บทที่ 1210 บดขยี้ทุกอุปสรรค
บทที่ 1210 บดขยี้ทุกอุปสรรค
ตัดสินผลลัพธ์กันด้วยกระบวนท่าเดียว
หากคนจากโลกภายนอกได้เห็นภาพนี้ก็คงอ้าปากค้างจนขากรรไกรตกถึงพื้น
เหตุผลไม่ซับซ้อนอะไร แม้ร่างในชุดดำจะกลั่นแน่นจากพลังลึกล้ำภายในแดนเซียนสวรรค์มายา พลังบ่มเพาะและความแกร่งของมันก็เทียบเท่ากับผู้เข้าท้าทาย
ถึงขนาดที่กลิ่นอายดุดันของมัน พลังชีวิต และเจตจำนงยังเหมือนกับผู้ท้าทาย แต่เฉินซีก็สามารถจัดการศัตรูได้ภายในกระบวนท่าเดียว จึงพิสูจน์ให้เห็นว่าวิชาต่อสู้ของเขาเหนือกว่าสหายร่วมรุ่นอย่างเทียบไม่ติดแล้ว
ซึ่งความจริงก็เป็นไปตามนั้น สุดท้ายร่างในชุดดำก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ดังนั้นจึงไม่สามารถมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย และเคล็ดวิชาอย่างที่เฉินซีมีได้
ด่านแรกไม่ยากนัก ความแกร่งของร่างในชุดดำพอ ๆ กับข้าตอนที่มีเต๋าแห่งกระบี่เหนือระดับปรมาจารย์ แต่น่าเสียดายที่วิชาต่อสู้ของมันยังธรรมดาไร้เอกลักษณ์ ชายหนุ่มประเมินความสามารถในการต่อสู้ของร่างในชุดดำ
“ด่านแรก ทำสำเร็จภายในชั่วลมหายใจเดียว!” น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ดังขึ้น
วิ้ง!
เสียงนั้นยังไม่ทันจางหาย แสงสีฟ้าก็เรืองรองออกมาใต้ร่าง มันกวาดผ่านร่างของเฉินซี พริบตาเดียวร่างเขาก็หายไปแล้ว
เมื่อลืมตา ก็มาถึงด่านที่สองแล้ว มันคล้ายกับด่านแรก แต่ตอนมาถึงก็มีร่างในชุดดำสองร่างรออยู่ก่อนแล้ว
ฟุบ! ฟุบ!
ปราณกระบี่สองเส้นกรีดผ่านฟ้าซัดลงมาทางเฉินซี
“ฆ่ามัน!” ชายหนุ่มไม่ได้หลบไปด้านข้าง แต่กลับพุ่งเข้าใส่พวกมันแทน
ผัวะ!
ผัวะ!
สองฝ่ายปะทะกัน
พริบตาต่อมา ร่างในชุดดำพวกนั้นก็แยกออกเป็นสองท่อน สิ้นใจตายทันใด หากเป็นคนอื่นก็คงโต้กลับอะไรไม่ทัน มีหรือที่จะสังหารศัตรูได้อย่างเฉินซี
“ด่านที่สองทำสำเร็จภายในชั่วลมหายใจเดียว!” น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง
ด้วยพลังฝีมือในปัจจุบัน ย่อมไร้สิ่งกีดขวางในแดนเซียนสวรรค์มายา ทุกครั้งที่ผ่านขึ้นด่านต่อไป ก็จะถูกส่งตัวขึ้นอีกด่านโดยผลลัพธ์ก็จะได้รับการบันทึกไว้ด้วย
ด่านสามมีร่างในชุดดำสามร่าง ที่มีพลังบ่มเพาะและพลังต่อสู้เทียบเท่ากับเฉินซี
ด่านที่สี่ มีสี่ร่าง
ด่านที่ห้า มีห้าร่าง
หนึ่งเค่อถัดมา เฉินซีก็ฝ่ามาถึงด่านที่ 18 อย่างรวดเดียว ตอนนี้ศัตรูคือชายชุดดำ 18 ร่างที่แข็งแกร่งเท่ากับเขา!
ชายหนุ่มพลันรู้สึกกดดัน ความเร็วจึงลดลงเล็กน้อย
เท่าที่รู้มา ภายใน 36 ด่านของที่แห่งนี้ ด่านที่ 18 เป็นเส้นแบ่ง พลังบ่มเพาะและความแกร่งของร่างในชุดดำจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกหากขึ้นเหนือกว่าด่านที่ 18 แต่จะใช้แรงกดดันจากจำนวนที่มากกว่าแทน
เช่น ศัตรูของเฉินซีในด่านที่ 18 คือร่างชุดดำ 18 ร่างที่แกร่งเหมือนเขา พอพวกมันเข้าโจมตีพร้อมกัน พวกมันจะสามารถผสานการโจมตีและตั้งค่ายกลสู้กับเฉินซีได้ ดังนั้นจึงสร้างแรงกดดันได้มหาศาล
…
นอกแดนเซียนสวรรค์มายา
มีกำแพงแสงอยู่ด้านข้างศิลาวิถี มันส่องแสงสีเขียวออกมา 36 จุดเรียงกันเป็นระเบียบ เป็นตัวแทนของด่านทั้ง 36
เมื่อเฉินซีเข้าไปในแดนเซียนสวรรค์มายา ชื่อเขาก็เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์สีทองที่พุ่งขึ้นมาจนถึงด่านที่ 18
“ ด่านที่ 18 ภายในหนึ่งเค่อ?” ศิษย์ที่ติดตามชมเฉินซีมาตลอดร้องขึ้นด้วยความตกใจ ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
จึงทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเกิดความสนใจ ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน
“จำได้ว่าเคยได้ยินรุ่นพี่ในสำนักกล่าวไว้ว่าเมื่ออวิ๋นฝูเซิงถึงด่านที่ 18 เมื่อหลายปีก่อนนั้น เหมือนจะใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ หรือว่าเฉินซีนั่นจะมีฝีมือเทียบขั้นกับอวิ๋นฝูเซิงคนนั้นได้?”
“รวดเร็วเกินไปแล้ว! ข้าโชคดีได้เห็นเจิ่นลู่กับจี้เซวียนปิงท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายาเมื่อหลายวันก่อน จำได้แม่นว่าเจิ่นลู่ใช้หนึ่งเค่อและอีก 37 ชั่วลมหายใจในการขึ้นถึงด่านที่ 18 ส่วนจี้เซวียนปิงใช้หนึ่งเค่อและอีก 93 ลมหายใจ เทียบกันแล้ว ผลงานของเฉินซีตอนนี้เหนือชั้นกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ”
“อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ จ้าวเมิ่งหลีเผ่าวิหคอมตะเองก็ใช้เวลาหนึ่งเค่อมาถึงด่านที่ 18 เช่นกัน แต่ความเร็วหลังจากนั้นด้อยกว่าเจิ่นลู่ ทำให้ได้เพียงอันดับที่เก้าบนศิลาวิถี อันดับต่ำกว่าเจิ่นลู่ซึ่งอยู่อันดับที่ห้า”
“ใช่แล้ว จุดสำคัญคือผลลัพธ์หลังด่านที่ 18 ไปต่างหาก ยากจะคาดการณ์ได้ว่าเฉินซีจะสามารถขึ้นไปได้แค่ไหน”
ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรส ล้วนแต่สงสัยเรื่องผลลัพธ์ของเฉินซี ในใจก็คำนวณเวลาไว้ อยากจะรู้ว่าเฉินซีจะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้หรือไม่
อ๋าวอู๋หมิงกับเจี้ยงฉางไฮ่เจอเช่นนี้ก็หน้าคว่ำไม่พูดไม่จา
“หึ! ไม่ว่าจะผ่านไปได้เร็วแค่ไหน แต่หากขึ้นขอบเขตเซียนทองคำไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์” สุดท้ายอ๋าวอู๋หมิงก็เปล่งเสียงเย็นชา หาข้ออ้างปลอบตนเอง
“ตอนนี้ยังอยู่แค่ด่านที่ 18 เอง อดทนดูต่อไปเถอะ” เจี้ยงฉางไฮ่ยิ้ม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนไม่น้อย
อ๋าวอู๋หมิงพยักหน้าแล้วไม่พูดอันใดอีก
…
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
กระแสปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดกันไปมาอยู่ภายในด่านที่ 18 ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันน่าหวาดกลัว
“ฆ่ามัน!” เฉินซีเคลื่อนร่างฝ่าปราณกระบี่หนาแน่น พลางใช้เคล็ดวิชาอย่างดุดันเหนือกว่าครั้งก่อน มรดกกระบี่เบญจธาตุ ลม สายฟ้า หยินและหยาง ถูกซัดออกมาเป็นคลื่นอย่างง่ายดาย
พริบตาเดียวก็มองไม่ทันว่าใช้ไปกี่กระบวนท่า เห็นเพียงแค่ทุกจังหวะที่เงาร่างของเขาหายไปแวบหนึ่ง จะมีร่างในชุดดำหนึ่งร่างสลายหายไป
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง
เฉินซีฟันฝ่าแดนเซียนสวรรค์มายาไปเรื่อย ๆ กำชัยไปได้อย่างงดงาม แม้ยิ่งระดับสูงจะยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันก็ทำอะไรเฉินซีไม่ได้ ยิ่งไม่อาจขัดขวางเส้นทางของเขาได้
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
ณ ด่านที่ 35 ก้อนแสงระเบิดออกมาเป็นเม็ดฝนก้อนแล้วก้อนเล่า ก้อนแสงเหล่านั้น คือร่างในชุดดำที่ล้มตายไม่ต่างจากใบไม้ที่ปลิดปลิว
พร้อมกันนั้น เฉินซีที่กระโดดหลบไปก็มีสภาพย่ำแย่เล็กน้อย สีหน้าจริงจังยิ่ง เริ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนาแน่นดังคลื่นยักษ์ที่พุ่งเข้าใส่ทุกทิศทาง
ด่านที่ 35 มีศัตรู 35 ร่าง ทุกคนล้วนมีความแข็งแกร่งเท่ากับตน เมื่อพวกมันรวมพลังกัน หากเป็นในโลกภายนอกก็คงมากพอจะกวาดล้างศิษย์ขอบเขตเซียนลึกลับสายนอกทั้งหมดได้ทีเดียว
แต่ตอนนี้เฉินซีต้องเผชิญหน้ากับพวกมันเพียงลำพัง
นี่คือการทดสอบ เป็นการท้าทายขีดจำกัดของตน! ไม่เลวเลย ข้าต้องมีแรงกดดันเพื่อเผยศักยภาพให้ได้มากกว่านี้ ผ่านด่านที่ 36 ไปได้เมื่อใด ข้าคงขึ้นขอบเขตเซียนทองคำได้แน่! ตอนนี้ชายหนุ่มพอเข้าใจแล้วว่าตนเองจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร มันชัดเจนเหมือนตั้งอยู่ตรงหน้า เอื้อมคว้าก็ถึง แต่สุดท้ายกลับยั้งตัวเองไว้
หากขึ้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากขึ้นได้เมื่อใดก็ต้องทำให้ได้อย่างสมบูรณ์!
ฆ่า!
ฆ่ามัน!
สังหารให้สิ้น!
ตอนนี้จิตสังหารของเฉินซีพลุ่งพล่าน ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตออกมา กระบี่ตะขอดาราในมือคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ชายหนุ่มเผยศักยภาพที่มีออกมาแล้ว ใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มทน
ครืน!
กระแสปราณกระบี่ที่ซ้อนทับระหว่างสายลมและสายฟ้าพวยพุ่งขึ้นฟ้าดั่งพายุอัสนีบาต ส่งเสียงหวีดหวิวกรีดผ่านร่างในชุดดำสามร่างตรงหน้าจนร่างแยกเป็นชิ้น ๆ
พร้อมกันนั้น เฉินซีก็หมุนตัวขึ้นฟ้า ซัดพลังฝ่าปราณกระบี่ ก่อนถอยหลบการโจมตีจากปราณกระบี่อีกด้าน ชายหนุ่มไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ยังคงฟาดกระบี่ในมือออกไปไม่หยุด
ร่างเคลื่อนไหวจนเป็นเหมือนเงาดำ น่าเกรงขามดุดันและรวดเร็วยิ่ง ทำให้ไม่รู้ว่าจะหลบเลี่ยงหรือจะออกท่าโจมตีกันแน่ เคล็ดวิชาของเขาคือการหลบหลีกและโจมตีไปพร้อมกัน ทำให้ศัตรูไม่สามารถเล็งเป้าได้
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ศีรษะหลายหัวกระเด็นขึ้นฟ้า เฉินซีพลันชะงักการเคลื่อนไหว เขาเก็บตะขอดาราไป พอหันมาอีกที ตรงหน้าก็เหลือร่างในชุดดำเพียงร่างเดียวแล้ว
ใกล้แล้ว ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาชี้นิ้วเพียงแผ่วเบา ก็ซัดกระแสปราณกระบี่ออกไปได้อย่างรุนแรง
พร้อมกันนั้นด้านนอกแดนเซียนสวรรค์มายา
“สองเค่อและอีก 35 ลมหายใจ ดูท่าเฉินซีเองก็คงติดอยู่ที่ด่าน 35 เช่นกัน เมื่อหลายปีก่อนอวิ๋นฝูเซิงเองก็ผ่านด่านนี้ไปได้โดยใช้เวลาประมาณนี้ล่ะ”
เมื่อพวกเขาเห็นสัญลักษณ์สีทองบนกำแพงแสงซึ่งเป็นตัวแทนชื่อเฉินซีหยุดอยู่ที่ด่าน 35 เป็นเวลานาน หลายคนก็ถอนหายใจโล่งอก คล้ายกับว่าเช่นนี้ก็เป็นปกติแล้ว
“พวกร่างในชุดดำของด่าน 35 เมื่อรวมพลังโจมตีแล้วแข็งแกร่งยิ่ง ทั้งยังร่วมมือกันได้ดีอีกต่างหาก หลายปีที่ผ่านมามีหลายคนเสียเวลากับด่านนี้ไปมากทีเดียว ทำให้หมดโอกาสทำลายสถิติ”
“เหนือด่านนี้ยังมีด่าน 36 อยู่อีก เป็นปราการที่ข้ามได้ยากที่สุด หากเฉินซีมัวแต่มาติดอยู่ตรงนี้ ถึงจะสามารถขึ้นด่าน 36 ไปได้อย่างราบรื่น แต่ก็คงไร้ชื่อบนศิลาวิถี”
คนอื่น ๆ ต่างพูดคุยกันสนุกสนานยามได้ยิน เห็นได้ชัดว่าล้วนรู้สึกว่าเฉินซีคงไม่มีโอกาสทำลายสถิติบนศิลาวิถีได้
แต่ในจังหวะนั้นเองที่สัญลักษณ์แสงสีเขียวอันเป็นตัวแทนด่านที่ 35 พลันหม่นแสงลง จากนั้นสัญลักษณ์แทนด่านที่ 36 พลัน สว่างวาบขึ้น
ทุกคนชะงักไปทันที ล้วนมีสีหน้าตกตะลึง
อ๋าวอู๋หมิงกับเจี้ยงฉางไฮ่หน้าเสีย มือในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น
พวกเขารู้ดีว่าแม้เฉินซีจะใช้เวลาในการผ่านด่านที่ 35 มากกว่าอวิ๋นฝูเซิงที่เคยทำได้เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังรวดเร็วกว่าเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลีอยู่เล็กน้อย!
หรือก็คือหากเฉินซียังคงความแข็งแกร่งเช่นนี้ไว้ได้ในด่านที่ 36 เช่นนั้นก็คงสามารถทำลายสถิติได้!
“ว่าแล้ว ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้! เฉินซี เจ้าแข็งใจไว้! หากทิ้งชื่อไว้บนศิลาวิถีได้ เช่นนั้นชื่อเสียงพันธมิตรดาราของเจ้าก็จะดังไกล!” เซวียนหยวนอวิ่นจ้องความเปลี่ยนแปลงบนกำแพงแสงตาไม่กระพริบ ในใจเกิดความรู้สึกตื่นเต้นวาบผ่านยามพึมพำ
ณ ตอนนั้นรอบกายพลันเงียบสงัด ทุกคนกำลังจับตารอดูว่าเฉินซีจะสามารถทำลายสถิติได้หรือไม่