง
เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า การบ่มเพาะของหลิวเจ๋อเฟิงถูกลดขั้นไปยังขอบเขตเซียนลึกลับ และสูญเสียกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเซียนทองคำไป
แม้การบ่มเพาะจะถูกระงับ แต่ปราณเซียนพิสุทธิ์ พลังชีวิต หรือแม้แต่ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณยังคงรักษาไว้ที่ขอบเขตเซียนทองคำ… เฉินซีตกใจกับสิ่งนี้ แต่เขาก็หาได้เกรงกลัวไม่ ตรงข้าม แววตากลับสว่างวาบ จิตต่อสู้อันน่าตกตะลึงได้สะสมอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างอย่างแรงกล้า
ยามนี้ เฉินซีไม่มีความคิดอื่นใด นอกจากการประลอง!
เขาไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อทะเลาะวิวาท แต่มาเพื่อแสดงความคับแค้นใจจากความอยุติธรรมที่เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงต้องทนทุกข์ทรมาน วันข้างหน้าจะได้ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสหายของตนอีก
ดังนั้นมีแต่ต้องชนะการประลองครั้งนี้!
และต้องชนะอย่างงดงาม!
ชายหนุ่มต้องทำให้ทุกคนรับรู้อย่างชัดเจน และแสดงให้เห็นว่าแม้ตนจะไม่ใช่ศิษย์ของกองกำลังชั้นนำ แต่ก็ไม่ใช่ ‘ลูกพลับสุก’ ที่ใคร ๆ จะสามารถบีบคั้นได้
“หัวใจของเฉินซีเปลี่ยนไป!” โจวจื่อหลีกล่าวทันที
อาจารย์คนอื่น ๆ ตกตะลึง เพราะไม่เข้าใจว่าโจวจื่อหลีหมายถึงสิ่งใด การเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้กระมัง?
ปัง!
ชายหนุ่มเปิดฉากโจมตี ในขณะที่ พลังงาน แก่นแท้ และวิญญาณพลุ่งพล่านราวกับเปลวเพลิง ทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยแสงเรืองรอง เขาสร้างกระบี่ด้วยนิ้ว จากนั้นเคล็ดกระบี่วารีที่บรรลุขั้นสมบูรณ์ก็ฟันลงมา
ปราณกระบี่เป็นเหมือนทะเลคลั่งสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน ราวกับเทพอสูรกำลังกู่ร้อง พลางแสดงอานุภาพทรงพลังอย่างไร้ขอบเขต
ดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิงเป็นประกาย เขาดูเหมือนดาบที่ไร้เทียมทานซึ่งออกจากฝัก และไร้การควบคุมประหนึ่งเทพมารผู้ยิ่งใหญ่
แม้การบ่มเพาะจะถูกระงับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสามารถจะถูกระงับตามไปด้วย เขาสัมผัสได้ว่า ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม ทั้งที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนลึกลับ มันก็ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจ
“ฝ่ามือเมฆาทะยาน!” หลิวเจ๋อเฟิงยื่นมือออกไป นิ้วเรียวลูบไล้อากาศแผ่วเบา ปรากฏแสงส่องประกายระยิบระยับ จากนั้นมันก็ทำลายทุกสิ่งราวกับกำลังกวาดใบไม้แห้ง เข้าสลายเคล็ดกระบี่วารีของอีกฝ่ายออกจนสิ้น!
ดวงตาของเฉินซีสว่างวาบ “พลังฝีมือช่างกล้าแกล่งยิ่งนัก…”
กลิ่นอายของเฉินซีปะทุขึ้นทันที ทวีความน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ชายหนุ่มโคจรการบ่มเพาะของตนอย่างเต็มที่ ซึ่งลึกล้ำกว่าสหายเป็นร้อยเท่า กลิ่นอายอันน่าเกรงขามประหนึ่งจักรพรรดิที่เสด็จลงมายังโลก ด้วยพลานุภาพที่ยับยั้งฟ้าดินได้
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่ฟาดฝ่ามือออกไป ปราณเซียนพิสุทธิ์อันลึกล้ำพุ่งขึ้นสูง มันตรงเข้าบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกิดเสียงคร่ำครวญและคลื่นความผันผวนที่รุนแรงโดยรอบ
ปัง!
พวกเขาทั้งสองถูกขังอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือด หนึ่งในนั้นเป็นเหมือนเทพมารผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้การควบคุมและหยิ่งยโส ส่วนอีกคนเป็นเหมือนจักรพรรดิที่เสด็จลงมาสถิต ณ ดินแดนของตนและปกครองโลก แสงเรืองรองปะทุอย่างต่อเนื่อง มันสั่นคลอนลานบำเพ็ญเต๋าทั้งหมด ทำให้แม้แต่ข้อจำกัดยังสั่นสะเทือนจนแทบพังทลาย
“เปิด!” นอกลานประลอง ชายชราผมขาวรีบควักจานค่ายกลออกมา และเปิดใช้ข้อจำกัดอีกชั้น ทำให้คลื่นความผันผวนภายในลานประลองคงที่ในที่สุด
ผู้คนอุทานด้วยความชื่นชม พวกเขาจ้องไปที่ลานประลองอย่างแน่วแน่ กลัวอย่างยิ่งว่าตนจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป เพราะการต่อสู้ระดับนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
เดิมทีพวกเขาส่วนใหญ่รู้สึกว่าเฉินซีจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าศิษย์ใหม่ผู้นี้จะสามารถต่อสู้อย่างทัดเทียมกับหลิวเจ๋อเฟิง!
ทุก ๆ กระบวนท่าของเฉินซี ล้วนมีลักษณะของปรมาจารย์ชั้นยอด แม้จะดูธรรมดา แต่กลิ่นอายมั่นคงสงบนิ่ง กลับทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน!
หลิวเจ๋อเฟิงรู้สึกกดดันเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ได้ตื่นตระหนก เขาจัดการกับมันและต่อสู้กับเฉินซีต่อด้วยท่าทีนิ่งสงบ
ในฐานะเซียนทองคำที่บ่มเพาะในสำนักศึกษาฝ่ายนอกมาเกือบพันปี แม้การบ่มเพาะจะถูกระงับที่ขอบเขตเซียนลึกลับ แต่เคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ได้ถูกระงับแม้แต่น้อย
ปัง!
เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง เฉินซีหมุนนิ้วที่เป็นเหมือนกระบี่ ขณะที่การโจมตีกลับครอบงำมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ยังอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ ชายหนุ่มมีความมั่นใจอย่างแท้จริง และเชื่อมั่นว่าตนสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ ราวกับจักรพรรดิผู้ไร้เทียมทาน!
นี่คือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ประเภทหนึ่ง ความแน่วแน่และทระนงตราตรึงอยู่ในกระดูก อีกทั้งยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุม และความเข้าใจในความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นการโจมตีนี้จึงทรงพลังอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรุกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ราวกับเต๋าแห่งกระบี่ในฝ่ามือแหลมคมจนถึงจุดที่ไม่อาจหยุดยั้ง เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม ซึ่งกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ
หลิวเจ๋อเฟิงรู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง มันเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริงที่ใครสักคนในขอบเขตเซียนลึกลับจะมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่อหังการเช่นนี้!
—————————————————-