บทที่ 1226 เงาของราชันเซียน
บทที่ 1226 เงาของราชันเซียน
สมรภูมิฝันร้าย
แม่น้ำแห่งดวงดาวมากมายทอดยาวเหมือนเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ ซึ่งแยกภพเซียนและนอกพิภพออกจากกัน ค่ายของภพเซียนตั้งอยู่ฝั่งหนึ่ง และค่ายของคนต่างพิภพตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
มันเป็นดั่งกำแพงที่กั้นระหว่างภพเซียนกับดินแดนนอกพิภพ มันทั้งกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ภายใต้การนำของโจวจื่อหลี พวกเขามาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และเห็นแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ทอดยาวผ่านจักรวาล
แม้ว่าจะเรียกมันว่าแม่น้ำแห่งดวงดาว แต่แท้จริงแล้ว มันคือดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่มารวมตัวกัน มันไม่ได้ไหลรินเหมือนน้ำ แต่มีดวงดาวมากมายมหาศาลเรียงกันเป็นสาย ดังนั้นการเรียกมันว่าแม่น้ำแห่งดวงดาวจึงเหมาะสมอย่างยิ่ง
“นี่คือพรมแดนระหว่างภพเซียนกับดินแดนนอกพิภพ ตั้งแต่ยุคบรรพกาล การต่อสู้ที่สั่นสะเทือนโลกนับครั้งไม่ถ้วนปะทุขึ้นรอบ ๆ แม่น้ำแห่งดวงดาวแห่งนี้ ร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดานับไม่ถ้วนก็ถูกฝังไว้ที่นั่น” โจวจื่อหลีชี้ไปที่แม่น้ำแห่งดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกล ท่าทางสำรวมเผยให้เห็นเศษเสี้ยวของอารมณ์ “อาจกล่าวได้ว่า การที่สถานการณ์ภายในภพทั้งสามนั้นมั่นคงและเฟื่องฟูมากนั้น แลกมาด้วยเลือดและชีวิตของบรรพชนที่ล้มตายในการต่อสู้ พวกเขา… คือบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ผู้สละชีวิตเพื่อปกปักษ์รักษาภพทั้งสามจนลมหายใจสุดท้าย!”
ทุกคนมีความเคารพอย่างสุดซึ้งในหัวใจ โลหิตเดือดพล่านอยู่ในอก มันเป็นความชื่นชม และความเคารพที่มีต่อเหล่าบรรพชน
คนต่างพิภพเป็นศัตรูกับภพทั้งสามมาช้านาน ความบาดหมางฝังอยู่ในสายเลือดของเหล่าเซียน แล้วพวกเขาจะมีความประทับใจที่ดีต่อศัตรูได้อย่างไร?
มันก็เหมือนกับที่กล่าวไป พวกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันจะต้องมีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน!
ครืน!
ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังกึกก้องจากส่วนลึกของแม่น้ำแห่งดวงดาวอันไกลโพ้น มันดังจนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสั่นสะเทือน
ทันใดนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นนิ้วเรียวยาว สง่างาม และเที่ยงธรรมทะลุผ่านแม่น้ำแห่งดวงดาวอันไร้ขอบเขต จากนั้นมันก็เข้าบดขยี้ดวงดาวจำนวนมาก และชี้ไปยังส่วนลึกของแม่น้ำอย่างรุนแรง
โฮก!
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้อง ร่างของช้างสีดำขนาดมหึมาเดินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จมูกของมันเหมือนกับแส้ ฟาดฉีกผืนนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว เข้าปะทะกับนิ้วอันน่าสะพรึงกลัว
แม่น้ำแห่งดวงดาวถูกปกคลุมไปด้วยเสียงดังกึกก้องอย่างรุนแรง คลื่นกระแทกกระจายไปทั่วท้องฟ้า รัศมีแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมา ทำให้สีหน้าของเหล่าศิษย์ซีดเผือด ปากอ้าค้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉากนี้น่าสะพรึงอย่างยิ่ง มันบดขยี้ดวงดาว และทำให้ท้องฟ้าเกิดความปั่นป่วนโกลาหล เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ไกลมาก แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นที่ประจักษ์ว่าการโจมตีดังกล่าวนั้นน่ากลัวเพียงใด!
“บัดซบ! นั่นคือการต่อสู้ระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียน! รีบไปกันเถอะ!” สีหน้าของโจวจื่อหลีกลายเป็นหนักอึ้งทันที จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ และพาทุกคนจากไป
…
เมื่อเฉินซีได้สติอีกครั้ง เขาก็อยู่บนดาวรกร้างว่างเปล่า อันที่จริง มีเมืองตั้งอยู่ที่นี่ แต่นอกเหนือจากนั้นมันไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
“นั่นคือการปะทะกันระหว่างราชันเซียนหรือ?” บางคนยังคงหวาดกลัว เพราะว่าต่อให้ดวงดาวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนเศษกระดาษด้วยนิ้วนั้น เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“นั่นคือส่วนลึกที่สุดของแม่น้ำแห่งดวงดาว และเป็นสถานที่ซึ่งมีเพียงราชันเซียนเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ หนึ่งในนั้น อาจเป็นหนึ่งในสี่ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนจะเป็นใครนั้น ข้าก็ไม่สามารถระบุได้” สีหน้าของโจวจื่อหลีกลับมาเป็นปกติ และอธิบายด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายขึ้น “เอาล่ะ นั่นคือสถานที่ที่ราชันเซียนต่อสู้กัน ไม่ต้องห่วง นั่นไม่ใช่สถานที่สอบในครั้งนี้”
เมื่อพวกเขาเห็นว่าโจวจื่อหลีที่มักจะสำรวมได้กล่าวหยอกล้อ ทุกคนถึงเริ่มยิ้ม และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“เมืองนี้มีชื่อว่า เมืองเมฆาสุบิน มันเป็นฐานที่มั่นของภพทั้งสามระหว่างทางไปสมรภูมิฝันร้าย พวกเจ้าจะออกจากที่นี่ในเช้าวันพรุ่งนี้ และเริ่มทำการสอบ” โจวจื่อหลีชี้ไปยังบริเวณที่เป็นเหมือนอาณาจักรข้างหน้า จากนั้นก็อธิบายรายละเอียด และนำเหล่าศิษย์เข้าสู่เมืองเมฆาสุบิน
“โอ้? กลุ่มจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามาถึงแล้ว!”
“เป็นพวกเขาจริง ๆ ในบรรดากลุ่มผู้เข้าสอบของสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด มีเพียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่ยังไม่มาถึง”
“จุ๊ จุ๊ ข้าเดาว่าชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งห้าสิบคนเหล่านั้น คือศิษย์ที่เข้าร่วมการสอบครั้งนี้ ศิษย์ของทั้งเจ็ดสถาบันที่ยิ่งใหญ่จะต้องได้รับการบ่มเพาะร่วมกัน บางทีพวกเขาอาจรู้อยู่แก่ใจว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการสอบครั้งนี้”
เงาร่างมากมายรวมตัวกันภายในเมืองเมฆาสุบิน เมื่อพวกเขาเห็นโจวจื่อหลี หวังต้าวหลู ทาปาเทียนซี และจั่วชิวไท่อู่นำเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาในเมือง มันก็ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นทันที
สายตาของผู้คนจำนวนมากมีร่องรอยของความหวาดกลัว และความเคารพไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของความเกลียดชังปะปนอยู่ด้วย
โจวจื่อหลีและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นคนอื่น ๆ ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขาพาเฉินซี และคนอื่น ๆ ตรงไปยังส่วนลึกของเมืองทันที
คราวนี้ ทาปาเทียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับสายลมของฤดูร้อนกำลังพัดผ่าน “พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ อีกหกสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่เป็นคู่แข่งของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามาช้านาน แต่น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหลายปี สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ายังคงเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน เป็นสถานะที่พวกเขาไม่อาจสั่นคลอนได้”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ มันเป็นทัศนคติที่หยิ่งยโส ซึ่งมาจากความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง และภาคภูมิใจในฐานะสมาชิกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
ใช่แล้ว สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน นอกจากนี้ ยังครองอันดับหนึ่งมาเนิ่นนาน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีความภูมิใจ และมั่นใจเช่นนี้
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทาปาเทียนซีกล่าว ศิษย์ทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจและเต็มไปด้วยเกียรติ แผ่นหลังพลันตั้งตรงดุจคันทวน ใช่แล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน ดังนั้นควรภูมิใจอย่างสมฐานะ!
เฉินซีถอนหายใจ สิ่งเหล่านี้เป็นทรัพยากร และกองกำลังเฉพาะของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในภพเซียน บางทีคน ๆ หนึ่งอาจไม่สามารถสัมผัสได้ ขณะอยู่ในสำนักศึกษา แต่คนที่อยู่ในโลกภายนอก อาจสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่ามันน่าตกใจเพียงใด จากสายตาหวาดกลัว และเคารพเมื่อครู่นี้
เฉินซีทราบดีว่า อีกหกสำนักศึกษา ได้แก่ สำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษากระแสวาตะ สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย สำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ และสำนักศึกษานภาไพศาล
สำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหกนี้ ได้กระจายอยู่ในอีกสามมหาทวีป ตัวอย่างเช่น สำนักศึกษากระแสวาตะ และสำนักศึกษาเมฆาหมอก ตั้งอยู่ในทวีปนภาเหมันต์ สำนักศึกษาระทมสันต์ และสำนักศึกษามหาเดียวดาย ตั้งอยู่ในทวีปรัตติกาล ส่วนสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ และสำนักศึกษานภาไพศาล ตั้งอยู่ในทวีปวิถีล้ำลึก
มีเพียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่ครอบครองทวีปดาราวีรบุรุษ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่มหาทวีปที่ยิ่งใหญ่
ขณะเดินทางต่อไป เฉินซีก็เข้าใจจากสิ่งที่ทาปาเทียนซีกล่าวในภายหลังว่า การสอบที่สมรภูมิฝันร้ายในครั้งนี้ จะมีศิษย์จากอีกหกสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่เข้าร่วมด้วย
ทุกสำนักศึกษาจะส่งศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำออกไปที่ละห้าสิบคน ซึ่งกฎก็คล้ายกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และเป็นความตั้งใจของสภาเซียนกลาง ที่ทำในลักษณะนี้ ก็เพื่อขัดเกลาพลังฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ ดังนั้นเมื่อสงครามระหว่างภพทั้งสามกับคนต่างพิภพปะทุขึ้นในอนาคต พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับภัยร้ายทั้งปวง
…
ไม่นานนัก ทุกคนก็มาถึงหน้าอาคารเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่ใจกลางเมืองเมฆาสุบิน
แม้จะกล่าวว่ายิ่งใหญ่ แต่ความจริง มันเพียงยังคงสภาพเดิม เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างที่ได้รับความเสียหายในบริเวณใกล้เคียง
ท้ายที่สุด เมืองเมฆาสุบินตั้งอยู่ ณ พรมแดนของสามภพและนอกพิภพ เกิดการต่อสู้ปะทุขึ้นตลอดทั้งปี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่สิ่งก่อสร้างจะคงสภาพเดิมไว้ได้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! พี่โจวในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึง” ที่เบื้องหน้าอาคาร มีชายหัวโล้นร่างกายกำยำที่มีคิ้วสีดำสนิทซึ่งคมกริบดุจกระบี่ เขาสังเกตเห็นโจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ จากระยะไกล จึงเปล่งเสียงหัวเราะดังกึกก้อง พลางก้าวเท้าไปทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เจ้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ทั้งที่ผ่านไปหลายปีแล้วแท้ ๆ” โจวจื่อหลีหัวเราะเช่นกัน
“นี่คือผู้รับผิดชอบภายในเมืองเมฆาสุบินจากสภาเซียนกลาง นามของเขาคือ ตงจวินโหว เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นที่มีพลังฝีมือดุร้าย ประจำการอยู่ที่นี่มานานกว่าหมื่นปี และเขาเข้าร่วมการต่อสู้กับคนจากต่างพิภพมาตลอดทั้งปี ความแข็งแกร่งจึงน่าเกรงขามอย่างยิ่ง”
ทาปาเทียนซีที่อยู่ใกล้ ๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เขาเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าปีเดียวกับพี่โจว ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทว่าตั้งแต่เขาออกจากสำนักศึกษา ตงจวินโหวก็รับใช้สภาเซียนกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้พบกันมากว่าพันปี”
เฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าใจทันที และถอนหายใจ “ที่แท้บุคคลสำคัญจากสภาเซียนกลาง ซึ่งประจำการอยู่ในเมืองเมฆาสุบินก็มาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเช่นกัน”
หลังจากพูดคุยกันสั้น ๆ ตงจวินโหวก็ต้อนรับกลุ่มของพวกเขาเข้าไปในอาคารโบราณ
มีร่างมากมายนั่งอยู่ในห้องโถง ทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาต่างมีกลิ่นอายที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์และศิษย์จากหกสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นการมาถึงของกลุ่มสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เสียงพูดคุยภายในห้องโถงพลันเงียบลง ทุกคนต่างจ้องมองมาเป็นตาเดียว
“พี่โจว”
“ฮ่า ฮ่า หวังต้าวหลู! เจ้าก็มาเหมือนกัน”
“โอ้ ตาเฒ่าทาปา เจ้าดูอายุน้อยลงทุกครั้งที่เจอกันจริง ๆ”
อาจารย์หลายคนลุกขึ้นยืนและพูดคุยกับโจวจื่อหลี หวังต้าวหลู และคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ลุกขึ้นยืน สายตาของพวกเขาเผยให้เห็นความระแวดระวัง และความเป็นปรปักษ์
เฉินซีสังเกตเห็นสิ่งนี้ และอดไม่ได้ที่จะขบขันในใจ บางคนแสดงความเป็นมิตร บางคนก็แสดงความเป็นศัตรู ทุกสิ่งในโลกนี้ก็เหมือนกันหมด
ในที่สุด โจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ ก็นั่งลงที่ด้านหนึ่งของห้องโถง
ตงจวินโหวหัวเราะเต็มเสียง “เอาล่ะ กองกำลังของสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดมาถึงแล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันก็ดึงความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที
“พวกคนต่างพิภพได้นำกองกำลังมาประจำการเมื่อเร็ว ๆ นี้ และส่งกองกำลังจำนวนมากเข้าไปในแม่น้ำแห่งดวงดาว คาดว่าพวกมันตั้งใจยึดฐานที่มั่นในภพเซียน แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ร้ายแรง แต่สัญญาณที่ไม่นับว่าดีนัก!”
เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ตอนนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นอำมหิตและดุร้ายทันที จากนั้นเขาก็แค่นหัวเราะแล้วหันมาพูดกับบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหลาย “แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า ภารกิจของพวกเจ้านั้นง่ายมาก เจ้าจะเข้าสู่สมรภูมิฝันร้ายในวันพรุ่งนี้ และสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพของขอบเขตเซียนทองคำให้ได้มากที่สุด นั่นคือทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องทำ”
สิ้นคำ เขาก็สะบัดแขนเสื้อออก สมบัติที่เปล่งประกายหลากสีปรากฏขึ้นบนโต๊ะตรงหน้า
“นี่คือสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ และสมบัติอมตะระดับจักรวาลสองชิ้น เป็นรางวัลที่ได้รับจากสภาเซียนกลาง ศิษย์สามอันดับแรกที่สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำมากที่สุดในระหว่างการสอบ จะสามารถรับรางวัลทั้งสามนี้ตามอันดับ!”
เสียงที่เหมือนระฆังก้องกังวานไปทั่วห้องโถง เรียกสายตามากมายให้จดจ่ออยู่ที่สมบัติอมตะบนโต๊ะ ความปรารถนาอันแรงกล้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทุกคน
“สภาเซียนกลางได้มอบสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษเป็นรางวัล ช่างใจป้ำเสียเหลือเกิน!”