บทที่ 1230 ดินแดนแห่งวาสนา
บทที่ 1230 ดินแดนแห่งวาสนา
ในช่วงห้าเดือนก่อน เมื่อเฉินซีเพิ่งเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำในเวลาหนึ่งเดือน เขาสามารถเอาชนะหลิวเจ๋อเฟิง และศิษย์อาวุโสอีกสิบคนจากสำนักฝ่ายนอกได้ด้วยตัวคนเดียว
พวกเขาต่างเป็นตัวตนที่อยู่ขอบเขตเซียนทองคำ และเป็นอัจฉริยะในหมู่ศิษย์อาวุโส ตอนนี้ผ่านมาห้าเดือนแล้ว เฉินซีผ่านการปิดด่านบ่มเพาะจากโลกแห่งดารา ทำให้พละกำลังพัฒนาขึ้นอีกมาก
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จึงไม่ใช่ปัญหาที่เฉินซีจะสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดคนได้ หากไม่ใช่เพราะตอนแรกกังวลเรื่องเปิดเผยพละกำลังมากเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนหลบหนี เขาคงสามารถจบการต่อสู้ได้เร็วกว่านี้
มันไม่ได้หมายความว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพไร้ความสามารถ พวกมันสามารถรอดจากสมารภูมิฝันร้ายมาได้ พละกำลังการต่อสู้ย่อมไม่อาจเทียบเคียง จึงกล่าวได้ว่าเป็นเพราะโชคไม่ดีที่เผชิญหน้ากับตัวประหลาดอย่างเฉินซี
ยามนี้ ท่ามกลางท้องนภาดาราเต็มไปด้วยซากศพบิดเบี้ยวลอยไปมา โลหิตสีแดงเข้มแปรเปลี่ยนเป็นหมู่เมฆสีแดง ลอยล่องอยู่ในห้วงอากาศ มันเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดอันน่าสยดสยอง
กองทัพเผ่าพันธุ์ต่างพิภพนี้มาจากพิภพผังแสง ซึ่งมีใบหน้ามนุษย์และร่างกายเป็นสัตว์ พวกมันมีสี่แขนและสูงเก้าจั้ง เป็นรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดยิ่ง
ตามคำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว เฉินซีหยิบสิ่งที่เหมือนเมล็ดข้าวออกมาจากหูซ้ายของผู้เยี่ยมยุทธ์พิภพผังแสง มันคืออวัยวะของเผ่าผังแสงมีชื่อว่าถุงหู เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถใช้กักเก็บสมบัติเซียนได้
หากไม่คุ้นชินกับคุณลักษณะของเผ่าผังแสง ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าอวัยวะที่เรียกว่าถุงหูนี้ จะมีหน้าที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
ชายหนุ่มพยายามเปิดถุงหูก่อนจะพบว่าพื้นที่ข้างในมีขนาดใหญ่มาก ไม่แตกต่างจากพื้นที่เก็บสมบัติเซียนประเภทอื่น มันเต็มไปด้วยวัสดุจำนวนมากที่พบได้เพียงต่างพิภพ จึงไม่สามารถประเมินมูลค่าของมันได้
ถึงอย่างไรมันเป็นเพียงสิ่งที่มีในต่างพิภพเท่านั้น จึงต้องทำการประเมินมูลค่าทีละชิ้น
ท้ายที่สุด เฉินซีได้รับถุงหู 3,080 ชิ้น มีแปดชิ้นมาจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำของเผ่าผังแสง มันไม่เหมือนกับถุงหูอื่นตรงที่เป็นสีทองประหนึ่งหยาดฝน ส่วนของห้าชิ้นซึ่งอยู่ภายในก็มั่งคั่งไม่แพ้กัน
“หากข้ากลับสำนักเมื่อไร คงต้องไปหาผู้ประเมินราคาเพื่อประเมินมูลค่าสมบัติเหล่านี้ แล้วเก็บอันที่เป็นประโยชน์ที่สุดไว้กับตัว ส่วนที่ไร้ประโยชน์ก็ขายทิ้ง พวกมันน่าจะสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่งมหาศาลได้”
เฉินซีเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
ในยามนี้ เสี่ยวชิงชิงเคลื่อนไหวด้วยการเปลี่ยนเป็นพายุกลืนกิน เพื่อกวาดล้างพลังแห่งกฎเกณฑ์จากซากศพเผ่าผังแสง
“หากเจ้ากลืนกินเข้าไปทั้งอย่างนี้ เกรงว่าคงใช้เวลาไม่นานก่อนจะก็สามารถทำให้กฎเกณฑ์มหาวิถีทั้งสี่ไปถึงขั้นสมบูรณ์…”
เมื่อเห็นท่าทีเริงร่าของเสี่ยวชิงชิง และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งกฎอันทรงพลังที่เพิ่มขึ้นทั่วร่าง
เฉินซีก็บังเกิดความอิจฉา ชิงชิงสามารถกลืนกินกฎของอีกฝ่ายเพื่อนำมาใช้เองได้ โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผู้อื่นอิจฉาได้อย่างไร?
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
มีเสียงทะลวงผ่านอากาศดังขึ้น เฉินซีจึงหันไปมองก่อนจะพบศิษย์ห้าคนจากสำนักศึกษาเมฆาหมอกทะยานเข้ามา
ยิ่งเขาเห็นศิษย์พี่หลิ่วผู้สง่างาม เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ถึงแม้เมื่อครู่จะกำลังพัวพันกับการต่อสู้ แต่ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาชัดเจน ทำให้ทราบว่าสตรีนางนี้วางแผน ‘ส่งถ่านให้กลางหิมะ’
“กลายเป็นว่าสหายเต๋าเก่งกาจการต่อสู้ เมื่อครู่ข้ามีตาหามีแววไม่”
ศิษย์พี่ฉู่แย้มยิ้มขณะก้าวมาข้างหน้า จากนั้นประสานมือเพื่อขอโทษ ยามนี้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปมาก โดยมีร่องรอยความเคารพเจืออยู่ในคำพูด
“ชมเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มส่งยิ้มกลับ
“สหายเต๋า หรือว่าเจ้าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพมังกรที่เป็นอันดับหนึ่งในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ของสำนักจักรพรรดิเต๋า อ๋าวจ้านเป่ยหรือ?” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่ใช่อยู่แล้ว”
ก่อนเฉินซีจะทันได้เอ่ยอะไร ก็มีใครบางคนโต้แย้ง “ข้าดูวิธีการต่อสู้ของศิษย์พี่เต๋าผู้นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มาจากภพมังกร นอกจากนี้ อ๋าวจ้านเป่ยอาจจะไม่มีพลังต่อสู้ถึงขนาดนี้”
“หรือว่าจะเป็นจั่วชิวจวิน ข้าได้ยินมาว่าเขาอยู่อันดับสองในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ใช่หรือไม่?” ศิษย์พี่หลิ่วผู้สง่างามพลันเอ่ยขึ้น สายตาของนางที่มองเฉินซีเต็มไปด้วยความหลงใหล
จั่วชิวจวินคือเด็กผู้มีพรสวรรค์จากตระกูลจั่วชิว เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณ มีภูมิหลังลึกล้ำและอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ว่าไปที่ใดก็ได้รับความเคารพ ถึงแม้ศิษย์พี่หลิ่วจะเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอก แต่นางก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจั่วชิวจวินมาไม่น้อย
น่าเสียดาย ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างสงบ “พวกเจ้าไม่ต้องเดาให้เสียเวลาหรอก นามของข้าคือเฉินซี หาได้มาจากตระกูลจั่วชิวไม่”
สีหน้าของศิษย์พี่หลิ่วแข็งทื่อ ก่อนจะรู้สึกว่าสิ่งที่คาดเดาไปเมื่อครู่คล้ายกับทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองโดยไม่ตั้งใจ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตก
นางไม่ทราบว่าตนได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองนานแล้ว แต่เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะมาสนใจ
“เฉินซี!”
ใครบางคนพลันอุทาน “ข้ารู้จัก เจ้าคืออันดับหนึ่งในการทดสอบศิษย์ใหม่ของสำนักจักรพรรดิเต๋า ได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพเหนือระดับฟ้าดินร้องสอดประสาน!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาลังเลอีกครั้ง “แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งเข้าสำนักจักรพรรดิเต๋ามาได้เพียงสองปี หรือเพียงสองปีก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำจนติดห้าสิบอันดับแรกในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ได้แล้วหรือ?”
สิ้นคำ พวกศิษย์พี่ฉู่ต่างนึกถึงข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเฉินซี พวกเขาบังเกิดความประหลาดใจหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ในฐานะศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอก พวกเขาย่อมมองว่าศิษย์ในสำนักจักรพรรดิเต๋าเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด ดังนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฉินซีเป็นใคร?
ต่อให้ควานหาทั่วทั้งสี่มหาทวีป ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักนามของเฉินซี!
ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็คือศิษย์ใหม่คนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่สำนักจักรพรรดิเต๋าในขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นต้น ชื่อเสียงขจรไปไกล ไม่มีใครไม่รู้จักคนผู้นี้
แต่คาดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงสองปี ศิษย์ใหม่อันดับหนึ่งในสำนักจักรพรรดิเต๋าจะเลื่อนบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ จนถึงกับสามารถเข้าร่วมในการทดสอบในสมารภูมิฝันร้ายได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากที่สุด
เพียงชั่วครู่ บรรยากาศก็หมองหม่น แต่เฉินซีกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงเอ่ยตามตรง “สหายเต๋า หากพวกเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
สิ้นคำ เขากำลังจะจากไปพร้อมเสี่ยวชิงชิง
“พี่เฉินซีรอก่อน!”
ศิษย์พี่ฉู่รีบก้าวมาข้างหน้าขณะเอ่ยตามตรง “พูดตามตรง ข้ามาที่นี่เพราะอยากร่วมมือทำบางอย่างกับพี่เฉินซี”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หืม?”
เมื่อศิษย์พี่ฉู่เห็นดังนี้ก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก่อนหน้านี้กลุ่มของพวกเขาประสบกับการฝึกบนดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าหมึกโลหิต ก่อนจะบังเอิญไปสังเกตเห็นว่ามีสัตว์ร้ายต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำมากกว่าสามสิบตนอยู่บนดาวหมึกโลหิต แต่ด้วยความสามารถของพวกเขาจึงตระหนักได้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่เข้ามาพัวพันแข็งแกร่งกว่า จึงไม่กล้าท้าทายทำได้เพียงหลบเลี่ยงแล้วรีบออกมา
แต่หลังจากได้เห็นพลังต่อสู้อันเกรี้ยวกราด และขัดต่อสวรรค์ของเฉินซี พวกเขาจึงอยากร่วมมือกับคนผู้นี้ ไปดาวหมึกโลหิตเพื่อจัดการกับสัตว์ร้ายต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำมากกว่าสามสิบตน หากเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็สามารถล่าเป้าหมายที่จำเป็นต่อการทดสอบ นับว่าได้ประโยชน์ร่วมกัน
หลังจากเล่าทั้งหมดนี้ พวกศิษย์พี่ฉู่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดหวัง
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยคำ “เกรงว่าข้าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญอื่นที่ต้องทำ ไม่อาจล่าช้าไปกว่านี้ได้”
พวกศิษย์พี่ฉู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังหลังจากได้ยินเช่นนี้ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่รบกวนสหายเต๋าเฉินซีแล้ว”
เฉินซีประสานมือ “ข้าหวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมมือกันในอนาคต”
สิ้นคำ ร่างของเขาวูบไหวแล้วพาเสี่ยวชิงชิงมุ่งไปยังส่วนลึกของท้องนภาดาราอันไกลลิบ
“เหอะ! ทำตัววิเศษวิโส นึกว่าดีกว่าคนอื่นหรืออย่างไร ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ได้พบโชคร้าย”
เมื่อเห็นว่าเฉินซีพ้นสายตา ศิษย์พี่หลิ่วจึงระบายความไม่พอใจออกมาพลางพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
“เรื่องแบบนี้จะไปบังคับกันได้อย่างไร? คงโทษได้แค่พวกเราแข็งแกร่งไม่พอ จะโทษผู้อื่นไม่ได้”
ศิษย์พี่ฉู่ขมวดคิ้วพลางชำเลืองมองศิษย์พี่หลิ่ว เขารู้สึกว่าทัศนคติของนางออกจะรุนแรงเกินไป
ศิษย์พี่หลิ่วเม้มริมฝีปาก และกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิบัติด้วยท่าทีเฉยชา นางจึงปิดปากอีกครา ในใจยิ่งหงุดหงิด ข้าทำผิดตรงไหน?
“ไปเถอะ การต่อสู้ครั้งใหญ่เพิ่งจะเกิดขึ้นที่นี่ เกรงว่าจะดึงดูดความสนใจจากผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพจำนวนมากเข้ามา รีบออกไปก่อน ตามหาสหายคนอื่น แล้วมุ่งหน้าสู่ดาวหมึกโลหิตกัน”
ศิษย์พี่ฉู่สะบัดมือก่อนจะจากไปพร้อมกับกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว
…
“เหตุใดเจ้าไม่ร่วมมือกับพวกเขา?” หม้อใบจิ๋วเอ่ยถามระหว่างทาง
“มีสัตว์ร้ายต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำมากกว่าสามสิบตน ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการ
พวกมันได้ พอพูดถึงเรื่องร่วมมือกับพวกเขาก็กังวลว่าจะเกิดข้อพิพาทตอนแบ่งสมบัติในตอนท้าย แทนที่จะทำเช่นนั้น สู้ไม่ลงไปเดินในน้ำโคลนดีกว่า”
เฉินซีตอบอย่างราบเรียบขณะเร่งความเร็ว ก่อนจะเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส สมบัติที่คงอยู่บนดาวอสูรคือสิ่งใด?”
“เจ้าต้องทราบก่อนว่ามันคือสมรภูมิระหว่างสามภพ และโลกต่างพิภพคงอยู่มาตั้งแต่อดีตกาล มีบุคคลยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนถูกฝังอยู่ภายในนั้น ก่อนพวกเขาตาย สมบัติโบราณจำนวนมากจะถูกทิ้งไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะถูกฝังอยู่ที่นั่น”
“ลองจินตนาการดู มีผู้เยี่ยมยุทธ์กี่คนที่ล่วงลับบนสมรภูมิในช่วงเวลาที่ผ่านมาบ้าง? แน่นอนว่ามีมากมายนับไม่ถ้วน แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? วาสนาอย่างไรเล่า!”
หม้อใบจิ๋วไม่ตอบคำถามเฉินซีโดยตรง แต่กลับเอ่ยถึงวาสนาที่เป็นไปได้บนสมรภูมิ
“แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ผู้คนย่อมมองออกนานแล้ว ทำให้มีวาสนามากมายถูกค้นพบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พบของดีที่นั่น”
“หรือว่าจะมีวาสนาอยู่บนดาวอสูร?” เมื่อนั้นเฉินซีพลันเข้าใจ
“ข้าไม่มั่นใจว่ามันถูกเก็บไปแล้วหรือไม่ ดังนั้นไปยืนยันด้วยตัวเองย่อมดีกว่า” หม้อใบจิ๋วไม่ปกปิดสิ่งใดและตอบตามตรง
เฉินซีครุ่นคิดสักพักแล้วเอ่ยถาม “อันตรายหรือไม่?”
“ความมั่งคั่งอยู่ท่ามกลางความอันตราย ยิ่งวาสนาดีเท่าไรยิ่งเสี่ยงมากเท่านั้น ในตอนนั้นมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนครึ่งขั้นกำลังตามหาวาสนาเพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนในสมรภูมิกว้างใหญ่แห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นราชาเซียนนภาเหมันต์ในตอนนี้ ที่ได้รับหัวใจเต๋านิพพานปฐมศักดิ์สิทธิ์จนทะลวงขอบเขตราชาเซียนได้ในคราวเดียว”
หม้อใบจิ๋วเปิดเผยความลับโดยไม่ตั้งใจ ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนลอบเดาะลิ้น เขาไม่เคยคาดคิดว่าในสมรภูมิกว้างใหญ่แห่งนี้จะมีวาสนาขัดต่อสวรรค์เช่นนั้น!
—————————————————-