บทที่ 1233 สุสานของราชันเซียน
บทที่ 1233 สุสานของราชันเซียน
เสียงคำรามของจั่วชิวจวินยังคงก้องอยู่ในอากาศ ทั้งที่ร่างของเฉินซีหายไปนานแล้ว
“ไอ้สารเลวนั่น! อีกไม่นานเจ้าจะต้องตายแน่!” จั่วชิวจวินหอบหายใจอย่างหนัก สีหน้ามืดมนจนน่ากลัว เขารู้ว่าเฉินซีกำลังแก้แค้นพวกตน แต่ไม่คิดว่าการถูกเอาเปรียบนั้นจะน่าโมโหถึงเพียงนี้
“พี่จวิน เราควรทำอย่างไรต่อไปดี” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม “ข้าไม่สามารถกลืนความคับข้องใจนี้ได้จริง ๆ เหตุใดเราถึงไม่ไล่ตามเจ้าเด็กบัดซบนั่นไป และใช้ประโยชน์จากมัน ในขณะที่มันตามล่า และฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!”
เหล่าศิษย์ตระกูลจั่วชิวต่างเห็นชอบความคิดนี้ และพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด
“ไม่” จั่วชิวจวินตกตะลึง จากนั้นปรับอารมณ์ให้กลับมาสงบดังเดิม และกล่าวด้วยสายตาวาวโรจน์ “พวกเจ้าไม่เห็นหรือ ว่าเจ้าเด็กนั้นโจมตีอย่างไร”
พวกเขาจ้องมองกันและกัน พลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จากนั้นความตกใจ และความหวาดกลัวก็ปกคลุมไปทั้งใบหน้า
ใช่แล้ว พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเฉินซีโจมตีอย่างไร!
“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง? เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ มันอันตรายอย่างยิ่ง ถ้ามันโจมตีเรา ผลลัพธ์ก็คงยากที่จะระบุได้” จั่วชิวจวินหายใจเข้าลึก และถอนหายใจ
“มัน… มันคงไม่ได้เข้าใจต่อมหาเต๋าแห่งมิติใช่หรือไม่?” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจและสับสน
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็คัดค้าน เพราะมันช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่ง! เนื่องจากมหาเต๋าแห่งมิติเป็นหนึ่งในสามกฎสูงสุด ที่มีเพียงตัวตนที่ขอบเขตราชันเซียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ ดังนั้นตัวตนที่เซียนทองคำจะทำได้อย่างไร?
“มันเป็นไปได้เช่นกัน อย่าลืมว่าตราศักดิ์สิทธิ์ที่อวิ๋นฝูเซิงได้รับเมื่อหลายปีก่อนคือเงาแห่งกาลเวลา เป็นแขนงหนึ่งของมหาเต๋าแห่งเวลา” คิ้วของจั่วชิวจวินขมวดเข้าหากัน “บางทีเฉินซีอาจเข้าใจแขนงหนึ่งของมหาเต๋าแห่งมิติ แต่มันก็แปลกยิ่งนัก เพราะข้าจำได้ว่า มันได้รับเพียงตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุเท่านั้น”
คนอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าใจต่อเรื่องนี้ ไม่ว่าพวกจะเค้นสมองเท่าใดก็ตาม
“ลืมมันซะ อีกไม่นานคงมีคนมาจัดการกับเจ้าเด็กนั่นเอง เรื่องสำคัญตอนนี้ คือมุ่งหน้าไปยังสุสานของราชันเซียนให้เร็วที่สุด” จั่วชิวจวินโบกมือ และสั่งการเสียงเฉียบขาด
สุสานของราชันเซียน!
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สายตาของทุกคนก็พุ่งไปที่สะพานลวงตาที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดิน มันสว่างไสว และเจิดจรัสเปล่งแสงเย้ายวนใจอย่างมาก
…
ชู่ว!
บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำที่คดเคี้ยวและแห้งขอด อากาศสั่นสะเทือนวูบวาบ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินก้าวออกมาจากความว่างเปล่า
“น่าเสียดาย แม้ข้าจะชิงสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพทั้ง 14 คน แต่ไม่สามารถเก็บสมบัติของพวกมันได้…” เฉินซีขบริมฝีปาก และครุ่นคิดด้วยความเสียดายเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาซ่อนตัวอยู่ห่างไกลมาก และใช้กระบวนท่าเงาอัจฉราของเคล็ดกระบี่ปริภูมิเพื่อชิงสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้ง 14 คนจากจั่วชิวจวิน ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการระบายความคับข้องใจของตน
“เร็วเข้า เจ้าต้องไปถึงห้วงกระแสมิติก่อนที่ราตรีจะมาเยือน มิฉะนั้น ดาวอสูรจะตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง และไม่สามารถเข้าใกล้มันได้แม้แต่ก้าวเดียว” หม้อใบจิ๋วกล่าวเตือน
ชายหนุ่มตกตะลึงอยู่ในใจ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า นี่เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว และเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก่อนราตรีจะมาถึง
เฉินซีไม่กล้าลังเลอีกต่อไป และรีบเร่งความเร็วทันที
โชคดีที่ตลอดเส้นทาง เขาไม่พบเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอื่นใด ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่า เฉินซีกำลังเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ จึงเข้าใกล้ห้วงกระแสมิติในภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา
ขณะเข้าใกล้ห้วงกระแสมิติที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินมากขึ้นเท่าไร เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น ห้วงกระแสมิติเป็นเหมือนสะพานโค้งที่พาดผ่านฟ้าดิน ซึ่งถูกอาบไล้ไปด้วยแสงส่องประกายระยิบระยับ
ชายหนุ่มสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฉากรอบ ๆ ห้วงกระแสมิติกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวจากไปและฤดูใบไม้ผลิเคลื่อนผ่าน ฤดูกาลทั้งสี่สลับสับเปลี่ยน ต้นไม้เติบโตและเหี่ยวเฉา น้ำขึ้นและลง ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง
มันให้ความรู้สึกราวกับกำลังเฝ้าดูกาลเวลา เพียงไม่นานก็ผ่านไปหลายปี ทำให้ผู้คนรู้สึกอึ้งจนยากจะอธิบายได้
มันคืออานุภาพของเวลา เนื่องจากกฎสูงสุดของเวลาและอวกาศรวมตัวกันเพื่อสร้างสถานที่แห่งนี้ แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ห้วงกระแสมิติอาจวุ่นวายและรุนแรงอย่างมาก เมื่อผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันเซียนสัมผัสมัน พวกเขาจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที!
“ข้าสงสัยว่าจะมีสักกี่คนในภพทั้งสามนี้ ที่สามารถเข้าใจความลึกล้ำของเวลาและอวกาศได้…”
หลังจากเดินทางมาถึงที่นี่ เฉินซีก็ชะลอความเร็วลง และสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ พลางถอนหายใจ เพราะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ว่าหนทางยังอีกยาวไกล
เฉินซีอดถอนหายใจอีกครั้ง เพราะสังเกตเห็นร่างจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่าร้อยคน! ยืนอยู่หน้าประตูที่เกิดจากห้วงกระแสมิติ
แม้แต่จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง และเจิ่นลู่ก็ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
“ศิษย์หลายคนจากทั้งเจ็ดสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมารวมตัวกันที่นี่แล้ว…” เฉินซีกวาดตาผ่านฝูงชน และแยกแยะตัวตนของคนเหล่านี้ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของเจ็ดสำนักศึกษาที่เข้าร่วมการสอบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มาที่นี่
เพราะแต่ละสำนักศึกษาทั้งเจ็ดแห่งได้ส่งศิษย์มาสำนักละห้าสิบคน รวมทั้งหมดจะได้ 350 คน แต่ที่นี่มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น
“ดูเหมือนเรื่องนี้จะยุ่งยากไม่น้อย…”
เฉินซีขมวดคิ้ว เพราะยิ่งมีคนอยู่ที่นี่มากเท่าใด การแข่งขันก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น แม้ว่าสถานที่นี้จะมีโชคลาภรออยู่มากมาย แต่ก็ต้องพึ่งพาวาสนาของตัวเองเพื่อให้ได้มันมา และคงไม่มีใครยอมถอย มีแต่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงสมบัติ
เฉินซีไม่กลัวศิษย์ร่วมสำนัก แต่เขากังวลเกี่ยวกับศิษย์จากอีกหกสำนักศึกษาอื่นมากกว่า
อย่างไรก็ตามตามกฎที่โจวจื่อหลีประกาศไว้ พวกเขาได้รับคำสั่งเพียงไม่ให้ต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนัก แต่ไม่มีกฎใดห้ามไม่ให้ต่อสู้กับศิษย์สำนักอื่น
“โอ้ เฉินซีเจ้าก็มาเช่นกันหรือ? มาเร็ว!” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นจี้เซวียนปิงกำลังโบกมือมาทางตน เรื่องนี้ทำให้เฉินซีประหลาดใจ ไม่คิดว่าประสาทสัมผัสของจี้เซวียนปิงจะเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ เพราะขนาดเขาปกปิดร่องรอยของตน แต่จี้เซวียนปิงก็ยังสัมผัสมันได้
เสียงของจี้เซวียนปิงดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก ทุกสายตาจ้องมองมาทางตนเป็นตาเดียว
“เป็นเฉินซีจริง ๆ”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะมาถึงที่นี่ได้”
“โอ้ เช่นนี้ก็ไม่เลวเลย เมื่อเฉินซีเข้าร่วมกับเรา โอกาสในการเข้าสู่สุสานของราชันเซียนจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
ท่ามกลางเสียงของการสนทนา เฉินซีเดินไปที่นั่น และพยักหน้าทักทายศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น ๆ
ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีศิษย์ร่วมสำนักทั้งหมด 16 คนที่นี่ นอกจากจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่แล้ว คนอื่น ๆ ล้วนเป็นศิษย์อาวุโสทั้งสิ้น
ในบรรดาศิษย์อาวุโสเหล่านั้น หนึ่งในนั้นมีอ๋าวจ้านเป่ย ซึ่งอยู่ในอันดับที่หนึ่งในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ จี้เหวินเล่ยซึ่งอยู่ในอันดับที่สาม ตู้ซวินซึ่งอยู่ในอันดับที่ห้า… ซึ่งเกือบทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาคนเหล่านี้ เฉินซีคุ้นเคยกับจ้าวเมิ่งหลีและจี้เซวียนปิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาไม่เคยพูดคุยกับคนอื่นแม้แต่คำเดียว ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนเหล่านี้โดยสิ้นเชิง
ทว่าเฉินซีไม่คิดใส่ใจ เขาไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้อื่น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นสงวนท่าทีใด ๆ
ในทางกลับกัน ศิษย์อาวุโสเหล่านั้นมีการแสดงออกที่หลากหลายเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว บางคนประหลาดใจ บางคนหวาดระวัง บางคนดูเหมือนจมอยู่ในห้วงความคิด และบางคนแสดงความเป็นมิตรออกมาอย่างเปิดเผย
ในฐานะศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องของเฉินซีมาไม่มากก็น้อย ทว่าส่วนใหญ่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะสามารถมาถึงที่นี่ได้
เพราะ แม้แต่พวกเขายังต้องอาศัยคำชี้แนะจากกองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อทราบตำแหน่งของสถานที่แห่งวาสนานี้ ในขณะที่เฉินซีนั้นมีชาติกำเนิดแสนธรรมดา แต่สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นมันจึงทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ
“เฉินซี เป็นเพราะข้าได้บ่มเพาะเคล็ดวิชาลับทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าข้าจะสังเกตเห็นเจ้าเช่นกัน เจ้าคงไม่โทษข้าที่เปิดเผยตัวเจ้าใช่หรือไม่?” จี้เซวียนปิงก็เดินเข้ามา และยิ้มพลางเอ่ยขอโทษสหายตน
ทัศนคติที่จริงใจนี้ ได้รับความประทับใจที่ดีจากเฉินซีไม่น้อย ร่องรอยความไม่พอใจสลายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าตั้งใจจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก แล้วข้าจะโทษพี่จี้ได้อย่างไรเล่า”
“เอาล่ะ เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับเราแล้ว เราอาจได้รับโชคลาภจากภายในสุสาน” จี้เซวียนปิงยิ้ม
เฉินซีส่ายศรีษะ “พี่จี้ เจ้าคาดหวังกับข้าสูงเกินไป กล่าวตามตรง ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสุสานนี้เลย ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้มาก และอาจเป็นภาระของทุกคนแทน”
เขากำลังกล่าวความจริง หม้อใบจิ๋วบอกเพียงข้อมูลที่คลุมเครือ ยกตัวอย่างเช่น ที่นี่เป็นหลุมฝังศพของผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล แต่ไม่เคยบอกชื่อสุสานนี้
“ไยเจ้าถึงกล่าววาจามากมายนัก หากเจ้าต้องการได้รับประโยชน์จากสุสาน เราจะต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้น โชคก้อนนี้อาจถูกช่วงชิงโดยกองกำลังของผู้อื่น” จ้าวเมิ่งหลีเดินเข้ามา นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ศิษย์ของอีกหกสำนักศึกษาต้องมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
ในที่สุดเฉินซีก็ตระหนักได้ว่า จี้เซวียนปิงและคนอื่น ๆ กังวลว่าอีกหกสำนักจะร่วมมือกันเพื่อต่อต้านพวกตน ดังนั้นศิษย์ทุกคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจึงยุติความคับข้องใจระหว่างกัน และร่วมมือกันชั่วคราว
“ฮึ่ม! คนผู้นี้ช่างเป็นที่คนหน้าซื่อใจคด และไร้ยางอายเสียจริง เมื่อครู่นี้เขาฉกเหยื่อของเราไป พวกเจ้าไม่กลัวว่าเขาจะฉวยโอกาสหักหลังพวกเจ้าหรือ?” ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังขึ้นจากระยะไกล พร้อมกับกลุ่มของจั่วชิวจวินที่บินเข้ามา พวกเขามีสีหน้ามืดมน พลางจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาเคียดแค้น คล้ายไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าพุ่งไปกัดเฉินซีสักสองสามคำ
เดิมที ศิษย์หลายคนจากอีกหกสำนักศึกษาล้วนขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด เมื่อสังเกตเห็นการปรากฏตัวของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่จั่วชิวจวินกล่าว พวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที และกำลังรอชมการแสดงอย่างตื่นเต้น
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เห็นได้ชัดว่ามีความขัดแย้งภายในระหว่างศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และพวกเขาอย่างรู้เหลือเกินว่าสถานการณ์เช่นนี้จะจบลงอย่างไร!