บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1208 ดินแดนอมตะสวรรค์มายา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1208 ดินแดนอมตะสวรรค์มายา

บทที่ 1208 ดินแดนอมตะสวรรค์มายา

หอคัมภีร์เงียบสงัด

ศิษย์ทุกคนกำลังอ่านตำราคนละเล่มอย่างเงียบ ๆ และเฉินซีก็ไม่มีข้อยกเว้น

ปัจจุบันเขาติดอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และขาดความเข้าใจขั้นสุดท้าย ก่อนจะค้นพบเส้นทางที่นำไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้

อย่างไรก็ตาม การทะลวงขอบเขตก็มีความเสี่ยงต้องแบกรับไว้เช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใครก็ตามทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ แต่ถ้าเส้นทางที่เลือกมีข้อบกพร่อง เมื่อนั้น คนผู้นั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบาก และแม้คนผู้นั้นจะสามารถรอดชีวิตได้ ก็ไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปบนวิถีสู่ความเป็นเซียนได้อีก

ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นศิษย์ของมหาอำนาจที่หยิ่งยโส และทะนงถึงขีดสุด พวกเขาก็ยังต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องรับมือกับด่านนี้ ไม่มีใครกล้าประมาทแม้แต่น้อย

โดยปกติแล้ว เฉินซีจะไม่ประมาท แต่เขาจะไม่ยับยั้งดวงจิตแห่งเต๋าของตน เนื่องจากความกังวล

ขณะนี้ ชายหนุ่มไม่มีเวลาพิจารณาเรื่องการทะลวงขอบเขตเลยจริง ๆ เพราะทั้งจิตใจ และหัวใจถูกความลึกล้ำในตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ครองงำจนหมดสิ้น เขาหมกมุ่นอยู่กับมัน และไม่สามารถหลุดพ้นจากมันได้

เป็นเพราะมันเขียนโดยฝูซี และมีเนื้อหาที่เข้าใจง่ายยิ่ง หากแต่สิ่งนี้ไม่มีกลวิธีใด ๆ ที่จะทะลวงขอบเขตเขียนไว้ ทว่ามันกลับทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจต่อความรู้ที่สำคัญที่สุดของขอบเขตเซียนทองคำ

ความลึกซึ้งในนั้นไม่ได้ถือว่าเข้าใจยากหรือคลุมเครือ แต่มันกว้างใหญ่และลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในชั่วข้ามคืน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เฉินซีไม่ได้ตระหนักถึงกาลเวลาที่ผ่านเลย

หนึ่งเดือนต่อมา

ศิษย์บางคนออกไป ศิษย์คนใหม่เข้ามา มีเพียงเฉินซีนั่งขัดสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อน ชายหนุ่มเหมือนรูปปั้นดินเผาที่นิ่งสนิท

“เขาเข้าใจเต๋าหรือไม่”

“อาจจะ หรืออาจจะไม่”

“โอ้ ข้าคิดว่าเขาอาจจะรับภารกิจในตราดารม่วง เขาทำภารกิจหลายอย่างในเต๋าแห่งยันต์อักขระสำเร็จเมื่อเร็ว ๆ นี้”

“น่าแปลกนัก หรือกำลังทำภารกิจที่หอคัมภีร์? เฉินซีผู้นี้มักไม่ทำสิ่งต่าง ๆ เฉกเช่นคนปกติทั่วไป”

“บางทีเขาอาจกดดันตนเองมากเกินไป และต้องการเข้าร่วมในการสอบสำนักฝ่ายในที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้รับแต้มดารา จึงต้องทำเช่นนี้”

“เฮ้อ ถ้าเฉินซีเป็นศิษย์จากกองกำลังชั้นนำ เขาคงแซงหน้าเจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ไปนานแล้ว”

“ใช่แล้ว เหล่าศิษย์ของกองกำลังชั้นนำไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาแต้มดารา และสามารถมุ่งความสนใจไปที่การบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ แล้วเฉินซีจะเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร? จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าจี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลีได้มุ่งหน้าไปยังศิลาจารึกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา ทั้งคู่ได้ไต่อันดับขึ้นสู่ห้าสิบอันดับแรกแล้ว”

“ใช่แล้ว ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน จงหลีสวิน เจี้ยงฉางไฮ่ อ๋าวอู๋หมิงและคนอื่น ๆ กำลังขัดเกลาตนเองอยู่ที่แดนเซียนสวรรค์มายาเช่นกัน และจะทดสอบตัวเองที่ศิลาจารึกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ทันทีที่เสร็จสิ้น”

“เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนการสอบของสำนักฝ่ายในจะเริ่มขึ้น แต่เฉินซียังไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ ช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก!”

“หนึ่งปีที่แล้ว เขายังเป็นเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ต่อให้ตั้งใจพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำในอีกหนึ่งปีหลังจากนี้ แม้แต่ข้ารู้สึกว่าไม่มีความหวังเลย”

“เราได้แต่รอดูเท่านั้น”

เมื่อใดที่เห็นเฉินซี ทุกคนในศาลาจะสนทนากันเกี่ยวกับเขา และเนื้อหาของการสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการสอบของฝ่ายในที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้

พร้อมกับการสอบของสำนักฝ่ายในที่จัดขึ้นทุก ๆ สิบปี บรรยากาศในสำนักฝ่ายนอกก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น มีศิษย์ที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาแสวงเต๋าแทบจะทุกขณะ เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของการจัดอันดับในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์

นอกจากนี้ยังมีศิษย์จำนวนมากเร่งการบ่มเพาะของตน และขัดเกลาความแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาแลกเปลี่ยนแต้มดาราเป็นสมบัติล้ำค่า หรือโอสถทิพย์ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังต่อสู้… อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ เพื่อเตรียมความพร้อมจะเข้าร่วมในการสอบของสำนักฝ่ายใน

เพราะเป้าหมายเดียวที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จเพื่อเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน คือการเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์!

น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้ชื่อของเฉินซียังไม่ปรากฏในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ นับประสาอะไรกับการเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก เหตุผลนั้นธรรมดายิ่ง เป็นเพราะเขายังไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้

สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์มากมายจากสำนักฝ่ายนอก บางคนกังวล บางคนยังคงเฉยเมย และบางคนแน่ใจว่าเฉินซีจะไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝ่ายในในครั้งนี้ได้

คนผู้นี้เพิ่งอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงแทบไม่มีความหวังจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำก่อนการสอบของสำนักฝ่ายใน ที่กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเลย

ในเดือนที่สองหลังจากเข้าไปยังชั้นที่สามของหอคัมภีร์ ในที่สุดเฉินซีที่ดูเหมือนกับรูปปั้นก็ลืมตาขึ้น ดวงตาดูกว้างใหญ่และลุ่มลึก ขณะจ้องมองความว่างเปล่า ราวกับรู้แจ้ง

ชายหนุ่มวางตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ และค้นหาตำรามุมมองล้ำลึกเกี่ยวกับการทะลวงขอบเขต ซึ่งเขียนโดยอวิ๋นฝูเซิง และตำราย้อนรอยเต๋าสู่มวลสวรรค์ที่เจ้าสำนักทิ้งไว้เบื้องหลัง

ในเดือนที่สาม เฉินซีเสร็จสิ้นในการทำความเข้าใจต่อตำราทั้งสองเล่ม ชายหนุ่มไตร่ตรองอย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลาสามวันสามคืน ก่อนจะเริ่มอ่านตำราอื่น ๆ บนชั้นสาม

“บันทึกผู้แสวงหาเต๋าสูงสุด”

“ตำราสัจธรรมทั้งเจ็ดประการ”

“ตำราภาพประกอบเทพสวรรค์”

การอ่านในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการทำความเข้าใจในครั้งก่อน ความเร็วในการอ่านของเฉินซีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความรวดเร็วอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มอ่านตำราจบทุก ๆ หนึ่งก้านธูป

ฉากนี้ทำให้ศิษย์หลายคนประหลาดใจ

เป็นที่ทราบกันทั่วว่า บรรดาตำราทั้งหมดที่ถูกรวบรวมเก็บรักษาเอาไว้ภายในหอคัมภีร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่าบนโลก และมีความล้ำลึกไร้ขอบเขต ศิษย์ธรรมดาทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน หรือสามถึงห้าปี ในการทำความเข้าใจตำราเล่มเดียวอย่างถ่องแท้

แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมีความสามารถในการทำความเข้าใจไม่ธรรมดา ก็ไม่อาจเข้าใจตำราได้อย่างถ่องแท้ในทุก ๆ หนึ่งก้านธูป

ด้วยเหตุนี้ ท่าทางของเฉินซีจึงยิ่งโดดเด่น และทำให้ผู้อื่นงงงวงอย่างยิ่ง

“สหายเฉินซีคนนี้ คงไม่ถูกปีศาจครอบงำใช่หรือไม่?”

“เฮ้อ เขาคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน แต่ยังไม่สามารถทะลวงขอบเขตเซียนทองคำได้ ทั้งที่ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว บางทีดวงจิตแห่งเต๋าของเขาอาจเสียสมดุล”

“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะเป็นอันตรายต่อการบ่มเพาะอย่างมาก เราควรเตือนเขาหรือไม่”

“ห๊ะ เจ้าน่ะหรือ? เขาเป็นศิษย์ผู้ได้อันดับหนึ่ง และมีฝีมือที่หาตัวจับยากในขอบเขตเซียนลึกลับ เจ้ามีคุณสมบัติอันใดไปตักเตือนเขา?”

เฉินซียังคงไม่แยแสต่อการสนทนาเหล่านี้ และยังคงอ่านตำราหลายเล่มที่เขียนโดยผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตด้วยความเร็วคงที่

การกระทำเหล่านี้ดำเนินต่อไปจนเข้าเดือนที่สี่

ในวันนี้ แม้แต่ชายชราชุดดำที่ดูแลหอคัมภีร์ก็ยังตื่นตระหนก และเข้ามาที่ชั้นสามอย่างเร่งรีบ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นเฉินซีกำลังพลิกตำราอย่างรวดเร็ว

“จิตใจและความคิดไม่หยุดนิ่ง พลังชีวิตโคจรอย่างไม่มีสิ้นสุด เขากำลังทำความเข้าใจต่อเต๋า หรือถูกครอบงำโดยปีศาจภายในใจ?” ในฐานะอาจารย์ของฝ่ายสงวนคัมภีร์ ชายชราเคยเห็นศิษย์หลายคนทำความเข้าใจต่อเต๋าในขณะที่ดูแลหอคัมภีร์ แต่ไม่เคยเห็นใครมีสภาพเช่นนี้มาก่อน

แต่ถ้าบอกว่าเฉินซีถูกปีศาจในใจครอบงำ มันก็มีหลายส่วนที่ไม่ใช่

เพราะเหตุนี้ ทำให้ชายชราขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น และเมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของเฉินซี เขาจึงตัดสินใจปลุกเด็กคนนี้ให้ตื่นขึ้น และสอบถามอย่างเป็นกังวล

ทว่าเมื่อเข้าใกล้เฉินซี ชายชรากลับถูกภูติคัมภีร์เปิ่นจี่หยุดไว้ทันใด “หรือตัวเจ้าจะลืมอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว”

มันเป็นเพียงประโยคเดียว แต่มันทำให้ชายชราหยุดทันที ในขณะที่เผยสีหน้าตกใจ จากนั้นฉากของอวิ๋นฝูเซิงที่อ่านตำราเมื่อหลายปีก่อนก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด

เช่นเดียวกับเฉินซี ตำราถูกอ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ในสถานะของการรู้แจ้งถึงเต๋าหรือถูกครอบงำโดยปีศาจภายในใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มผู้นี้กำลังทำความเข้าใจ และพยายามเข้าใจต่อความลึกล้ำของตำราอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำความเข้าใจและการอนุมานของพวกเขาได้บรรลุถึงระดับที่เหลือเชื่อ อีกทั้งยังน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ดังนั้น สภาวะที่พวกเขาเป็นอยู่ จึงดูแตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง

“อวิ๋นฝูเซิง? หากอวิ๋นฝูเซิงอีกคนสามารถปรากฏตัวในสำนักได้ ตระกูลจั่วชิวย่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน…” ชายชราครุ่นคิด ทำให้ความเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะส่ายหน้า แล้วจากไป

“ความสามารถในการหยั่งรู้เช่นนี้คืออันใดกัน? เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เฉินซีจะกลายเป็นอวิ๋นฝูเซิงคนที่สอง เพราะแม้แต่อวิ๋นฝูเซิงก็ไม่เป็นเช่นนั้น…” เปิ่นจี่ลอบถอนหายใจ และจ้องมองเฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนจะหายตัวไปในอากาศ

ในเดือนที่ห้านับตั้งแต่เข้ามาในหอคัมภีร์ ในที่สุดเฉินซีก็หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ และยืนอยู่ตรงจุดนั้น ในขณะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ทุกคนที่ให้ความสนใจกับการกระทำของเฉินซี อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถทนได้ หากเฉินซียังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป

คนเหล่านี้รวมถึงเซวียนหยวนอวิ่น

เขามาหอคัมภีร์บ่อยครั้งในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา ด้านหนึ่งก็เพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหาของตำรา และอีกด้านหนึ่ง เขามักจะให้ความสนใจกับอาการของเฉินซี เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น

เหตุผลที่ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคำแนะนำของอาซิ่ว

“เฉินซี เจ้าจะไปไหน?” เมื่อสังเกตเห็นว่า สหายตนตั้งใจจะออกจากหอคัมภีร์ เซวียนหยวนอวิ่นก็หายจากอาการตกใจทันที และรีบเอ่ยถาม

“ดินแดนเซียนสวรรค์มายาของฝ่ายบำเพ็ญเต๋า” สีหน้าของเฉินซีนั้นสงบยิ่ง ที่หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยของความงุนงง เนื่องจากดูเหมือนยังไม่ฟื้นจากสภาวะความเข้าใจประหลาดที่เป็นมาก่อนอย่างเต็มที่

“เจ้าพบเส้นทางที่จะทะลวงแล้วหรือ?” เซวียนหยวนอวิ่นรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาจึงมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจและชื่นชม

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงเช่นกัน พวกเขาตกใจอย่างมาก และจ้องมองเฉินซีเป็นตาเดียว

เฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ และพยักหน้าอย่างสบาย ๆ ก่อนจะจากไป ในขณะนี้ ความเข้าใจต่าง ๆ ได้พลุ่งพล่านในใจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงคว้าโอกาสนี้ เพื่อทดสอบพวกมันที่แดนเซียนสวรรค์มายาเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์

อีกทั้งในเวลานั้น จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะทะลวงขอบเขตได้!

เมื่อเห็นเฉินซีพยักหน้า ทุกคนรวมถึงเซวียนหยวนอวิ่นก็ตกใจ “เขาเข้าใจเส้นทางทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ หลังจากอยู่ในหอคัมภีร์เพียงห้าเดือน?”

นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าจินตนาการถึง ท้ายที่สุดแล้ว การบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำนั้น เป็นสิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นทุกคนได้แต่พึ่งพาวาสนาและความสามารถในการเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีพรสวรรค์โดยกำเนิดพิเศษเพียงใด หากคนผู้นั้นไร้วาสนาและไร้ความสามารถในการเข้าใจ ก็เป็นไม่ได้ที่คนผู้นั้นจะก้าวเท้าผ่านธรณีประตูสู่ขอบเขตเซียนทองคำ

แต่เฉินซีกลับใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งปี ในการค้นหาเส้นทางสู่ขอบเขตเซียนทองคำ หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะทำให้เกิดความแตกตื่นโกลาหลครั้งใหญ่ในสำนักอย่างแน่นอน!

“เดี๋ยวก่อน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เซวียนหยวนอวิ่นรีบไล่ตามไป เมื่อเห็นร่างของเฉินซีหายไปจากชั้นสาม เขาไม่เต็มใจจะพลาดช่วงเวลาที่เฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบรรลุของตน หากสามารถสังเกตการบรรลุของเฉินซีได้

ส่วนความจริงอีกประการก็คือ เขาต้องการสัมผัสกับแดนเซียนสวรรค์มายามานานแล้ว !

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท