บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1202 ไร้เทียมทาน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1202 ไร้เทียมทาน

บทที่ 1202 ไร้เทียมทาน

ในชั่วพริบตา เฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงต่างก็ต่อสู้กันอย่างเข้มข้นมาไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยกระบวนท่า ทำให้หัวใจและความคิดของผู้คนสั่นคลอน ไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป

นี่เป็นการต่อสู้ของขอบเขตเซียนลึกลับที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง!

ฝ่ายหนึ่งคือศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่งในปีนี้ ชายผู้มีพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งต่อสู้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ทำให้คนอื่นไม่สามารถคาดเดาขีดจำกัดได้

ส่วนอีกฝ่ายคือ เซียนทองคำ ผู้อยู่ในอันดับที่แปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ถึงแม้การบ่มเพาะจะถูกระงับ แต่ปราณเซียนพิสุทธิ์และเคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ได้ถูกระงับตามไปด้วย

จนถึงตอนนี้ การต่อสู้อันรุนแรงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ดังนั้นจะไม่ให้พวกเขาสั่นคลอนได้อย่างไร?

ปัง!

แสงอันเรืองรองสาดส่องไปทั่วลานบำเพ็ญเต๋า กระบี่ของเฉินซีที่สร้างขึ้นด้วยนิ้ว ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ปราณกระบี่เบญจธาตุถูกใช้ออกมาดั่งใจนึก ชายหนุ่มต่อสู้กับหลิวเจ๋อเฟิงอย่างดุเดือด ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความอหังการและกดขี่

ในขอบเขตเซียนลึกลับ เฉินซีเป็นผู้ที่ไม่อาจหยุดยั้ง เขาโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมีกลิ่นอายที่ไม่มีใครเทียบได้

อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ตรงหน้าไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่แท้จริง แต่เป็นเซียนทองคำซึ่งการบ่มเพาะถูกระงับไปสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ทั้งยังเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่เซียนทองคำ ดังนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจึงสามารถรับมือกับทุกกระบวนท่า และไม่ได้ตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบแม้แต่น้อย

หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งสองคนไม่ใช่เซียนลึกลับธรรมดาทั่วไป ดังนั้นการต่อสู้นี้จึงถือว่าไร้เทียมทานอย่างยิ่ง และหาดูได้ยาก แม้แต่ในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตื่นตาตื่นใจกับฉากนี้ ทั้งจิตใจและหัวใจตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบลืมหายใจ

“ในขอบเขตการบ่มเพาะนี้ เฉินซีครอบครองพลังที่ไร้ผู้ต้านแล้ว” โจวจื่อหลีแสดงความคิดเห็นจากระยะไกล

“น่าเสียดาย หากหลิวเจ๋อเฟิงแสดงพลังที่แท้จริง เฉินซีคงไม่สามารถหลีกหนีจากความพ่ายแพ้ได้” สีหน้าของจั่วชิวฮงมืดมนเล็กน้อยขณะกล่าว

โจวจื่อหลียิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก

“การเอาชนะศิษย์ขอบเขตเซียนลึกลับมันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ไยถึงต้องเสียเวลาและเรี่ยวแรงไปกับมันด้วย?”

ในอีกด้านหนึ่ง จั่วชิวจวิน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย เพราะเฉินซีกำลังต่อสู้กับหลิวเจ๋อเฟิงอย่างทัดเทียมกัน อีกทั้งหลิวเจ๋อเฟิงก็ไม่ได้บดขยี้เฉินซีในทันที สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก

เคร้ง! เคร้ง!

ในเวลาเดียวกัน เฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงซึ่งอยู่ในการต่อสู้ ได้ชักสมบัติอมตะของตนออกมา

หลิวเจ๋อเฟิงถือกระบี่เซียนสีขาวดูเหมือนหิมะและดูเหมือนเงิน มันยาวกว่าสี่ฉื่อ กว้างสองชุ่น ใสกระจ่างราวผลึก ทันทีที่มันออกจากฝัก มันก็เหมือนพระอาทิตย์ที่แผดเผากลางท้องนภาและส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

“กระบี่เต๋าหยางสุดขั้ว!”

“พี่ชายอาวุโสหลิวเจ๋อเฟิง จะใช้กำลังเต็มที่แล้วหรือ?”

“ตามคำล่ำลือ กระบี่เต๋าหยางสุดขั้วและกระบี่เต๋าหยินสุดขั้ว เป็นคู่สมบัติอมตะโบราณที่สะท้อนกลับทั้งหยินและหยาง เมื่อถูกใช้งาน พวกมันสามารถพึ่งพาพลังแก่นแท้ของดารามหาหยางและดารามหาหยินได้”

จิตวิญญาณของศิษย์อาวุโสทุกคนในสำนักศึกษาฝ่ายนอกพลุ่งพล่าน ด้วยความตื่นเต้น

“นั่นมัน…”

“ประกายสุกใสซึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับปราณกระบี่ที่พร่างพรายราวกับดวงดาว มันอาจจะอยู่ในระดับจักรวาลด้วยเช่นกัน!”

“นี่คือสมบัติอมตะของศิษย์พี่เฉินซีหรือ?”

เมื่อเหล่าศิษย์ใหม่เห็นกระบี่เซียนในมือของเฉินซีอย่างชัดเจน มันแผ่กลิ่นอายโบราณและดูธรรมดา เหมือนกระบี่เซียนเล่มอื่น ๆ

แต่เมื่ออยู่ในมือของเฉินซี ตัวกระบี่ก็แปรเปลี่ยนเป็นผืนนภากวางใหญ่ เปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมาราวกับผืนฟ้าพรายดวงดาราพร่างพราว

ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่เต๋าหยางสุดขั้วแม้แต่น้อย

“โอ้?”

“กระบี่ตะขอดารา!”

“นี่ไม่ใช่… กระบี่ของหัวเจี้ยนคงหรอกหรือ?”

มีอาจารย์อาวุโสสองสามคนในหมู่ผู้คนจำกระบี่ในมือเฉินซีได้ รูม่านตาของพวกเขาหดลง และรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

“เมื่อหลายปีก่อน เจ้าสำนักได้มอบกระบี่ตะขอดาราให้กับหัวเจี้ยนคง เมื่อการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนกระบี่ ทว่าตอนนี้หัวเจี้ยนคงได้มอบกระบี่ให้กับเฉินซีแล้ว…” ในระยะไกล หัวใจของโจวจื่อหลีก็สั่นไหวเช่นกัน ในขณะที่ดวงตาหรี่ลง รู้สึกได้ราง ๆ ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเฉินซีโดยที่ตนไม่รู้

เขาทราบอย่างชัดเจนว่า กระบี่ตะขอดารา ไม่ได้เป็นเพียงสมบัติที่มีพลังลึกลับ มันยังมีความหมายที่ไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นกระบี่ที่เจ้าสำนักมอบให้!

จั่วชิวฮงสังเกตเห็นว่า ท่าทางของโจวจื่อหลีแปลกไปเล็กน้อย และได้แต่รู้สึกงุนงงอยู่ในใจ เพราะไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยความพิเศษใด ๆ จากกระบี่ในมือเฉินซี

เนื่องจากหัวเจี้ยนคงได้เฝ้าติดตามอยู่เคียงข้างเจ้าสำนักมาตลอดหลายปี อาจถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่เข้าใจได้ยากในสำนักศึกษา มีเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เห็นคนผู้นี้ต่อสู้ ดังนั้น จึงมีไม่กี่คนที่จดจำกระบี่ตะขอดาราได้

นอกจากนี้ ด้วยสถานะและความอาวุโสของจั่วชิวฮง เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องนี้

ปัง! ปัง! ปัง!

ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ เฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงก็ปะทะกันอีกครั้ง

ตั้งแต่เข้าสู่ลานประลอง ในที่สุด พวกเขาทั้งสองก็ใช้สมบัติอมตะ ทำให้การต่อสู้รุนแรงยิ่งขึ้น ทุกพื้นที่ที่สายตามองเห็นมีแต่ปราณกระบี่กำลังทะลุทะลวงผ่านท้องฟ้า

“เปลวเพลิงอัสดง!” หลิวเจ๋อเฟิงตะโกนเสียงดัง แล้วระเบิดพลังที่แท้จริง กระบี่เต๋าหยางสุดขั้วร่ายรำบนผืนนภา ราวกับพระอาทิตย์ที่แผดเผา แต่แสงที่เปล่งออกมากลับเหมือนโลหิตสีแดงฉาน สว่างไสวประหนึ่งพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เผยให้เห็นถึงพลังงานเศร้าโศก อาฆาต และทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบงัน

“เคล็ดกระบี่พฤกษา!” เฉินซีไม่หวั่นเกรง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน กระบี่ตะขอดาราลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นอายแผ่ซ่านพลุ่งพล่าน เปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิตอันอุดมสมบูรณ์อย่างไร้ขอบเขต ปราณกระบี่ทุกสายก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลา

นี่คือกฎแห่งพฤกษาที่มีพลังชีวิตอย่างไร้ขอบเขต และอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา!

ครืน!

การโจมตีทั้งสองสายปะทะกัน เดิมทีเป็นไฟที่เผาไม้ แต่ตอนนี้กลับเหมือนไฟป่าจะไม่สามารถทำอะไรได้ แมกไม้เติบโตพร้อมกับสายลมของฤดูใบไม้ผลิ เคล็ดกระบี่พฤกษาของเฉินซีนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง มันขดตัวและโอบล้อมรอบดวงอาทิตย์สีแดงเลือดที่ปกคลุมท้องฟ้า จนดวงอาทิตย์แตกสลายเป็นผุยผง!

ประกายแสงดุร้ายสว่างวาบอยู่ในดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิง เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อการต่อสู้ยิ่งดำเนินต่อไป อีกฝ่ายกลับยิ่งแข็งแกร่งและอหังการมากขึ้น ความโกรธในใจยิ่งทบทวี

เดิมที หากเขาโคจรตราศักดิ์สิทธิแห่งหยางอัคคี ท่ามกลางกฎของเซียนทองคำ อานุภาพของมันอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ตอนนี้การบ่มเพาะถูกระงับ จึงใช้ได้แค่กฎแห่งหยางเท่านั้น ความรู้สึกเสียดายเล็กน้อยปรากฏขึ้นในใจ

แต่เมื่อเทียบกับเฉินซี ปราณเซียนพิสุทธิ์และเคล็ดวิชาต่อสู้จากขอบเขตเซียนทองคำก็ได้เปรียบอย่างมากแล้ว …

ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!

หลิวเจ๋อเฟิงโกรธยิ่งขึ้น เขาฟันกระบี่เต๋าหยางสุดขั้วซ้ำ ๆ ทำให้ปราณกระบี่พุ่งออกไปทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ทุ่มพลังออกไปจนหมดสิ้น

ปราณกระบี่เหล่านี้ บางอันเหมือนแสงของรุ่งอรุณ บางอันเหมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน และบางอันเหมือนพระอาทิตย์ตกยามพลบค่ำเหนือทะเลทราย…

พวกมันทั้งหมดต่างเผยความลึกล้ำของกฎแห่งหยาง เปลี่ยนลานบำเพ็ญเต๋าให้กลายเป็นเตาหลอมที่วุ่นวาย

น่าเสียดายที่การโจมตีเหล่านี้ถูกซัดกระจาย ด้วยเคล็ดกระบี่วารี เคล็ดกระบี่พฤกษา เคล็ดกระบี่อัคคี เคล็ดกระบี่พสุธา และเคล็ดกระบี่ทอง!

เหล่าผู้ชมต่างตกใจกับการโจมตีนี้อย่างยิ่ง

การต่อสู้อันดุเดือดดำเนินมาอย่างยาวนาน ในที่สุด สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงก็จริงจังมากขึ้น คลื่นอารมณ์อาฆาตปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว ในหัวใจก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

เคร้ง!

พริบตาต่อมา กระบี่อีกเล่มก็ปรากฏขึ้นในมือของหลิวเจ๋อเฟิง มันเป็นกระบี่สีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามราตรี และปกคลุมด้วยไอเย็นจัด

กระบี่เต๋าหยินสุดขั้ว!

ทันทีที่กระบี่นี้ปรากฏขึ้น มันก็สร้างการเชื่อมโยงกับกระบี่เต๋าหยางสุดขั้ว คล้ายพวกมันจะสะท้อนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดเสียงสะท้อนของทั้งหยางและหยิน

ทันใดนั้น กลิ่นอายที่น่าเกรงขามของหลิวเจ๋อเฟิงก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เขาเป็นเหมือนเทพเจ้าถือหยินไว้ในมือซ้าย ถือหยางไว้ในมือขวา สีดำและสีขาวต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน โดยมีแสงศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันขดอยู่รอบกาย

“เขาบีบบังคับให้ศิษย์พี่หลิวต้องใช้กระบี่เต๋าหยินสุดขั้วและกระบี่เต๋าหยางสุดขั้ว!”

ศิษย์อาวุโสทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนรู้สึกสะเทือนใจและหวาดกลัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่ เฉินซีจะแสดงฝีมือได้น่าเกรงขามและแพรวพราวจริง ๆ

เดิมทีพวกเขาคิดว่าอย่างไร คนผู้นี้ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหลิวเจ๋อเฟิง ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่กลับสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ และต่อสู้กับหลิวเจ๋อเฟิงได้อย่างทัดเทียม

แต่ก็คงจบลงเท่านี้ พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อหลิวเจ๋อเฟิงใช้กระบี่เต๋าหยางสุดขั้ว เฉินซีจะไม่สามารถต้านทานพลังได้อย่างแน่นอน ทว่าคนผู้นี้กลับยังสามารถยืนหยัดได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกครั้ง

ทั้งหมดนี้ได้เกินความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ไปมาก มันเหมือนกับมดที่เขย่าต้นไม้มหึมา แต่ในที่สุด ต้นไม้ก็สั่นไหว หรือตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามหยุดเกวียน แต่ไม่ถูกทับจนตาย…

เมื่อมีเหตุไม่คาดฝัน ก็ย่อมมีความประหลาดใจ เมื่อมีความประหลาดใจ ก็ย่อมมีความฉงนสนเท่ห์ และที่ใดมีความฉงนสนเท่ห์ ที่นั่นย่อมมีความตกใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่รู้ และความไม่รู้คือที่มาของความกลัว

ทว่าตอนนี้ไม่มีใครหวาดกลัว แต่ทุกคนต่างประหลาดใจกับการแสดงฝีมือของศิษย์ใหม่ผู้นี้ พวกเขาไม่สามารถประเมินหรือหยั่งพลังที่แท้จริงของชายผู้นี้ได้ ประหนึ่งตัวประหลาดปรากฎตัว

“ข้ารู้ว่าเฉินซีจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ที่เขาไม่มั่นใจ…”

“ชนะ! ชนะ! ชนะ!”

“ศิษย์พี่เฉินซี หากท่านชนะ ข้าจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับท่าน!”

เหล่าศิษย์ใหม่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด พวกเขาโห่ร้องให้กำลังใจเฉินซีอย่างตื่นเต้น ดวงตางดงามของหญิงสาวบางคนถึงกับเปล่งประกาย ขณะแสดงความรักต่อเฉินซีอย่างกล้าหาญ

หญิงสาวจากเผ่าปักษาแยกเมฆาของทวีปแดนเถื่อนประจิมนั้นกล้าหาญยิ่งกว่า นางตะโกนด้วยเสียงแหลมเสียดหู “พวกเจ้าอย่าต่อสู้แย่งชิงเขากับข้าจะดีกว่า ข้าจะมีลูกกับศิษย์พี่เฉินซี!”

มันทำให้เกิดความแตกตื่นและดึงดูดสายตาแปลก ๆ มากมาย แต่หญิงสาวก็ยกศีรษะและเชิดหน้าอกของนางขึ้น ท่าทางภาคภูมิไม่สนใจเสียงรอบข้างแม้แต่น้อย

เฉินซีกลับสงบนิ่งเช่นเคย ในขณะที่สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

“กางเขนหยินหยาง!” กระบี่สีดำและสีขาวของหลิวเจ๋อเฟิงไขว้กัน เพื่อฉีกกากบาทในความว่างเปล่า ครึ่งหนึ่งเป็นหยิน อีกครึ่งหนึ่งเป็นหยาง มันเผยให้เห็นความเย็นเยียบของพลังแห่งการสังหารที่ทำให้วิญญาณหวาดกลัว

การซ้อนกฎ!

หลิวเจ๋อเฟิงได้บรรลุความสมบูรณ์ในกฎสองประเภทแล้ว แต่น่าเสียดายที่ความสามารถของเขาในเต๋าแห่งกระบี่นั้นด้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับยันต์เทวะอนันต์… เฉินซีคิดในใจ พริบตาต่อมา สายฟ้าเย็นเยียบสองสายก็พวยพุ่งออกมาจากดวงตา ทั้งร่างสว่างไสวด้วยแสงเรือรอง ความเข้าใจต่าง ๆ ในเต๋าแห่งกระบี่ก็เพิ่มขึ้นภายในชั่วพริบตานี้

บางส่วนมาจากพลังของสามจุดที่หัวเจี้ยนคงโจมตีตน

บางส่วนมาจากความลึกล้ำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดกระบี่แห่งเบญจธาตุจากยันต์เทวะอนันต์

มีหลายสิ่งที่เฉินซีเรียนรู้จากเต๋าแห่งกระบี่ และใจแห่งกระบี่

ความเข้าใจทั้งหมดเหล่านี้ได้ฉายวาบขึ้นในใจ

พริบตาต่อมา เขาแทงกระบี่เซียนตะขอดาราออกไปเบา ๆ

ฟิ่ว!

เมื่อการโจมตีนี้เกิดขึ้น น้ำและไฟก็หลอมรวมกัน แสงระยิบระยับของไฟและน้ำร่ายรำผสานกัน กลั่นตัวจนถึงขีดจำกัด ปกคลุมไปด้วยแสงงดงามและพร่างพราว เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนลำแสงที่สาดส่องมาจากนอกพิภพ

ปัง!

การโจมตีด้วยกระบี่นี้ เสมือนลูกศรที่ยิงอย่างแม่นยำโดยปรมาจารย์ในเต๋าแห่งคันศร มันเจาะไปที่ศูนย์กลางของไม้กางเขนหยินหยางด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งลูกธนูพุ่งเข้าเป้า

คลื่นเสียงกัมปนาทปะทุขึ้น ปราณกระบี่หยินและหยางพังทลาย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกระแสอากาศพัดโหมไปรอบ ๆ ในขณะที่การโจมตีของเฉินซีกลับไม่สูญเสียแรงเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งตรงไปใจกลางหน้าผากของหลิวเจ๋อเฟิง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท