บทที่ 1235 สวรรค์เริงระบำ
บทที่ 1235 สวรรค์เริงระบำ
แผนภาพหยินหยางโกลาหล!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เฉินซีก็ตกใจเล็กน้อย และสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนสีหน้าของพวกเขาจะมืดมนลงเล็กน้อย
พวกเขาอาจไม่รู้มาก่อนว่าแผนภาพหยินหยางโกลาหลมีอยู่จริง?
เฉินซีเหลือบมองศิษย์พี่คนอื่น ๆ และสังเกตเห็นว่าพวกเขาส่วนใหญ่ยังคงสงบ และไม่แสดงท่าทีใด ๆ ราวกับรู้แต่แรกแล้วว่าอ๋าวจ้านเป่ยมีสิ่งนี้อยู่กับตัว
“เรียบร้อย” อ๋าวจ้านเป่ยกล่าวขึ้น รูปร่างของคนผู้นี้สง่างาม และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ดูเหมือนทำจากทองคำ เขาเป็นทายาทสายตรงของมังกรทองพิสุทธิ์จากภพมังกร มักอยู่อย่างสันโดษ ไม่สุงสิงกับผู้ใด แต่ในยามนี้กลับกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจเสียแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!” จี้เซวียนปิงพูดเสียงต่ำ “แผนภาพหยินหยางโกลาหลเป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่าของสำนักศึกษา เหตุใดมันถึงได้อยู่ในความครอบครองของเจ้า?”
“อาจารย์ทาปาเทียนซี มอบมันให้ข้าก่อนเข้าสู่สมรภูมิฝันร้าย” คล้ายอ๋าวจ้านเป่ยจะคาดไว้ว่าต้องมีคนถามคำถามนี้อย่างแน่นอน จึงตอบออกมาได้อย่างลื่นไหล
คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่มืดมนลงอีก และแม้แต่เฉินซีก็ยังขมวดคิ้ว
“ทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องนี้” จี้เสวียนปิงถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย
“มีเพียงอันดับหนึ่งบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์คนเดียวเท่านั้น ที่สามารถครอบครองสมบัติอันล้ำค่าเช่นนี้ได้ เจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ?” อ๋าวจ้านเป่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้น ให้ข้าถามเจ้าสักหน่อย อาจารย์ทาปาเทียนซีมอบสมบัตินี้ให้กับเจ้า ย่อมตั้งใจให้เจ้าพาเราเข้าไปในสุสาน เพื่อโอกาสสำรวจและรับโชคลาภภายในนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพวกเรา?”
จ้าวเมิ่งหลีพูดต่อทันที ดวงตาสดใสของนางเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
“นั่นเป็นเพราะเรากังวลว่าเรื่องนี้จะรั่วไหลออกไป เพราะแผนภาพหยินหยางโกลาหลนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าจากยุคบรรพกาล ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไร มันจะทำให้คนอื่นโลภน้อยลงเท่านั้น”
จั่วชิวจวินขัดจังหวะ “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนก็ได้รู้กันแล้ว มันไม่ได้สายเกินไปเสียหน่อย”
“ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่ดีเสียจริง!” จี้เสวียนปิงโกรธยิ่ง และรู้สึกราวกับว่าตนกำลังถูกหลอก “เจ้ากล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของสำนักจริง ๆ หรือ เจ้าไม่กลัวที่จะถูกลงโทษหรือ?”
“อาจารย์ทาปาเทียนซี ไม่ได้บอกให้ข้าแจ้งเรื่องนี้แก่ทุกคน” การแสดงออกของอ๋าวจ้านเป่ยยังคงใจเย็นและสงบนิ่ง
“เซวียนปิง อย่าโกรธไปเลย ข้าเองก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ใช่ว่าพี่อ๋าวจงใจปกปิดข้อมูลนี้ อันที่จริงแล้วเป็นเพราะสมรภูมิฝันร้ายนี้เต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้น มันจึงเป็นการดีกว่าที่น้อยคนจะรู้ว่าเขากำลังถือสมบัติล้ำค่าเช่นนี้”
จี้เหวินเล่ยซึ่งอยู่ในอันดับที่สี่ในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์กล่าวขึ้น เขาเป็นศิษย์อาวุโส และเป็นคนของตระกูลจี้ด้วย แต่เป็นเพียงคนของตระกูลสายรอง ดังนั้นสถานะจึงเทียบไม่ได้กับจี้เซวียนปิง
จี้เซวียนปิงแค่นเสียงเย็น ก่อนเหลือบมองจี้เหวินเล่ย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เฉินซีเฝ้าดูอย่างเย็นชา พอจะคาดเดาได้ราง ๆ แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ทาปาเทียนซีรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสุสานนี้มาตั้งแต่ต้นอย่างแน่นอน และนั่นคือเหตุผลที่เขามอบแผนภาพหยินหยางโกลาหลให้อ๋าวจ้านเป่ยเพื่อความปลอดภัย จุดประสงค์คือเพื่อให้อ๋าวจ้านเป่ยพึ่งพาสมบัตินี้เพื่อทำลายข้อจำกัดของกระแสห้วงมิติ และนำเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเข้าสู่สุสานของราชันเซียนได้อย่างราบรื่น
ทว่าดูเหมือนว่าอ๋าวจ้านเป่ยจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครนัก อย่างน้อยที่สุดเฉินซี จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ก็ไม่ได้รับรู้
บางทีอ๋าวจ้านเป่ยอาจรู้สึกว่า ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไร ความปลอดภัยของแผนภาพหยินหยางโกลาหลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดเชื่อคำกล่าวนี้
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของอ๋าวจ้านเป่ยเป็นสิ่งที่น่าคิด เขาจงใจมุ่งเป้าไปที่ศิษย์ใหม่หรือไม่? หรือมีเป้าหมายอื่น?
เฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็รู้ว่าอ๋าวจ้านเป่ยและจั่วชิวจวินนั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
“ยามนี้พวกเจ้าทุกคนเข้าใจทุกอย่างแล้ว ดังนั้น ข้าจะไม่อธิบายอีก ไปกันเถอะ หากเราล่าช้า และปล่อยให้ศิษย์ของสำนักอื่นกวาดโชคลาภภายในสุสานไปหมด พวกเราก็จะไม่มีใครได้รับประโยชน์เลย” อ๋าวจ้านเป่ยกวาดสายตามองทุกคน ก่อนที่จะยกมือขึ้น
ฟุ่บ!
ม้วนหนังสือโบราณกางแผ่กลางอากาศ ภายในนั้นล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหล เดือดพล่านไปด้วยฉากอันยิ่งใหญ่ของหยินและหยางที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน
เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีรู้สึกได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัววิ่งผ่านทั่วกาย ราวกับว่าวิญญาณจะถูกพัดเข้าไปด้านใน หากมองไปนานกว่านี้!
“ช่างเป็นรัศมีที่น่ากลัวเหลือเกิน มันทรงพลังมากเพียงใดกัน?”
เฉินซีรีบถอนสายตากลับ หัวใจเต้นถี่รัว เขามีความรู้สึกว่าการเดินทางมายังสมรภูมิฝันร้ายในครั้งนี้ ฉากหน้าอาจเป็นการทดสอบศิษย์ฝ่ายใน แต่เบื้องหลังอาจเป็นสุสานของราชันเซียนนี้ มิฉะนั้น ทางสำนักศึกษาจะกล้ามอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้กับศิษย์ทั่วไปได้อย่างไร?
“เฉินซี เจ้าไม่คิดที่จะมากับพวกเราจริง ๆ หรือ?” จี้เซวียนปิงหันกลับมาและถามเฉินซีอีกครั้ง
เฉินซีส่ายหัว
เมื่อเห็นเช่นนั้น จี้เซวียนปิงไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ เขาประสานหมัดกล่าวลา
“เฮอะ” จั่วชิวจวินแค่นหัวเราะเสียงเย็น พลางมองเฉินซี ราวกับกำลังพูดว่า ‘ข้าอยากจะเห็นนักว่า เจ้าจะเข้าไปในสุสานโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแผนภาพหยินหยางโกลาหลได้อย่างไร!’
“ไปกันเถอะ!” อ๋าวจ้านเป่ยชี้ไปที่แผนภาพหยินหยางโกลาหลกลางอากาศ ความผันผวนแปลกประหลาดแผ่กระจายออกไปพร้อมกับเสียงหึ่ง ๆ ที่ดังขึ้นจากแผนภาพ หลังจากนั้น ทัศนียภาพของเฉินซีพลันพร่ามัว ก่อนจะเหลือเพียงตนที่ยืนอยู่เพียงลำพัง
…
ม่านแห่งราตรีนั้นมืดมิดราวกับหมึก กระแสห้วงมิติเต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า
เฉินซียืนอยู่คนเดียวหน้าประตูและครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าสถานการณ์ของตนซับซ้อนเสียจริง
ทว่าเมื่อลองคิดอย่างรอบคอบ กองกำลังที่เข้ามาในสุสานครั้งนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และอีกหกสำนัก
เหตุผลที่เฉินซีรู้สึกว่ามันซับซ้อน ก็เนื่องมาจากความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาแต่ละคนล้วนมีความตั้งใจของตัวเอง ดังนั้นแม้จะพบโอกาสโดยบังเอิญ แต่คงไม่คิดให้ความร่วมมืออย่างจริงใจ
เมื่อรวมกับความจริงที่ว่า ศิษย์ของสถาบันการศึกษาอีกหกแห่งกำลังจับตาดูพวกเขาทุกฝีก้าว และอันตรายมากมายภายในสุสาน เฉินซีก็รู้สึกกังวลแทนจี้เซวียนปิงและจ้าวเมิ่งหลีอย่างยิ่ง
“แม้อีกหกสำนักจะดูเหมือนร่วมมือกัน แต่หากสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหกนั้น ได้พบเจอวาสนาใหญ่โดยบังเอิญ ก็อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นอยู่ดี ดังนั้น สถานการณ์ของพวกเขาจึงไม่แตกต่างจากสถานการณ์ของจี้เซวียนปิงและคนอื่น ๆ มากนัก”
“โชคยังดีที่ข้าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แม้ข้าจะดูเหมือนอยู่เพียงลำพัง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋ว อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้…”
เฉินซีหายใจเข้าลึก และละทิ้งความคิดที่กวนใจทั้งหมดไป
“ผู้อาวุโส เราควรออกเดินทางเลยหรือไม่?” เฉินซีถาม
“รออีกสักหน่อย” หม้อใบจิ๋วดูเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ และนำตนไปอีกทาง
“ลองดูดี ๆ สิว่า มีดอกไม้สีฟ้าครามที่มีใบเก้าใบ และมีรูปร่างเหมือนกระสวยอยู่บริเวณทางเข้ากระแสห้วงมิตินี้หรือไม่”
เฉินซีสับสนเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าหม้อใบจิ๋วตั้งใจจะทำอะไร แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามคำแนะนำของอีกฝ่าย และปล่อยญาณมหาเทวะอมตะออกไปค้นหามัน
ด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ เฉินซีสามารถค้นหาไปทั่วพื้นที่โดยรอบทั้งหมดได้แทบจะในทันที แต่กลับไม่พบดอกไม้ที่หม้อใบจิ๋วกล่าวถึงเลย
“อย่าใช้ญาณมหาเทวะอมตะ ดอกไม้นี้มีชื่อว่าบุปผาสวรรค์เริงระบำ มันเป็นดอกไม้ที่หายาก และล้ำค่าจากยุคบรรพกาล ซึ่งจะบานใกล้กระแสห้วงมิติเท่านั้น มันฉลาดมาก จนสามารถหลบเลี่ยงญาณมหาเทวะอมตะได้ทุกรูปแบบ แม้แต่เจตจำนงของราชันเซียนก็ไม่สามารถตรวจจับมันได้” หม้อใบจิ๋วอธิบายอย่างรวดเร็ว
บุปผาสวรรค์เริงระบำ…
เฉินซีไม่เคยคิดเลยว่าจะมีดอกไม้ประหลาดเช่นนี้อยู่ในโลก ชายหนุ่มถอนญาณมหาเทวะอมตะกลับทันที จากนั้นเนตรเทวะแห่งความจริงก็ปรากฏขึ้นเงียบงันที่หว่างคิ้ว ก่อนจะกวาดไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว
แน่นอน ครู่ต่อมาเขาก็สังเกตเห็นบุปผาสวรรค์เริงระบำ มันเติบโตใกล้กับทางเข้ากระแสห้วงมิติ มีขนาดเพียงนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น โปร่งใสและเปล่งประกายด้วยสีน้ำเงินคราม
เนื่องจากแสงของกระแสห้วงมิตินั้นพราวและสว่างจ้าเกินไป มันจึงถูกปกปิดไว้อย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะการตรวจจับของเนตรเทวะแห่งความจริง มันคงจะเป็นการยากที่จะสังเกตถึงการมีอยู่ของมัน
“ผู้อาวุโส ดอกไม้นี้มีประโยชน์อันใดบ้าง?” จิตวิญญาณของเฉินซีสดชื่นขึ้นทันที
“เมื่อเข้าไปในสุสาน เจ้าจะรู้เอง” หม้อใบจิ๋วกล่าว
“จงจำไว้ว่า เก็บเกี่ยวมันด้วยผนึกมิติจองจำที่ข้าสอนเจ้า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถจับมันได้ หากเจ้าใช้ทักษะอื่น มันจะตายทันที”
เฉินซีพยักหน้า แล้วก้าวไปข้างหน้าทันที โบกมืออย่างไม่รีบร้อน และสร้างทักษะที่ลึกซึ้ง และไม่อาจหยั่งรู้ได้เข้าห่อหุ้มบุปผาสวรรค์เริงระบำ ก่อนที่มันจะตกลงสู่ฝ่ามือของตน
เพียงชั่วพริบตา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้ดวงวิญญาณชุ่มชื่นก็ลอยมาแตะจมูก แม้จะฝึกฝนดวงจิตแห่งเต๋ามา แต่ก็ไม่อาจยับยั้งไม่ให้หัวใจสั่นไหวราวกับลอยอยู่บนเมฆได้ เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการหลับใหลไปชั่วนิรันดร์
เฉินซีพลันเรียกสติกลับมาได้และตะโกนว่า ‘น่าทึ่ง!’ อยู่ภายในใจ แม้จะไม่ทราบถึงผลวิเศษของดอกไม้นี้อย่างชัดเจน แต่เพียงกลิ่นหอมรัญจวนนี้ ก็เพียงพอที่จะปลุกความหวาดกลัวในใจของผู้คน
“น่าเสียดายที่ดอกไม้นี้ต้องถูกกักขังโดยผนึกมิติจองจำ ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะใช้มันเพื่อลอบโจมตีศัตรูได้… ” เฉินซีมองดูมันครู่หนึ่งก่อนจะเก็บดอกไม้ไป
ชายหนุ่มรวบรวมบุปผาสวรรค์เริงระบำมากกว่าสิบดอก จนหากระทั่งไม่พบพวกมันอีก
“มากกว่าสิบดอก… น่าจะเพียงพอแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะพาเจ้าเข้าไปเดี๋ยวนี้” หม้อใบจิ๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พื้นผิวกลมใสของมันก็ปล่อยกลุ่มหมอกแฝงรัศมีของปราณบรรพกาลสีเทาออกมาห่อหุ้มร่างของเฉินซี
สวบ!
ครู่ถัดมา หม้อใบจิ๋วก็กลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าสู่กระแสห้วงมิติอย่างรวดเร็ว
ความประหลาดใจจู่โจมเฉินซี ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เพียงแค่ข้อจำกัดของกระแสห้วงมิติไม่ถูกเปิดใช้งาน แต่ราวกับ มันกำลังแแหวกทางเหมือนกระแสน้ำให้หม้อใบจิ๋วด้วย!
“นี่… ” เฉินซีไม่รู้ว่าหม้อใบจิ๋วทำเช่นนี้ได้อย่างไร ดวงตาของเขาพลันพร่ามัว ขอบเขตการมองเห็นถูกปกคลุมไปด้วยความโกลาหลและความมืดมิด ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจนอีกต่อไป
หลังจากผ่านไประยะหนึ่งโดยไม่รู้ว่านานแค่ไหน วิสัยทัศน์ของเฉินซีก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงสังเกตเห็นว่าตนกำลังยืนอยู่ในทางเดินที่มืดและเงียบสงัด
สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน และไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา ผนังปรากฏรอยกระดำกระด่าง และเต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่
ฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นกดลงบนหัวใจได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใด ดังนั้นมันจึงทั้งลึกลับ และน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือสุสานของราชันเซียน ที่สมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้?” เฉินซีกวาดตาไปรอบ ๆ ความคาดหวังพวยพุ่งอยู่ในใจ
—————————————————-