บทที่ 1236 ค้างคาวอมตะ
บทที่ 1236 ค้างคาวอมตะ
ทางเดินทั้งมืดและลึก มันเต็มไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นซึ่งเกาะกุมวิญญาณของผู้คน
นี่คือสุสานของราชันเซียนซึ่งคงอยู่ตั้งแต่บรรพกาล ไม่อาจทราบช่วงเวลาที่ผันผ่านได้อย่างแน่ชัด แม้กระทั่งรากฐานการบ่มเพาะของเฉินซีผู้อยู่ขอบเขตเซียนทองคำยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่ยากจะอธิบาย ขณะยืนอยู่ภายใน
เขาไม่กล้าประมาทขณะใช้เนตรเทวะแห่งความจริง ดวงตาแนวตั้งปรากฏตรงหว่างคิ้ว มันส่องแสงเจิดจ้าพลางมองเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินมืดมิด
ทันใดนั้น เฉินซีส่งเสียงครวญคราง ดวงตาแนวตั้งตรงหว่างคิ้วถูกทิ่มแทงด้วยความเจ็บปวด มันกลายเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิงขณะกระแสหินหนืดและโลหิตสะท้อนผ่านรูม่านตา ซึ่งกำลังแผดเผาเนตรเทวะแห่งความจริง
ตอนนี้ทางเดินเปลี่ยนรูปลักษณ์อย่างสมบูรณ์ภายในขอบเขตการมองเห็นของเขา มันเต็มไปด้วยทะเลโลหิตประหนึ่งหินหนืดหลอมละลายเข้มข้นเดือดพล่านและแผดเสียงคำราม รวมถึงจิตสังหารโบราณน่าสะพรึงที่กระตุ้นให้เนตรเทวะแห่งความจริงเจ็บปวดแสนสาหัส
เฉินซีรู้สึกเย็นเยือกอยู่ภายใน พลังปราณโลหิตอันน่าสะพรึงนั่นไม่จางหายไปตามกาลเวลา โดยเจตจำนงโบราณซึ่งอยู่ภายในช่างน่าสะพรึงเหลือคณา
แม้กระทั่งเนตรเทวะแห่งความจริงก็เกือบถูกทำลายด้วยจิตสังหารนี้!
“อย่างที่คิด ผู้คนทั้งหลายปรารถนาสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่มีโชคพอที่จะออกจากที่นี่ สุดท้ายกระดูกของพวกเขาจึงถูกฝังไปพร้อมกับความเกลียดชัง”
หม้อใบจิ๋วถอนหายใจอย่างเวทนา แต่เสียงของมันยังคงเฉยชา
“ผู้อาวุโส ปราณโลหิตที่กระจายไปทุกหนแห่งเป็นของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่?” เฉินซีประหลาดใจ
“ถูกต้อง ทางเดินนี้มีชื่อว่าทางเดินอนิจจัง มันเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตและความตายสูงสุดซึ่งถูกจัดเรียงเป็นทางหนีอันคับแคบ หากไม่สามารถหาทางที่ปลอดภัยได้ก็จะตกอยู่ในภัยพิบัติแห่งชีวิตและความตาย จนสิ้นใจในที่สุด”
หม้อใบจิ๋วอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
พลังแห่งชีวิตและความตายคือหนึ่งในสามกฎเกณฑ์สูงสุดที่ขอบเขตราชันเซียนสามารถทำความเข้าใจและควบคุมได้!
เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินซียิ่งมั่นใจว่าเจ้าของสุสานที่หม้อใบจิ๋วเอ่ยถึงอยู่ระดับราชันเซียนเป็นอย่างต่ำแน่นอน หาไม่แล้วคงไม่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดแห่งชีวิตและความตายได้
“ผู้อาวุโส หนทางที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวอยู่ที่ใด?”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม พลังแห่งปราณโลหิตซึ่งปกคลุมที่นี่น่าสะพรึงเกินไป แม้กระทั่งเนตรเทวะแห่งความจริงก็ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของทางเดินได้
หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา การจัดเรียงของที่นี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประกอบกับผ่านมาเนิ่นนาน เป็นการยากที่ข้าจะให้คำตอบที่แม่นยำได้”
เฉินซีตกตะลึง ลางสังหรณ์ไม่ดีพลันก่อตัวขึ้นภายในใจ
“ทว่า ข้าแนะนำให้เจ้าลงมือเสียตอนนี้ อย่าอยู่ที่เดิมนานเกินไป” หม้อใบจิ๋วเอ่ย “กฎแห่งชีวิตและความตายคือสิ่งไม่เที่ยงที่สุด การหยุดนิ่งคือการกระทำอันโง่เขลา”
เฉินซีตกตะลึงอีกครา มุมปากกระตุก แต่เพราะคำพูดของหม้อใบจิ๋ว จึงทำให้เขาหยุดคิดเรื่องโชค แล้วเริ่มมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
เคร้ง!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เฉินซีชักกระบี่ตะขอดาราแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง ทางเดินแยกออกเป็นสองทาง เขาไม่อาจหันหลังกลับไปได้อีก
ไม่ช้า ชายหนุ่มก็พบซากศพนั่งอยู่ข้างทางเดิน สภาพเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ดุจทองและหยก ส่วนอีกครึ่งเป็นสีดำราวถ่าน
เฉินซีลอบสั่นสะท้านอยู่ภายใน ซากศพนี้มีสีดุจทองและหยก หมายความว่าจะต้องเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่ง แต่สุดท้ายกลับล่วงลับอยู่ข้างทางเดินอนิจจัง
หืม?
ทันใดนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นจี้หยกโบราณขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ข้างศพ แต่ทันทีที่นิ้วสัมผัส เสียงกรอบแกรบก็ดังขึ้น แล้วจี้หยกก็กลายเป็นผุยผงแล้วสลายไป
“มองไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีสมบัติใดอยู่ในทางเดินอนิจจังแห่งนี้หรอก คนเป็นจะออกมาส่วนคนตายจะคงอยู่ ภายใต้การกัดกร่อนของพลังแห่งชีวิตและความตาย สมบัติจึงไม่อาจอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้”
หม้อใบจิ๋วเอ่ยคำ
เฉินซีพยักหน้า สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
ระหว่างทาง เขาพบเจอซากศพมากมาย อีกทั้งยังมีหลุมเรียงรายอยู่บนกำแพงทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยรอยดาบจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้ต้องทุกข์ทรมานกับการโจมตีอย่างแสนสาหัส
ขณะมองร่องรอยการต่อสู้ที่คล้ายถูกประทับมานานแรมปี หัวใจของเฉินซียิ่งหนักอึ้ง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารน่าประหลาด บ้างก็คล้ายได้ยินเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราด และไม่เต็มใจมาจากกาลเวลา
ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทาน ร่องรอยการต่อสู้คงอยู่มาเนิ่นนาน ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในตอนนั้นพวกเขาทรงพลังเพียงใด
แต่บัดนี้ พวกเขาล้วนถูกฝังอยู่ภายในทางเดินอนิจจัง…
“พลังของทางเข้ากระแสต่างมิติจะคงอยู่เพื่อให้เพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำเข้าไป ข้าไม่ทราบว่าศพเหล่านี้ได้ทำการบุกทะลวงเข้ามาที่นี่หรือไม่ แต่น่าเสียดาย สุดท้ายพวกเขาก็ยังถูกฝัง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะเสียใจกับการมาที่นี่หรือไม่?”
เฉินซีสูดหายใจเข้าแล้วสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแแปลง ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มระแวดระวังจนเส้นประสาทเกร็งเครียด
ทว่าเขากลับไม่พบอันตรายระหว่างทาง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัด มีเพียงกลิ่นอายหนักอึ้ง ไร้รูปร่างล่องลอยอยู่ในอากาศ
หลังจากเดินอยู่ราวหนึ่งก้านธูป เฉินซีพลันได้ยินเสียงเร่งรีบลอยเข้าหู ก่อนคลื่นเสียงคำรามจะกระจายมาจากทางเดินไกลออกไป
กลิ่นอายขุมทรัพย์อมตะปกคลุมพื้นที่
“มันคือกลิ่นอายของค้างคาวอมตะ สัตว์อสูรเหล่านี้ถือกำเนิดจากพลังแห่งความตาย หากทางเดินอนิจจังแห่งนี้ไม่ถูกทำลายก็จะฆ่าพวกมันไม่ได้ หากเจ้าปนเปื้อนพลังแห่งความตายก็จะส่งผลกระทบต่ออายุขัย กฎเกณฑ์ การบ่มเพาะ และแม้กระทั่งวิญญาณอย่างร้ายแรง”
หม้อใบจิ๋วรีบเอ่ยคำเสียงเรียบ ราวกับคาดไว้แล้วว่าฉากนี้จะเกิดขึ้น
ทันทีที่สิ้นคำ เฉินซีเห็นศีรษะขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏในทางเดินไกลออกไป ทั่วร่างของมันถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายสีดำ และมีความรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า
พวกมันมาเป็นกลุ่มจนเกิดเสียงหวีดหวิวไปมาราวกับกลุ่มพลังแห่งความตายสีดำกำลังเคลื่อนตัว ในปากเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมแผดเสียงร้องน่าขนลุกเหมือนเด็กทารกร้องไห้ ฟังแล้วน่าขนลุกไม่น้อย
“ผู้อาวุโส ท่านมีหนทางจัดการกับสัตว์อสูรนี้หรือไม่?”
เฉินซีคิ้วขมวด สีหน้ายิ่งเคร่งเครียด ชายหนุ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายของค้างคาวอมตะแต่ละตัวไม่ได้ด้อยไปกว่าขอบเขตเซียนทองคำ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่พวกมันต่างก่อตัวขึ้นจากพลังแห่งความตาย จึงไม่สามารถถูกฆ่าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุด
“ฝ่าออกไป”
คำตอบของหม้อใบจิ๋วเรียบง่าย “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีคนกำลังต่อสู้และบุกเข้าไปในส่วนลึกของฝูงค้างคาวอมตะ? ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดพวกมันถึงยังคลุ้มคลั่งทั้งที่ปกปิดกลิ่นอายอย่างดีแล้ว ตอนนี้ดูท่าว่าสาเหตุจะมาจากเจ้าตัวน้อยพวกนั้น”
เฉินซีตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าหม้อใบจิ๋วจะยอมชี้แนะตนเช่นนี้
ไม่ช้าเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะตอนนี้เห็นแล้วว่ามีน้ำเต้าสีเหลืองซีดเรียบง่ายขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์อยู่ท่ามกลางกลุ่มค้างคาวอมตะสีดำ มันถ่ายทอดปราณฟ้าดินออกมาขณะต่อสู้กับอีกฝ่ายไม่ไปไหน
น้ำเต้าฟ้าดิน!
เฉินซีหรี่ตาลงทันทีเมื่อเห็นสมบัติชิ้นนี้ แน่นอนว่าเขาพบร่างของศิษย์จากสำนักศึกษานภาไพศาลกำลังยืนตระหง่านอยู่บนน้ำเต้า
ผู้นำไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งในฝ่ายนอกของสำนักศึกษานภาไพศาลอย่างเล่อเชียนฉวน
ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!
เฉินซีลอบถอนหายใจ ก่อนจะเข้าสุสานราชันเซียน จี้เซวียนปิงเคยบอกว่าสำนักศึกษานภาไพศาลเหมือนกับสำนักศึกษามหาเดียวดายและสำนักศึกษาระทมสันต์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ในตอนนั้นเขาได้ถามเรื่องตัวตนของเล่อเชียนฉวน แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบอีกฝ่ายทันทีที่เข้าสู่สุสาน
“บัดซบ ถ้าพวกเขาไม่ลากค้างคาวอมตะมา เกรงว่าข้าคงผ่านที่นี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว…”
เฉินซีลอบถอนหายใจ
“ค้างคาวอมตะพวกนี้ฆ่าก็ไม่ได้ อย่าสนใจพวกมัน พุ่งไปข้างหน้าเลย!” น้ำเสียงลุ่มลึกของเล่อเชียนฉวนตะโกนมาแต่ไกล
“ฆ่า!”
พริบตาต่อมาเสียงตะโกนก็ดังขึ้น แล้วปราณฟ้าดินก็ทะยานออกมาประหนึ่งขุนเขาสูงตระหง่านบดขยี้พสุธา ก่อนจะตรงไปยังส่วนลึกของทางเดิน
“เจ้าต้องรีบไป หลังจากค้างคาวอมตะปรากฏตัว อีกไม่นานก็จะมีศพโลหิตอมตะซึ่งน่าสะพรึงยิ่งกว่าปรากฏขึ้น พวกมันคือร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ล่วงลับที่นี่ หากพวกมันมา ย่อมเป็นการยากที่จะออกจากทางเดินอนิจจังได้”
หม้อใบจิ๋วรีบเอ่ย “พลังของข้าในตอนนี้จะต้องถูกใช้ตอนเข้าสู่ใจกลางสุสาน ดังนั้นเจ้าต้องหลีกเลี่ยงภยันตรายที่เผชิญในตอนนี้ด้วยตัวเอง”
“แต่ไม่ต้องห่วง ข้าได้ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อปกปิดร่างของเจ้าเอาไว้แล้ว ทำให้สัตว์ประหลาดอมตะเหล่านั้นตรวจจับไม่ได้ เจ้าเพียงแค่ต้องระวังอย่าให้พลังแห่งความตายรุกล้ำเจ้าได้ก็พอ”
ศพโลหิตอมตะ!
หัวใจของเฉินซีสั่นไหวอีกคราหลังจากคิดตามคำพูดของหม้อใบจิ๋ว ชายหนุ่มไม่กล้าล่าช้า ร่างวูบไหว ปีกกำราบผกผันสำแดงพลังก่อนจะมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของทางเดินอย่างเงียบงัน
ฟ่าว!
ยามนี้ปีกกำราบผกผันถูกปกคลุมด้วยกฎแห่งมิติ พวกมันรวดเร็วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไร้สุ้มเสียงจนไม่มีร่องรอยของความผันผวนในห้วงอากาศ
ฉากที่เกิดขึ้นในพริบตาต่อมาเป็นไปอย่างที่หม้อใบจิ๋วว่า ร่างของเฉินซีทะลวงเข้าสู่กลุ่มของค้างคาวอมตะ แต่พวกมันไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ทำให้ไม่ได้รับผลจากการโจมตีอันน่าสะพรึง
ราวกับค้างคาวอมตะเหล่านี้ตาบอด
แต่เฉินซีไม่กล้าประมาท ระยะของทางเดินนี้ค่อนข้างกว้างและเต็มไปด้วยฝูงค้างคาว ทำให้พื้นที่ที่เขาสามารถมุ่งไปข้างหน้าได้ยิ่งถูกจำกัด
นอกจากนี้ ค้างคาวเหล่านั้นยังพัวพันกับโจมตีพวกเล่อเชียนฉวน ผลกระทบจากการต่อสู้จึงส่งมาถึงเฉินซีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงต้องหลบและปัดป้องครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเกรงว่าจะแปดเปื้อนพลังแห่งความตาย
ฟ่าว! ฟ่าว! ฟ่าว!
เฉินซีในยามนี้ประหนึ่งเงาที่วูบไหวไปมาอยู่ไกลลิบขณะเคลื่อนไปมาราวกับอยู่ในมิติเสมือน ทำให้เกิดเป็นภาพที่น่าทึ่ง หลบการโจมตีจำนวนมากได้อย่างปลอดภัย
เป็นเพราะต้องหลบเลี่ยงตลอดเวลา ทำให้บางครั้งต้องถอยเพื่อเลี่ยงการแพร่กระจายของพลังแห่งความตาย ซึ่งทำให้ความเร็วชะงักลงเป็นบางครั้ง
แต่ถึงแม้หม้อใบจิ๋วจะช่วยปกปิดกลิ่นอายเอาไว้จนหลบเลี่ยงค้าวคาวอมตะได้ แต่ไม่ใช่กับพวกเล่อเชียนฉวน
ดังนั้นเมื่อร่างของเฉินซีกำลังเข้าใกล้น้ำเต้าฟ้าดิน เขาจึงถูกพบทันที “หืม! ใครบางคนตามพวกเรามา เป็นเขา! คนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”