บทที่ 1218 ล่าถอยด้วยหนึ่งการโจมตี
บทที่ 1218 ล่าถอยด้วยหนึ่งการโจมตี
หลังจากเฉินซีเอ่ยคำ สีหน้าของพวกหลิวเจ๋อเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่มีใครคาดคิดว่าคนผู้นี้จะลงมือทันที หวงเทียนหู่ไม่ทันระวังจึงกระเด็นออกไปภายในการโจมตีเดียว จนกระอักโลหิต และส่งเสียงคร่ำครวญ
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดยั้งเพื่อให้การช่วยเหลือ
“ชนะจากการลอบโจมตี มันน่าโอ้อวดตรงไหน พฤติกรรมอันน่ารังเกียจของเจ้ามันมากเกินไปแล้ว!” ศิษย์อาวุโสหน้าตาบึ้งตึงด้วยโทสะขณะตะโกนเสียงดัง ปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างแผดเสียงคำรามก่อนจะถูกซัดออกไป
ครืน!
หมัดนี้เต็มไปด้วยพลังของตราศักดิ์สิทธิ์อสนีอัคคี มันคลุ้มคลั่งประหนึ่งเปลวเพลิงและวูบไหวดุจสายฟ้า พลังของมันน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด
“น่ารังเกียจ? เจ้ามีคุณสมบัติมาพูดเรื่องน่ารังเกียจกับข้าด้วยหรือ? ไปให้พ้น!”
สายตาของเฉินซีเย็นชาไม่ต่างจากน้ำแข็งขณะสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง ปราณเซียนพิสุทธิ์อันน่าตกตะลึงพุ่งออกไปราวกับคลื่นที่ซัดสาด มันปกคลุมไปด้วยพลังอันไร้ขอบเขตก่อนจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ปัง!
การปะทะอันน่าสะพรึงของปราณเซียนพิสุทธิ์กวาดไปพร้อมกับเสียงแผ่นดินสั่นสะเทือน ทันใดนั้นใบหน้าของศิษย์อาวุโสผู้ทำการโจมตีกลับซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เขาเพียงรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาประหนึ่งค้อนยักษ์ทุบฝ่ามือ
เพียงพริบตา นิ้วทั้งห้าบนฝ่ามืองอไปข้างหลัง มันบิดเบี้ยวจนผิดรูป ตามมาด้วยง่ามมือที่แตกออกจนโลหิตกระเซ็น
ทั่วร่างถูกพลังซัดจนกระเด็นออกนอกห้องโถงใหญ่ กระแทกดังตุบ แล้วกลิ้งเป็นลูกบอลไม่ต่างกับหวงเทียนหู่ผู้ลอยออกมาก่อนหน้านี้
ด้วยการโจมตีซึ่งหน้าอย่างรุนแรง ทำให้เขามีชะตาเดียวกับหวงเทียนหู่!
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
ศิษย์อาวุโสที่เหลือตกตะลึง เพียงพริบตา อีกฝ่ายเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำไปสองคน ด้วยพละกำลังเช่นนี้ แม้แต่ตัวตนระดับสูงในหมู่พวกเขาที่อยู่ฝ่ายนอก ก็มีไม่มากที่สามารถทำได้ นับประสาอะไรกับศิษย์ใหม่ผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ?
เขาทำได้อย่างไร?
ในยามนี้ ฝูงชนกำลังเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นอยู่นอกห้องโถงใหญ่ก็ตื่นตะลึงจนตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาไม่คาดคิดว่าเฉินซีผู้เพิ่งเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำจะสามารถระเบิดพลังต่อสู้ที่น่าหวั่นเกรงเช่นนั้นออกมาได้
“พวกข้ามาที่นี่เพื่อท้าทาย ขืนยังทำตัวหยาบคายเช่นนี้อีก อย่าโทษพวกข้าที่ลงมือพร้อมกัน”
ท่ามกลางความโกลาหล สายตาของหลิวเจ๋อเฟิงประหนึ่งสายฟ้าขณะจ้องมองเฉินซีอย่างเย็นชา
“หยาบคาย? การมาที่ประตูแล้วปิดกั้นอาณาเขตของพันธมิตรดารานับว่าหยาบคายหรือไม่?” เฉินซีเอ่ยอย่างไร้อารมณ์
หลิวเจ๋อเฟิงสูดหายใจเข้าก่อนโบกมือแล้วเอ่ยคำ “ได้! พวกข้าจะรอเจ้าอยู่นอกห้องโถงใหญ่!”
สิ้นคำ เขาหันหลังแล้วจากไป
สหายของเขาเห็นดังนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็เดินตามออกจากห้องโถงใหญ่ไป
…
“เฉินซี!”
พวกเหลียงเริ่นเห็นดังนี้ก็รีบเข้ามาล้อมชายหนุ่มทันที
“ทุกท่าน ปลอดภัยดีหรือไม่?”
เฉินซีมองผู้คนรอบข้าง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้เฉินซีจึงรู้สึกตื้นตัน และอดที่จะรู้สึกละอายใจไม่ได้ ถึงอย่างไรในฐานะผู้นำของพันธมิตรดารา ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามาห้องโถงหลักของพันธมิตรดาราเพื่อพบปะเหล่าสมาชิก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เรียกได้ว่าพวกเขาติดร่างแหมาด้วย
“ปลอดภัยดี ถึงสารเลวพวกนั้นจะหยิ่งผยอง แต่พวกมันก็ไม่กล้าลงมือกับพวกข้าอย่างไร้ยางอายหรอก”
เหลียงเริ่นยิ้ม ดวงตายังคงมีร่องรอยของความตกตะลึง การโจมตีของเฉินซีก่อนหน้านี้ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำสองคนได้รับบาดเจ็บ เทียบกับเมื่อหนึ่งปีก่อน พละกำลังของอีกฝ่ายเกิดการเปลี่ยนแปลงสะเทือนปฐพี ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้
“ขอโทษด้วย ในฐานะสมาชิกของพันธมิตรดารา ข้ากลับไม่เคยมีส่วนร่วม เป็นเพราะไม่คิดให้รอบคอบถึงทำให้ทุกท่านต้องทนทุกข์กับความอัปยศเช่นนี้”
เฉินซีสูดหายใจเข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะประสานมือขอโทษสมาชิกของพันธมิตรดาราตรงหน้า
“ฮ่า ๆ พี่เฉินซีพูดเรื่องอะไรน่ะ อาซิ่วเคยบอกว่าเจ้าคือกระดูกสันหลังของพันธมิตรดารา เป็นผู้ถือหางเสือเรือ ด้วยความสามารถของเจ้าจึงสามารถนำพาพวกเราให้เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้นได้!”
“ใช่แล้ว พี่เฉินซี พวกข้าเห็นสถานการณ์ของเจ้าแล้ว หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดถึงได้เข้าร่วมพันธมิตรดารา เจ้าต้องเลิกมองพวกเราเป็นคนนอกเสียที”
“พูดถึงเรื่องนี้ พวกข้ายังอ่อนแอเกินไป ดังนั้นพี่เฉินซีจึงต้องลงมือด้วยตัวเอง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล พวกข้าเพิ่งเข้าสำนักมา ขอเพียงมีเวลาก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ศิษย์อาวุโสเหล่านั้นก็แค่อยู่มานานกว่าเล็กน้อย หาได้มีอะไรพิเศษไม่!”
สมาชิกพันธมิตรดาราหลายคนเอ่ยคำ พวกเขาสามารถเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ผ่านการทดสอบหลายชั้น กลายเป็นบุคคลโดดเด่นผู้มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่และเกิดมาพร้อมกับศักดิ์ศรี แต่ยามปฏิบัติต่อเฉินซี พวกเขาต่างสะกดความเย่อหยิ่งเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น สายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้และนับถือ
ใช่แล้ว มีเพียงเฉินซีที่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาเข้าร่วมพันธมิตรดาราก็เนื่องจากอีกฝ่ายเช่นกัน
เหลียงเริ่นเห็นฉากนี้จึงยิ้มออก ก่อนจะคิ้วขมวดแล้วเอ่ยกับสหายตน “เฉินซี การท้าทายข้างนอก…”
ชายหนุ่มขัดอีกฝ่ายก่อนจะทันพูดจบ เขาพลันเงยหน้ามองทุกคนแล้วเอ่ยทีละคำ “ทุกท่านไม่ต้องห่วง หากไม่โดนทำร้ายก่อน ข้าก็ไม่ทำร้ายตอบ หากมีคนมาเหยียบหัวพันธมิตรดาราแล้วยังกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ มันก็ไม่ต่างจากการดูถูกพวกเรา”
เหลียงเริ่นเอ่ยอย่างวิตก “ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
เฉินซียิ้มบาง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปทางห้องโถงใหญ่ “พวกเจ้าคงไม่อยากให้พันธมิตรดาราถูกทำลายใช่หรือไม่? ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่ามีสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด”
น้ำเสียงระหว่างเอ่ยคำราบเรียบ แต่แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นอันเย็นชา
ทุกคนในพันธมิตรดาราเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ภายใน ก่อนจะสาวเท้ายาวตามหลังเฉินซี พวกเขาในยามนี้คล้ายกับค้นพบกระดูกสันหลัง ตราบที่อีกฝ่ายอยู่ข้างกายก็ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัว
เนื่องจากเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ จึงดึงดูดความสนใจได้มาก ทำให้มีผู้คนจากทั่วทุกหนแห่งของฝ่ายนอกหลั่งไหลเข้ามาหลังจากทราบข่าว
ข่าวที่พวกหลิวเจ๋อเฟิงปิดกั้นห้องโถงใหญ่ของพันธมิตรดาราได้ถูกกระจายออกไปในช่วงเช้าตรู่ ทำให้ศิษย์ใหม่ส่วนใหญ่เดือดดาล แต่ไม่กล้าเอ่ยอะไรเพื่อไม่เป็นการชักนำปัญหาเข้าตัว ส่วนศิษย์อาวุโสส่วนมากต่างเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้นด้วยความยินดี
ครั้นทราบว่าในที่สุดเฉินซีซึ่งเป็นผู้นำของพันธมิตรดาราปรากฏตัว จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
ในเวลาเดียวกัน ร่างร้อนแรงของจ้าวเมิ่งหลียืนมองจากระยะไกลเพียงลำพัง ดวงตากระจ่างชัดจับจ้องมาที่นี่
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น หากมองให้ดีก็จะพบร่างของพวกเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง และจงหลีสวินปรากฏด้วยเช่นกัน
พวกเขาต่างอยากเห็นว่าเฉินซีจะจัดการหลิวเจ๋อเฟิงผู้อยู่อันดับแปดบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์อย่างไร
เฉินซีไม่แยแสต่อสายตาเหล่านี้ราวกับไม่สังเกตเห็น ทันทีที่เดินออกจากห้องโถงใหญ่ เขาชำเลืองมองพวกหลิวเจ๋อเฟิงผู้รออยู่ก่อนแล้ว
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีจิตใจคับแคบเช่นนี้ ไม่แปลกที่ฝึกฝนอยู่ฝ่ายนอกมาเกือบหนึ่งพันปีแต่ไม่สามารถเข้าสู่ฝ่ายในได้”
เฉินซีจับจ้องหลิวเจ๋อเฟิงพลางยิ้มหยันอย่างเย็นชา
สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงพลันมืดมนเมื่อได้ฟังคำของอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ปากดีไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตาของพันธมิตรดาราได้หรอก ดังนั้นอย่าพยายามยั่วโมโหข้าด้วยคำพูดจะดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้เจ้าอยากยุติเรื่องราวในวันนี้ ข้าก็ไม่ยอม”
เฉินซีส่ายหน้าขณะเอ่ยอย่างเนิบช้า “หมายความว่าใครก็ตามที่กล้ายั่วโมโหพันธมิตรดาราเช่นนี้อีกในอนาคต ข้าจะไม่มีวันรามือ”
หลิวเจ๋อเฟิงตกตะลึง จากนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ช่างอวดดีเหลือเกิน ยังคิดว่าจะเหมือนปีที่แล้วในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าอย่างนั้นหรือ?”
สหายของเขาหัวเราะเสียงดัง แม้การโจมตีสองครั้งของเฉินซีจะทำให้พวกพ้องได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าหลิวเจ๋อเฟิงผู้เป็นยอดฝีมือจากฝ่ายนอกออกโรง พวกเขาจึงไม่เก็บคำพูดของเฉินซีมาคิดจริงจัง
ถึงอย่างไร ในการรับรู้ของพวกเขา เฉินซีเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำมาได้เพียงหนึ่งเดือน แล้วคนผู้นี้จะเป็นคู่ต่อสู้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ฝึกฝนมาเกือบหนึ่งพันปีได้อย่างไร?
“สู้ดูเดี๋ยวก็รู้”
สีหน้าของเฉินซียังคงไร้อารมณ์ “คราวที่แล้วข้าสามารถเอาชนะได้ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกล้ำจนทำให้เจ้าเสียหน้า คราวนี้ข้าไม่อ่อนข้อให้แน่ ดังนั้นเข้ามาพร้อมกันเลยดีกว่า อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาส”
สิ้นคำ แม้แต่ผู้ชมในบริเวณใกล้เคียงยังลอบเดาะลิ้น พวกเขารู้สึกว่าเฉินซีทำตัวอหังการเกินไป
สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงมืดมนอีกคราพลางกวาดสายตามองประหนึ่งคมกระบี่ ท่าทีของเฉินซีทำให้รู้สึกเดือดดาล เดิมทีเขาคิดว่าภายใต้สถานการณ์นี้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรจะควบคุมตัวเองและแสดงความเสียใจที่มายั่วยุตน แต่ใครจะคาดคิด ไม่เจอหน้ากันมากว่าหนึ่งปี แต่เด็กคนนี้ยิ่งทำตัวกำเริบเสิบสานไม่เสื่อมคลาย
“เจ้าหนู ต่อให้เสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว!”
หลิวเจ๋อเฟิงกำหมัดมั่น กลิ่นอายน่าสะพรึงพวยพุ่ง แรงกดดันของเซียนทองคำแผ่ขยายออกไป ทำให้ใบหน้าของศิษย์ใหม่ทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
กลิ่นอายระดับนี้นับว่าน่าตกตะลึง จึงควรค่าที่จะอยู่อันดับแปดบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
สายตาบางคู่อดไม่ได้ที่จะมองเฉินซี แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยังคงสงบประหนึ่งผิวน้ำ ดวงตาสีดำลึกล้ำปราศจากความผันผวน ราวกับไม่รับรู้ถึงแรงกดดันจากกลิ่นอายน่าสะพรึงของหลิวเจ๋อเฟิง
ตูม!
ครู่ต่อมา หลิวเจ๋อเฟิงก็ลงมือ ร่างของเขาวูบไหวขณะฉีกกระชากห้วงอากาศ พริบตาต่อมาจึงปรากฏตรงหน้าเฉินซีแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป พลังมหาศาลของกฎแห่งเซียนทองคำกวาดผ่านดุจกระแสน้ำเชี่ยว ก่อนจะตรงเข้าบดขยี้ศีรษะของเฉินซีอย่างรุนแรง
การโจมตีครั้งนี้ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ มันปรากฏในพริบตา หมัดดังกล่าวน่าสะพรึงยิ่ง ถึงอย่างไรมันก็คือตัวแทนพลังของเซียนทองคำ
แต่แม้เขาจะรวดเร็ว แต่เฉินซีกลับไวยิ่งกว่า ทันทีที่หลิวเจ๋อเฟิงลงมือ เฉินซีก็เปลี่ยนนิ้วที่ประสานกันให้กลายเป็นกระบี่ก่อนแทงออกไปอย่างรุนแรง ปราณกระบี่คมปลาบเย็นเยือกควบแน่นถึงขีดสุดดุจหอกศักดิ์สิทธิ์แห่งการพิพากษาขณะทะลวงห้วงอากาศ แล้วปล่อยพลังที่เกาะกุมหัวใจทุกคน
ปัง!
ปราณกระบี่และหมัดแสงปะทะกันอย่างรุนแรงจนปราณเซียนพิสุทธิ์ระเบิด ทำให้กลิ่นอายน่าสะพรึงแผ่ขยายออกไป
ตึง! ตึง! ตึง!
ท่ามกลางกลุ่มควันร่างของหลิวเจ๋อเฟิงถอยหลังไปสองสามก้าว ทุกย่างก้าวทำให้เกิดหลุมในห้วงอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทนต่อแรงกระแทกที่ไม่อาจต้านทานได้
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว หัวใจของทุกคนที่ชมการต่อสู้แทบหยุดเต้น รูม่านตาขยายออก หลิวเจ๋อเฟิงถึงกับถูกกดดันจนล่าถอยตั้งแต่เริ่มสู้อย่างนั้นหรือ?
ปะ… เป็นไปได้อย่างไร?