บทที่ 1237 มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งในช่วงเวลาเป็นตาย
บทที่ 1237 มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งในช่วงเวลาเป็นตาย
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่เสียงนั้นยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
ดังนั้น ศิษย์ทุกคนของสำนักศึกษานภาไพศาล รวมถึงเล่อเชียนฉวนจึงสังเกตเห็นเฉินซีทันที
“เป็นชายคนนั้นจริง ๆ”
“ที่แท้ก็เฉินซี! ศิษย์ใหม่ที่ได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”
“เป็นเขาเอง!”
สีหน้าของเล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ พลันกลายเป็นเย็นชา จ้องมองมา และแสดงความเป็นศัตรูอย่างไม่ปิดบัง
เนื่องจากอวิ๋นฝูเซิงได้บุกไปที่สำนักศึกษานภาไพศาลเพียงลำพังเมื่อหลายปีก่อน และปราบปรามศิษย์ทุกคนในรุ่นเดียวกันทั้งหมด มันทำให้สำนักศึกษานภาไพศาลรู้สึกอับอายมาโดยตลอด ทำให้เหล่าศิษย์ในสำนักถือว่าศิษย์ทุกคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นศัตรูของพวกตนเช่นกัน ซึ่งความเป็นปรปักษ์ดังกล่าว ก็ไม่เคยเสื่อมคลายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
หลายปีผ่านไป ความขัดแย้งระหว่างศิษย์ของทั้งสองสำนักก็ปะทุขึ้นบ่อยครั้ง แต่ความขัดแย้งส่วนใหญ่มักจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสำนักศึกษานภาไพศาล
สิ่งนี้ทำให้ความเกลียดชังระหว่างศิษย์ของทั้งสองสำนักทบทวี เนื่องจากศิษย์เหล่านี้เข้าร่วมกับสำนักศึกษานภาไพศาล พวกเขาจึงได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศแห่งความเกลียดชังนี้ และมองว่าศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นเป้าหมายที่ต้องปราบปราม
พวกเขาแบกรับภารกิจเพื่อล้างความอัปยศของสำนักศึกษานภาไพศาลไว้บนบ่า ดังนั้นแม้จะไม่มีความเป็นปฏิปักษ์กับเฉินซี แต่จิตสังหารก็พวยพุ่ง เพียงแค่เห็นคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ในดวงตาลุกโชนด้วยความเกลียดชังเมื่อเห็นศัตรูคู่อาฆาต
“หรือพวกเจ้าต้องการต่อสู้กับข้าในเวลาเช่นนี้?” เฉินซีชำเลืองมองด้วยหางตา และแค่นหัวเราะเสียงเย็น ถ้าคนเหล่านี้โจมตีตนจริง ตัวเขาก็ไม่รังเกียจที่จะมอบบทเรียนแสนเจ็บปวดให้อย่างเท่าเทียม
หลังจากได้ยินสิ่งที่จี้เซวียนปิงกล่าว เขาก็ทราบอย่างชัดเจนว่า สำนักศึกษานภาไพศาลมักจะถือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นศัตรู ในขณะที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่เคยจริงจังกับความแค้นของอีกฝ่าย กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า รู้สึกว่าสำนักศึกษานภาไพศาลไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ!
กี๊! กี๊!
เสียงร้องแหลมคมของค้างคาวอมตะเสียดแทงหูเหมือนเสียงกรีดร้องของทารก มันปล่อยการโจมตีต่าง ๆ ที่มีพลังงานแห่งความตายพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศทางอย่างไม่หยุดยั้ง ฉากนี้ทำให้เล่อเชียนฉวนสงบลงทันที
“อย่าเพิ่งวอกแวก ต้องผ่านที่นี่ไปก่อน!” เล่อเชียนฉวนหายใจเข้าลึก และละสายตาจากเฉินซี ก่อนที่จะสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
แม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่เต็มใจ แต่ก็ทราบอย่างชัดเจนว่าตอนนี้พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยฝูงค้างคาวอมตะ และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากน้ำเต้าฟ้าดิน ก็คงตายไปนานแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถส่งคนไปจัดการกับเฉินซีได้
ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมา เหล่าศิษย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลล้วนจ้องมองเฉินซีอย่างดุร้ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งความสนใจไปที่ค้างคาวอมตะ
แต่ทว่า พวกเขาไม่สามารถสงบจิตใจได้อีกต่อไป เพราะสังเกตเห็นว่า ค้างคาวอมตะไม่ได้โจมตีเฉินซี แต่กลับไล่ตาม และโจมตีกลุ่มพวกตนเท่านั้น!
“นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้น??”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าสัตว์เหล่านี้ตาบอด? เห็นได้ชัดว่ามีคนเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น แต่ทำไมถึงไม่เห็นเขา!?”
“บัดซบ! หรือว่าเราจะดึงความสนใจของค้างคาวเหล่านี้ แล้วปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นรอดไปได้” เมื่อเห็นเฉินซีพุ่งออกจากวงล้อมของค้างคาวอมตะ หนึ่งในนั้นรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวทันที
“มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว! หากไม่มีเราต้านการโจมตีเหล่านี้ เขาจะหลบเลี่ยงพวกมันได้อย่างไร”
“ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั่นน่ารังเกียจอย่างแท้จริง!”
“บัดซบ! เราไม่สามารถปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้เด็ดขาด!”
คนอื่น ๆ กล่าวอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาลุกโชนด้วยเปลวเพลิง เนื่องจากพวกเขาต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก แต่เฉินซีกลับเดินผ่านไปอย่างสบาย ๆ ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในทุ่งดอกไม้ เมื่อนำทั้งสองเหตุการณ์มาเปรียบเทียบกัน จะให้พวกเขารู้สึกพอใจได้อย่างไร!
ครืน!
ฉับพลันที่พวกเขาเสียสมาธิ ฝูงค้างคาวอมตะก็กลายเป็นพายุหมุนสีดำส่งเสียงดังก้อง และฉวยโอกาสเมื่อชายหนุ่มจากสำนักศึกษานภาไพศาลลดการป้องกัน เข้าห่อหุ้มตัวคนผู้นั้นไว้
“อ๊าก!!!” แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะดิ้นรน แต่ผิวหนังทั่วร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นของกลิ่นอายแห่งความตายสีดำสนิท ชายคนนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด และในชั่วพริบตา แม้แต่ใบหน้าก็ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่แปลกประหลาดและน่าเกรงขาม
เห็นได้ชัดเจนว่าผมดำขลับหนาแน่นเปลี่ยนเป็นสีขาวทันที ก่อนที่จะเหี่ยวเฉาและร่วงโรย ผิวหนังเหี่ยวย่น จากนั้นยุบลงและหลุดลอก ทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกสีดำสนิทที่น่าสะพรึงกลัว
กร๊อบ!
โครงกระดูกค่อยถูกกักกร่อนทีละนิด ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านสลายไปพร้อมกับสายลม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้คนอื่น ๆ จะต้องการช่วยเหลือก็ไม่สามารถช่วยได้ทัน ทำได้เพียงเฝ้าดูสหายของตนกลายเป็นเถ้ากระดูกไปในพริบตา!
และนั่นคือเซียนทองคำ!
แต่เขาก็จากไปเสียแล้ว…
นี่คือพลังงานแห่งความตายของกฎแห่งชีวิตและความตาย มันรุนแรงอย่างมาก และเป็นหนึ่งในกฎสูงสุดที่มีแต่ราชันเซียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้!
เฉินซีอ้าปากค้างเช่นกันเมื่อเห็นฉากดังกล่าว ในที่สุดเขาก็ได้เห็นว่ากฎแห่งชีวิตและความตายนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด มันสามารถตัดสินชีวิตและความตายได้ในชั่วพริบตา อีกทั้งยังไร้ความปรานีอย่างที่สุด!
ในเวลาเดียวกัน ความเย็นเสียดแทงกระดูกพลันกลืนกินร่างของเล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งเย็นเฉียบ และภายใต้การกระตุ้นของความตาย มันทำให้สีหน้าของพวกเขาทุกคนไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“เป็นเพราะเจ้านั้น! เจ้าเด็กนั้นทำให้ศิษย์พี่ซุนตาย! หากไม่ใช่เพราะมัน ศิษย์พี่ซุนจะเสียสมาธิ และประสบกับจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร!?” หนึ่งในนั้นคำรามอย่างเดือดดาล
ดวงตาของคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นสีแดงก่ำ พลางจ้องมองเฉินซีอย่างโกรธแค้น
ชายหนุ่มกล่าวสิ่งใดไม่ออก “ชายคนนั้นตายเพราะความประมาท แต่พวกเจ้ากลับโยนความผิดให้ข้า? พวกเจ้าใส่ร้ายผู้อื่นได้อย่างไร้ยางอายเสียจริง!”
เขาไม่ได้ให้ความสนใจคนเหล่านี้ และมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การฝ่าวงล้อมที่แน่นหนา เพราะหม้อใบจิ๋วได้บอกว่า ในไม่ช้าศพโลหิตอมตะที่น่ากลัวยิ่งกว่าค้างคาวอมตะจะปรากฏขึ้น ถ้าไม่รีบฝ่าออกไป ผลที่ตามมาก็คงจะเลวร้ายอย่างยิ่ง
“ไอ้สารเลว! ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอก็อย่าหนีสิ!”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็จะเอาเลือดหัวเจ้ามาล้างแค้นให้ศิษย์พี่ซุน!”
ศิษย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลรู้สึกเดือดดาลเมื่อเห็นการกระทำของเฉินซี คำด่าสาปแช่งก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะสาปแช่งอย่างไร พวกเขาทำได้เพียงดูเฉินซีค่อย ๆ เคลื่อนไกลออกไป…
ชู่ว!
ไม่นาน เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของเขาผ่อนคลายมากขึ้น หลังพ้นฝูงค้างคาวอมตะอันมืดมิด และมาถึงที่หน้าประตูโค้งโบราณ
ประตูสำริดมีรอยกระดำกระด่างและเก่าแก่ พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว แต่พลังงานแห่งชีวิตกลับมีอยู่มากมายภายในนั้น แม้แต่ค้างคาวอมตะที่ดุร้ายก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ประตูสำริดได้ในระยะ 12 จั้ง
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก และคิดในใจว่า “นี่อาจเป็นเส้นทางปลอดภัยที่หม้อใบจิ๋วกล่าวถึง”
ชายหนุ่มมองไปทางด้านหลัง เขาสามารถเห็นปราณฟ้าดินพลุ่งพล่านเหมือนกระแสน้ำท่ามกลางฝูงค้างคาวอมตะ เห็นได้ชัดว่าเล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ ยังคงดิ้นรนอย่างขมขื่น
พวกเขาไม่โชคดีเท่าเฉินซีที่ได้รับความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋ว เพราะทันทีที่ฝูงค้างคาวอมตะถูกสังหาร มันจะฟื้นคืนชีพทันที ทำให้สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้น อันตรายและลำบากอย่างยิ่ง
เฉินซีรู้สึกว่าหากคนเหล่านั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสมบัติอมตะโบราณอย่างน้ำเต้าฟ้าดิน เล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ คงจะไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
ชายหนุ่มเลิกคิดเรื่องนี้ และยกมือขึ้น ก่อนที่จะผลักประตูโค้งสำริดให้เปิดออก
ปัง!
ทันใดนั้น มวลพลังที่ไร้รูปร่างและน่าสะพรึงกลัว ได้บดขยี้ลงมาจากทางด้านหลังเฉินซี ราวกับภูเขาขนาดมหึมา
ชายหนุ่มหรี่ดวงตาลง ก่อนจะแทงกระบี่ในมือไปด้านหลัง ทำให้ปราณกระบี่อันเจิดจ้าถูกกดด้วยพลังของกฎที่พลุ่งพล่าน
เนื่องจากความรุนแรงของการโจมตีอย่างกะทันหันนี้น่าเกรงขามไม่น้อย ทำให้เฉินซีรู้สึกกดดันอย่างมาก
ปัง!
กระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวจากการปะทะกัน ได้พัดกระจายราวกับพายุโหม ก่อนจะกวาดเข้าไปในทางเดิน พลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวทำให้เฉินซีกระเด็น ร่างกระแทกเข้ากับประตูโค้งสำริด ซึ่งแม้แต่ความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามในขณะนี้ เฉินซียังสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนภายในร่าง จนแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“นี่มันพลังอะไรกันนะ? ไยถึงน่ากลัวถึงเพียงนี้?” เฉินซีหันกลับมา สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา และไม่แยแสจนถึงขีดสุด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหนักหน่วงของปราณฟ้าดินพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่า การโจมตีเมื่อครู่มาจากที่ใด และแน่นอนว่าเป็นเล่อเชียนฉวนที่ใช้พลังของน้ำเต้าฟ้าดินลอบโจมตีตนขากทางด้านหลังอย่างไร้ยางอาย!
แน่นอนว่าในเวลาเดียวกัน เสียงประหลาดใจของเล่อเชียนฉวนก็ดังก้องอยู่ในทางเดิน “เขาต้านมันได้จริง ๆ ให้ตายเถอะ…”
ใบหน้าของเฉินซีเต็มไปด้วยความอาฆาต ในหัวใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาดุจคมกระบี่เย็นเฉียบค่อย ๆ จดจ้องไปที่เล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกล
เล่อเชียนฉวนและคนอื่น ๆ ยังไม่หลุดออกจากวงล้อมที่แน่นหนาอย่างสมบูรณ์ แต่หากคาดเดาไม่ผิด คงอีกไม่นานที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น
“เดิมทีข้าตั้งใจจะไม่ถือสาพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับมาหาเรื่องข้า และตั้งใจจะทำร้ายข้า… แม้แต่สวรรค์ก็คงจะไม่พอใจ หากข้าไม่ทำให้พวกเจ้าได้ชดใช้…” เฉินซีพึมพำในใจ จิตสังหารในอกพลุ่งพล่านดุจกระแสน้ำเชี่ยว
“รีบไปเร็วเข้า! ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานของศพโลหิตอมตะกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!” ทว่าหม้อใบจิ๋วก็กล่าวประโยคที่ทำให้เฉินซีสงบลงทันที เขาหายใจเข้าลึก และเบือนสายตากลับมา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองประตูสำริด
ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่า แม้เล่อเชียนฉวนกับคนอื่น ๆ จะโชคดีพอมีชีวิตรอดมาได้ แต่เขาจะทำให้พวกมันต้องชดใช้ด้วยราคาที่เจ็บปวด ต่อเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน!
“อืม?” ทันใดนั้น เฉินซีก็ตกตะลึง เพราะเขาสังเกตว่าตะไคร่น้ำสีเขียวที่เกาะตัวหนาอยู่บนพื้นผิวของประตูสำริดได้หลุดออกไป และตัวอักษร ‘仙’*[1] ที่เปื้อนเลือดก็ปรากฏขึ้นที่นั่น!
จังหวะการเขียนของตัวอักษรนั่นทรงพลังและอิสระ ซึ่งดูเหมือนว่ามันถูกลากออกมาจากทะเลเลือด ทุกจังหวะถูกปกคลุมไปด้วยเลือดหนาแน่น ทำให้เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เพียงแวบเดียว เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณที่สั่นระริก อาการคลื่นไส้รุนแรงจุกอก ถ้าไม่ใช่เพราะการปกป้องของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึก เกรงว่าจิตใจและวิญญาณคงพังทลายไปแล้ว!
“มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งในช่วงเวลาเป็นตาย!” เสียงของหม้อใบจิ๋วดังก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ “ตัวอักขระนี้เขียนขึ้นด้วยแก่นแท้โลหิต อีกทั้งยังถูกควบแน่นด้วยกฎแห่งชีวิตและความตาย ดังนั้นเจ้าไม่ควรมองมัน!”
[1] 仙 หมายถึง อมตะ หรือเซียน