บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1231 ฉกเหยื่อของผู้อื่น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1231 ฉกเหยื่อของผู้อื่น

บทที่ 1231 ฉกเหยื่อของผู้อื่น

ฟิ่ว!

วันต่อมา เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว ดาวสีฟ้าขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในระยะสายตา

มันคือ ‘ดาวอสูร’ ซึ่งตามแผนที่ ดาวดวงนี้ตั้งอยู่ใจกลางของสมรภูมิฝันร้าย และหากใครเข้าไปลึกกว่านี้ก็จะไปถึงพื้นที่หลักของสมรภูมิฝันร้าย

“ในที่สุดข้าก็มาถึง…”

ทั่วทั้งร่างกายของเฉินซีรู้สึกผ่อนคลาย เขาบินไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของวัน เขาผ่านดวงดาวเกือบพันดวง อีกทั้งยังประสบกับอันตรายนับไม่ถ้วนตลอดเส้นทาง

มีทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวถูกตัดผ่า

มีทั้งบริเวณที่มีพายุมิติกวาดไปรอบด้าน

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวอยู่หลายครั้ง ซึ่งมาจากฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ หรือสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขาพบเจอมามากมายจนจดจำพวกมันส่วนใหญ่แทบไม่ได้

ครั้งหนึ่งเขาเกือบตกลงไปในหลุมดำขณะเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ ความหวาดกลัวแล่นพล่านจนหลั่งเหงื่อเย็น เพราะหลุมดำไม่ใช่เรื่องตลก หากผู้ใดตกลงไปในหลุมดำแล้วละก็ แม้แต่ผู้เป็นเซียนปราชญ์ก็ไร้พลังที่จะต่อต้านมัน จะถูกกลืนกินและบดขยี้เป็นผุยผงในพริบตา แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจหลีกหนี

“น่าเสียดายตลอดทางข้ามานี่ไม่พบผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพเลย…”

เฉินซีตรวจสอบตราดาราม่วง และสังเกตเห็นว่าตัวเลขด้านหลังบันทึกผลการต่อสู้ยังคงเป็นเลข

‘เก้า’ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าต้องการบรรลุข้อกำหนดขั้นต่ำเพื่อผ่านการสอบของสำนักฝ่ายใน

อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจัดการผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพอีก 91 คน

“ข้าหวังว่าจะได้พบกับพวกเขาในดาวอสูร…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นพุ่งไปยังดาวอสูรที่อยู่ห่างไกล

โฮก!

ทว่าก่อนเฉินซีจะได้เข้าใกล้ดาวอสูร เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนพสุธาก็ดังขึ้นจากในดาวดวงนั้น ร่างของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

แขนขาของมันเหมือนเสาขนาดใหญ่ที่สามารถค้ำยันท้องฟ้า แผ่นหลังปกคลุมด้วยชุดเกราะสีเขียวเข้มที่ดูเหมือนหิน และมีส่วนหัวคล้ายเนินเขาเล็ก ๆ ซึ่งมีร่างเพรียวบางยืนอยู่บนยอดนั้นอย่างภาคภูมิ

“นี่คือเต่าเทวะเกราะดำ มันมีความแข็งแกร่งทางร่างกายที่ไร้ขีดจำกัด และเป็นสัตว์ร้ายในพิภพนภาสูญตา ร่างที่ยืนอยู่บนนั้นอาจเป็นสมาชิกของพิภพนภาสูญตา” หม้อใบจิ๋วแนะนำอย่างตั้งใจ และกล่าวว่า “จงระวังผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพนภาสูญตาให้ดี พวกมันมีความชำนาญในมหาเต๋าแห่งเสียงที่มีอำนาจสังหารได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นเจ้าจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น”

เฉินซีพยักหน้า เขาสัมผัสได้ถึงการจับจ้องจากผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ เห็นได้ชัดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์

จากต่างพิภพคนนี้ มีเป้าหมายคือตนอย่างแน่นอน ตอนแรกเขากังวลว่าจะไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพให้ตามล่าและสังหาร แต่ตอนนี้มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเช่นนี้ จะให้ปล่อยผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนนี้ไปได้อย่างไร

คนของพิภพนภาสูญตาผู้นี้ มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา สวมเสื้อผ้าหรูหราสีทองอ่อน มีลักษณะไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือผิวของเขาถูกอาบย้อมด้วยแสงสีเงินจาง ๆ ทำให้ลักษณะท่าทางดูศักดิ์สิทธิ์และสำอางดั่งสตรี

“ที่แท้ก็เป็นสหายเต๋าจากภพทั้งสาม ข้าหลานถิงจากพิภพนภาสูญตา ข้าสงสัยว่าสหายเต๋าสนใจจะฟังท่วงทำนองของข้าหรือไม่?” ผู้เยี่ยมยุทธ์ของพิภพนภาสูญตาเป่านกหวีดเหนือเต๋าเทวะเกราะดำ คนผู้นั้นหยุดห่างจากเฉินซีราวสองลี้ครึ่ง ฝ่ามือเรียวงามพลิกขึ้น เรียกขลุ่ยไม้ไผ่ยาว 24 ชุ่นกลมเกลี้ยง โปร่งแสง และเขียวขจีขึ้นบนฝ่ามือ

ขลุ่ยไม้ไผ่นี้มีทั้งหมดเก้ารู แต่ละรูมีสีแดงเข้มและสวยงามดุจเลือด อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานผันผวนอย่างน่าตกใจ

“ข้าไม่สนใจ” เฉินซีปฏิเสธทันควัน ขณะที่กล่าว ชายหนุ่มก็ชักกระบี่ตะขอดาราออกมาจนเกิด

เสียงดังเคร้ง

โฮก!

ดวงตาขนาดเท่าโคมไฟของเต๋าเทวะเกราะดำก็สว่างวาบด้วยแสงดุร้ายมัน เปล่งเสียงคำรามที่ฟังดูเหมือนเสียงฟ้าร้อง

“สหายเต๋า ไยเราถึงต้องประมือกันด้วย? ลองฟังท่วงทำนองของข้าดูสักครั้ง แล้วข้าจะหลีกทางให้กับสหายเต๋าผ่านไป ตกลงหรือไม่?” ชายหนุ่มชุดทองที่เรียกตัวเองว่าหลานถิงแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนจะวางขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่ริมฝีปาก แล้วเสียงขลุ่ยเสนาะหูก็ดังขึ้นล่องลอยไปทั่วบริเวณโดยรอบ

เกิดเป็นฉากของฟ้าหลังฝนที่พร่ามัวแผ่ขยายอยู่ในอากาศ ดอกไม้สดร่วงหล่นโปรยปราย จากนั้นเงาร่างของหญิงสาวงดงามเปี่ยมเสน่ห์ก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง บางคนดีดพิณ บางคนเป่าขลุ่ย บางคนก็ร้องเพลงเสียงใส ทั้งหมดนี้ผสมผสานเข้ากับเสียงขลุ่ยในมือของชายผู้นั้นได้อย่างไร้ที่ติ มันแผ่กลิ่นอายความสงบ แทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณผู้ฟัง

หากที่นี่ไม่ใช่สมรภูมิฝันร้าย ใครก็ตามที่เห็นฉากนี้ คงจะต้องปรบมือและอุทานด้วยความชื่นชม ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับมันอย่างเปรมปรีดิ์ เพราะท่วงทำนองอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลกของมนุษย์

แต่ไม่ใช่เฉินซี ยามเมื่อเสียงขลุ่ยเริ่มบรรเลง หมอกควันสีเทา อุกกาบาตและเมฆก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังสึกกร่อนด้วยแรงที่ไร้รูปร่าง เผยให้เห็นรอยแยกและรอยร้าวมากมาย

ท่วงทำนองเคลื่อนคล้อย แต่อานุภาพของมันกลับน่าตกตะลึงจนถึงขีดสุด!

ในเวลาเดียวกับที่ท่วงทำนองนั้นแว่วเข้าหู จิตใจของเฉินซีพลันมืดบอด ฉากอันน่าสะพรึงกลัวของปีศาจท่องไปทั่วหล้า ภูติผีและสัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องโหยหวน ซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา และเลือดสด ๆ ที่อาบไล้ไปทั้งโลกก็ปรากฏขึ้น พลังนี้เย็นชา มืดมน น่าสยดสยอง และครอบงำอย่างแท้จริง มันถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกัดกร่อนดวงวิญญาณและดวงจิตแห่งเต๋า ซึ่งหากเป็นคนอื่นประสบกับสิ่งนี้ ก็คงจบชีวิตลงทันที!

ทว่าด้วยรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีภายในห้วงจิตสำนึก และชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ปกป้องมันไว้ รวมถึงการบ่มเพาะในดวงจิตแห่งเต๋าที่บรรลุถึงขอบเขตวิญญาณดวงใจ แม้ท่วงทำนองจะน่ากลัวเพียงใด ก็ไม่อาจทำอะไรเฉินซีได้

ชายหนุ่มเพียงมองผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพนภาสูญตาอย่างใจเย็น พลางฟังท่วงทำนองเงียบ ๆ

“หืม?” หลานถิงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากนั้นขลุ่ยไม้ไผ่ในมือก็เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาเต็มท้องฟ้า ท่วงทำนองมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ ประหนึ่งน้ำพุบนภูเขาที่ไหลออกมาดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

ทันใดนั้น ท้องฟ้าระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ อุกกาบาตกลายเป็นเถ้าถ่าน พื้นที่ในระยะ 2,500 ลี้ที่อยู่ใกล้เคียง ราวกับถูกฉีกกระชากด้วยมือที่มองไม่เห็น และน่าสะพรึงกลัว

ทว่า เฉินซีที่ยืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เสื้อผ้ากระพือไปตามแรงลม แต่ก็ไม่มีอะไรทำอันตรายเขาได้

“ฮึ่ม!” ใบหน้าหล่อเหลาของหลานถิงแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นก็พ่นแก่นโลหิตใส่ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือ ท่วงทำนองพลันแปรเปลี่ยนในฉับพลัน อานุภาพเพิ่มพูน มหาศาล และยิ่งใหญ่ มันก่อตัวเป็นร่างลวงตาของยักษ์จำนวนมาก ซึ่งเปล่งเสียงคำรามขณะพุ่งเข้าหาเฉินซี

“มีแค่นี้เองหรือ?” เมื่อเห็นสิ่งนี้ รอยยิ้มเย็นยะเยือกปกคลุมมุมปากของเฉินซี ในพริบตาต่อมา ชายหนุ่มก้าวไปในอากาศ ก่อนจะหายไปในฉับพลัน

ฟิ่ว!

เศษเสี้ยวของปราณกระบี่ที่เป็นระลอกคลื่นพร่างพราวพลันกวาดออกไป มันฟาดฟันผ่านอากาศ ทุกที่ที่มันผ่านไป ร่างลวงตาของยักษ์ก็ถูกทำลายล้าง พวกมันแทบไม่สามารถต้านทานเศษเสี้ยวของปราณกระบี่ได้เลย

“ปะ… เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลานถิงตกตะลึง ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดสักเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมเฉินซีถึงไม่ได้รับผลกระทบจากท่วงทำนองของตน

โฮก!

จู่ ๆ เต๋าเทวะเกราะดำก็ยกแขนขาขนาดมหึมาของมันขึ้น และตบมันลงไปที่ปราณกระบี่ของเฉินซี โชคไม่ดีที่มันประเมินความน่ากลัวของปราณกระบี่นี้ต่ำไป แขนขาของมันถูกตัดขาด เลือดสีเขียวขุ่นกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วท้องฟ้า ร่างกายใหญ่โตส่ายไปมาอย่างรุนแรง

ฉากนี้ทำให้หลานถิงโกรธแค้นฟื้นคืนสติในทันที รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยว ทำให้ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า คนจากสามภพผู้นี้ มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา และทำให้กฎแห่งเสียงไม่สามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

“ไปกันเถอะ!” โดยไม่ลังเลใด ๆ หลานถิงเร่งเต๋าเทวะเกราะดำ เขารีบหันหลัง และเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติออกไป

โอม~

ทว่าจู่ ๆ อากาศก็เริ่มสั่นสะเทือนและลอยไปทั่วร่างกายของหลานถิง คล้ายถูกควบคุมโดยใครบางคน ทำให้หลานถิงไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติได้!

“นี่มัน… กฏแห่งมิติหรือ?” หลานถิงรู้สึกประหลาดใจ และหวาดกลัวอย่างยิ่ง

อาการตกใจยังไม่ทันจางหาย เศษเสี้ยวของปราณกระบี่ก็พุ่งออกมาจากอากาศด้านหลังคอของตนอย่างเงียบเชียบ มันฟันลงมาและเฉือนศีรษะของเขาจนเกิดเสียงดังฉับ!

เลือดพุ่งทะลักออกมาจากซากศพที่ไร้หัว และสาดกระเซ็นอาบย้อมเต่าเทวะเกราะดำทั้งตัว ทำให้สัตว์ร้ายตัวนี้เปล่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธจัด ดวงตาของมันกลายเป็นสีแดงเลือด ขณะจ้องเขม็งไปที่เฉินซีด้วยความอาฆาตแค้น

ตูม!

ขาของมันกระทืบพื้น ทั้งร่างลุกโชนด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินที่พลุ่งพล่าน กลิ่นอายอันโอ่อ่าของมันก็รุนแรงมากขึ้น มันพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างรวดเร็ว

“ไม่คิดเลยว่าสัตว์ร้ายจะภักดีได้ถึงเพียงนี้ เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ต้องทรมาน” เฉินซีกำลังจะสังหารเต่าเทวะเกราะดำตัวนี้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่เสียงฟู่เสียดแทงหูก็ดังขึ้น พร้อมกับลำแสงที่พุ่งออกมาจากดาวอสูรทางด้านหลัง!

เสียงระเบิดกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วอากาศ ร่างกว่าครึ่งของเต่าเทวะเกราะดำขนาดมหึมาถูกทำลายไปจากการโจมตีครั้งนี้ มันไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงร้องโหยหวน สิ้นชีพทันที!

ใบหน้าของเฉินซีจมดิ่งลงทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ พลางกวาดสายตาไปยังดาวอสูรที่อยู่ห่างไกล

พบร่างผอมสูงยืนอยู่ในระยะไกลลิบ เขามีใบหน้าน่ากลัวและชั่วร้าย ที่น่าตกใจ คนผู้นั้นคือจั่วชิวจวิน ซึ่งอยู่อันดับที่สองในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์

ในมือมีคันธนูโบราณขนาดใหญ่ และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ลงมือโจมตีก่อนหน้านี้

ยิ่งไปกว่านั้น มีร่างสองสามร่างยืนอยู่ข้างเคียง พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของตระกูลจั่วชิวที่ติดห้าสิบอันดับแรกในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์

“ฮ่าฮ่า ขออภัยด้วย ข้าคิดว่าสัตว์ร้ายนั้นไม่ได้เป็นของใคร แล้วเจอกันใหม่เฉินซี หวังว่าข้าจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าอีกครั้ง” จั่วชิวจวินมองเฉินซีกลับเช่นกัน เขาแสร้งทำเป็นประหลาดใจ พลางแค่นหัวเราะ จากนั้นก็โบกมือ และพาคนอื่น ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว

เฉินซีไม่ได้ไล่ล่าตามไป เพราะเสียเวลาเปล่า

ตามกฎการสอบของสำนักฝ่ายใน ได้กำชับว่าห้ามศิษย์ต่อสู้กันเอง แม้จะสามารถฆ่าผู้อื่นได้โดยไม่มีใครรู้ แต่เมื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดแบกรับได้อย่างแน่นอน

เพราะทราบถึงกฎข้อนี้ดี ท่าทางจึงค่อนข้างมืดมน เต่าเทวะเกราะดำตัวนี้มีตัวตนอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ เทียบเท่ากับการฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพ แต่กลับถูกจั่วชิวจวินฉวยโอกาสช่วงชิงไป จึงทำให้เกิดความรู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ

“ฉกเหยื่อของผู้อื่น? วิธีนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ เขาตัดสินใจแล้วว่า จะหาโอกาสไล่ตามจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ ไป ตราบใดที่พวกมันกำลังตามล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพเพื่อการสอบ เขาจะฉวยโอกาสฉกเหยื่อของพวกมันเช่นกัน!

หลังจากนั้น เฉินซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ คิ้วเรียวเลิกขึ้น พลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโส คนเหล่านี้ก็มาปรากฏตัวในดาวอสูรเช่นกัน พวกเขาคงไม่ได้มา เพราะเห็นแก่วาสนาที่ท่านกล่าวถึงใช่หรือไม่?”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท