บทที่ 1247 หม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1247 หม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์
เฉินซีจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนไม่อาจตอบสนองต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ทัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่ที่เขาพุ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างกะทันหัน กวาดล้างศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล และจากไปนั้น เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วราวกับภาพลวง
แต่เมื่อพวกเขาเห็นร่างที่นอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ได้กลิ่นฉุนของเลือดที่ฟุ้งกระจายในอากาศ และสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากกลิ่นอายของการต่อสู้ที่ยังไม่หายไปในห้องโถง…
ทั้งหมดนี้ทำให้จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องจริง!
เฉินซีบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์กว่ายี่สิบคนจากสำนักศึกษาทั้งสามแห่งเพียงลำพัง ฝั่งตรงข้ามส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีบางส่วนต้องจบชีวิตลง ทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปสิ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาได้นำขุมทรัพย์อมตะโบราณสามชิ้นไปจากอีกฝ่ายด้วย!
“สหายผู้นี้พบกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในสมรภูมิฝันร้ายมาหรือ? แม้แต่แผนภาพหยินหยางโกลาหลก็ยังช่วงชิงมาได้ เขาคงไม่…” ดวงตาที่ใสกระจ่างของจ้าวเมิ่งหลีเปล่งประกายแวววาว หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสับสน
“เขาคงไม่ฆ่าอ๋าวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ ” เจิ่นลู่กล่าวอย่างกระชับและหนักแน่นในทันที
“ใช่แล้ว หากยึดตามความเข้าใจเกี่ยวกับเฉินซีของข้า อ๋าวจ้านเป่ยกับคนอื่น ๆ คงจะไปทำให้เขาขุ่นเคืองอย่างแน่นอน จึงถูกปล้นแผนภาพหยินหยางโกลาหลมา”
จี้เซวียนปิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา กวาดไปด้านข้างราวกับกระบี่เฉียบคม เหล่าศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่าสิบคนจากสามสำนักศึกษา ต่างดิ้นรนและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จ้าวเมิ่งหลีตกใจ ขณะที่นางคาดเดาเจตนาของจี้เซวียนปิงได้ราง ๆ
“เฉินซีช่วยเราไว้มาก ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาแบกรับความเกลียดชังและความกดดันทั้งหมดเพียงลำพังได้ ดังนั้น…”
จี้เซวียนปิงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำเสียงสงบนิ่งไม่แยแส และลงมือทุบนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสำนักศึกษาทั้งสามแห่งในฝ่ามือเดียว เลือดกระเซ็นไปรอบ ๆ กลายเป็นฉากที่โหดร้ายยิ่ง ทว่าการแสดงออกของจี้เซวียนปิงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มันกลับดูเย็นชาและไร้ความปรานีอย่างยิ่ง
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร! กล้าสังหารพวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวการแก้แค้นของทั้งสามสำนักเลยหรืออย่างไร?”
ศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเดือดดาล พวกเขาพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
น่าเสียดายที่จี้เซวียนปิงไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาหลบหนี ร่างสูงกะพริบไหวซ้ำแล้วซ้ำอีก หนึ่งฝ่ามือปลิดชีพหนึ่งชีวิต
นี่เป็นการสังหารหมู่อย่างแท้จริง คู่ต่อสู้ไม่อาจต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาสั้น ๆ พื้นห้องโถงก็เต็มไปด้วยเลือด และไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
เมื่อถึงจุดนี้ จี้เซวียนปิงจึงหยุดมือและปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ถ้าข้าทนแรงกดดันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็ไม่คู่ควรที่จะใช้แซ่จี้”
จ้าวเมิ่งหลีตกตะลึง หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่นางก็พูดขึ้นว่า “นับข้าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วย”
จี้เซวียนปิงยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่เจิ่นลู่ที่ยืนอยู่ข้างเคียง
ผู้นำของกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งภพพุทธองค์ ผู้รักษาท่าทางเงียบขรึมและสงวนท่าทีอยู่เสมอ จู่ ๆ ก็ถอนหายใจออกมา “นับตั้งแต่ข้าเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สอง ข้าเองก็เคยลงมือต่อต้านเฉินซี ด้วยความตั้งใจที่จะนำสมบัติอันล้ำค่าของนิกายพุทธที่อยู่ในความครอบครองของเขาคืนมา ครั้งนั้นข้าทำให้เขาขุ่นเคือง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะยื่นมือช่วยข้า … ”
จี้เซวียนปิงและจ้าวเมิ่งหลีตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างเฉินซีและเจิ่นลู่
“นี่คือคัมภีร์พุทธที่สามารถขัดเกลาศาสนสมบัติได้ โปรดช่วยส่งต่อให้เขาด้วย คำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าจะไปทวงถามจากสำนักศึกษาทั้งสามให้เอง”
เจิ่นลู่หยิบคัมภีร์สีเขียวอ่อนออกมาแล้วส่งต่อให้จี้เซวียนปิง จากนั้นประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันและสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อออกจากห้องโถง
“สหายผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าข้าเสียอีก…” จี้เซวียนปิงเม้มริมฝีปาก เขาเพียงฆ่ากลุ่มคนที่ใกล้ตาย แต่เจิ่นลู่กลับตั้งใจที่จะทวงขอความยุติธรรมจากสำนักศึกษาทั้งสามแห่งนั้น ด้วยท่าทีที่ดูไม่เหมือนนักบวชชาวพุทธที่มีเมตตาเลยสักนิด
“คนของภพพุทธองค์ทุกคนก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? พวกเขาเชื่อในเหตุผลและแสวงหาผลกรรม แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกเขากระทำมันก็เป็นพฤติกรรมเดียวกับล้างแค้นหรือแก้ไขความเกลียดชังที่มีต่อกันนั่นแหละ” จ้าวเมิ่งหลีหัวเราะเบา ๆ
หลังจากนั้น นางมองไปที่พื้นที่ด้านนอกห้องโถง “ข้าเกรงว่าเราคงไม่อาจปกปิดเรื่องนี้ได้ เมื่อสักครู่นี้มีร่างหนึ่งแวบผ่านนอกห้องโถงใหญ่ไป บางทีอาจเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษาเต๋าเร้นลับหรือสำนักศึกษากระแสวาตะก็ได้”
“รู้ก็ดี ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกเขาจะกล้ามาก่อปัญหาให้พวกเราอีกหรือไม่” จี้เซวียนปิงยืนเอามือไพล่หลังแล้วหัวเราะอย่างภาคภูมิ
…
ฟุ่บ!
ความว่างเปล่าผันผวน จากนั้นร่างสูงของเฉินซีปรากฏตัวออกมาจากอากาศ
“เฉินซี! รีบปล่อยเราไปซะ มิฉะนั้นหากพวกอาจารย์ทราบเรื่อง พวกเขาจะต้องไล่เจ้าออกจากสำนักอย่างแน่นอน!”
“เจ้ากล้าแย่งเอาแผนภาพหยินหยางโกลาหลไป เจ้าพาหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแล้ว ยังไม่ยอมหยุดอีกหรือ!”
เมื่อเห็นเฉินซี ดวงตาของจั่วชิวจวิน อ๋าวจ้านเป่ย และคนอื่น ๆ ที่ถูกคุมขังในห้องโถงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง พวกเขาทั้งหมดต่างคำรามด้วยความโกรธ
การแสดงออกของเฉินซียังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเขาพลิกฝ่ามือ ขุมทรัพย์อมตะโบราณสามชิ้นก็ปรากฏขึ้น น้ำเต้าฟ้าดิน ตะเกียงวังไหมเขียว และผนึกเทวศสวรรค์ พวกมันลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับเปล่งแสงเรืองรอง
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวในห้องโถงก็หยุดลงทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจและสับสน
“เจ้า… เจ้า… เจ้าสังหารศิษย์ของทั้งสามสำนักพวกนั้นไปหรือ?” หนึ่งในนั้นตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
คนอื่น ๆ เองก็ตกใจเช่นกัน และพวกเขารู้สึกราง ๆ ว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง เพราะขุมทรัพย์อมตะโบราณเหล่านี้ ทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่มีต้นกำเนิดไม่ธรรมดา พวกมันเทียบได้กับแผนภาพหยินหยางโกลาหล แต่ตอนนี้พวกมันกลับปรากฏขึ้นพร้อมกันในมือของเฉินซี เห็นได้ชัดว่าเขาได้ชิงพวกมันมาจากสำนักศึกษาทั้งสาม
“ในฐานะสหายร่วมสำนักของข้า ในเวลาเช่นนี้พวกเจ้าควรรู้สึกยินดีแทนที่จะมาข่มขู่ข้านะ เพราะหากเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง สุสานของราชันเซียนแห่งนี้ก็อาจกลายเป็นสถานที่ฝังกระดูกของพวกเจ้าด้วย” เฉินซีพลิกฝ่ามือแล้วเก็บขุมทรัพย์อมตะโบราณทั้งสามไป
ห้องโถงเงียบสนิท ทุกคนเม้มริมฝีปากแน่นขณะที่สีหน้าดูมืดมนและหวาดกลัวยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขากังวลว่าเฉินซีจะเมินเฉยต่อทุกสิ่งและฆ่าพวกตนทิ้ง
“เอาละ ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้” เฉินซีเหลือบมองศิษย์ร่วมสำนักที่หมดกำลังใจโดยสิ้นเชิง และไม่ลังเลอีกต่อไป ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อก่อนจะโยนพวกเขาทั้งหมดออกจากห้องโถงไปเหมือนขยะ
“จำไว้ว่า หากมีใครกล้าก้าวเข้ามาอีกครั้ง อย่าโทษข้าที่ฆ่าเจ้า!” เฉินซีปัดมือ กล่าวคำขู่อย่างไม่สะทกสะท้าน และหันหลังกลับไปยังห้องโถงใหญ่
“เฉินซี เจ้า… ขอให้เจ้าไม่ตายดี!” ร่างกายของจั่วชิวจวินรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วทั้งตัว เมื่อได้ถอดเครื่องพันธนาการออก เขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธในหัวใจได้อีกต่อไป พลันยืนสาปแช่งเสียงดังด้วยความโกรธอยู่นอกห้องโถง
“คอยดูเถอะ ออกจากสุสานราชันเซียนเมื่อไหร่ เราจะรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ และเปิดเผยการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดของเจ้าต่อหน้าธารกำนัล ข้าจะดูว่าเจ้าจะยังอยู่ในสำนักได้อีกหรือไม่!” คนอื่น ๆ ก็เริ่มสาปแช่งเช่นกัน
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปในห้องโถงเลยสักคน
เพราะในใจยังเต็มไปด้วยความกลัวที่จะถูกเฉินซีบดขยี้อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ คนผู้นั้นได้ทุบตีพวกเขาจนเกือบตาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้สังหารศิษย์จากสำนักศึกษาอื่น ๆ ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ และยึดขุมทรัพย์อมตะโบราณของอีกฝ่ายมาครองด้วย…
ทั้งหมดนี้บังคับให้พวกเขาปฏิบัติต่อคำพูดของเฉินซีด้วยความระมัดระวัง และไม่กล้าที่จะเสี่ยงอีกต่อไป
ภายในห้องโถง เฉินซีเมินเฉยต่อทุกสิ่ง และเริ่มยืนคุ้มกันหม้อใบจิ๋ว
โอม~
หม้อใบจิ๋วเองก็ไม่รั้งรอได้อีก มันใช้ทักษะลับทันที ตัวหม้อเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายออกมา หลั่งไหลเข้าสู่ข้อจำกัดลึกลับทั้งเก้าอย่างรวดเร็ว
ยามนี้ จู่ ๆ สุสานของราชันเซียนก็สั่นสะท้าน ราวกับกำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่ผ่านหลายหมื่นปี!
ตำหนักทั้งเก้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลสาบแห่งกาลอวกาศ ส่งเสียงกึกก้องสั่นพ้องกับวงแหวนหม้อกลั่นที่ดูราวกับข้ามยุคสมัยมา เกือบจะในเวลาเดียวกัน
หนักแน่น โบราณ และสันโดษ เสียงนี้ดูเหมือนสามารถโจมตีถึงส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณได้โดยตรง และทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งเคารพและหวาดกลัว
โอม!
ท่ามกลางเสียงหม้อกลั่นที่ดังกึกก้อง ทันใดนั้น พลังไร้รูปร่างที่อธิบายไม่ได้ก็พุ่งขึ้นมา
ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของจี้เซวียนปิง กลุ่มของจั่วชิวจวินที่ยังคงสาปแช่งอย่างเดือดดาลอยู่นอกห้องโถง หรือศิษย์ของสำนักศึกษาอื่น ๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
จากนั้น หม้อกลั่นทองสัมฤทธิ์โบราณเก้าใบก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจากห้องโถงทั้งเก้า พวกมันเปล่งรัศมีอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีใครเทียบได้ ออกมากดดันทุกสิ่งในโลก
แม้แต่ความว่างเปล่าก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทนต่อน้ำหนักของหม้อทั้งเก้านี้ได้ และแตกสลายไปทีละน้อย เมื่อมองจากระยะไกล ก็เหมือนกับว่าท้องฟ้าทั้งมวลพังทลายลงทันที!
“หม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์!”
“นี่คือหม้อกลั่นทั้งเก้าที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิอวี่จากยุคบรรพกาล มันควบคุมโชคแห่งกรรมของเก้าทวีปในยุคแรกเริ่มก่อนที่ทั้งสามภพจะถูกสร้างขึ้น!”
“นี่คือมรดกที่แท้จริงของสุสานของราชันเซียนอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสเหล่านั้นกล่าวไม่ผิด จักรพรรดิอวี่สิ้นพระชนม์ในสนามรบที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และแม้แต่หม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์อันโด่งดังก็ยังถูกทิ้งไว้ที่นี่”
ทุกคนตกตะลึงและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ นี่เป็นสมบัติบรรพกาลอันล้ำค่า ที่เหนือกว่าขุมทรัพย์อมตะโบราณอย่างน้ำเต้าฟ้าดินหลายเท่า
“ยังมัวยืนเฉยอยู่อีก? ลงมือสิ!” มีคนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและทำให้ทุกคนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นและความตื่นเต้น
โครม!
ทว่าเมื่อพวกเขาตั้งใจจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นสวรรค์และปฐพีก็สั่นสะเทือนราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังถูกพลิกกลับ ทั้งสุสานก็เริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าพายุกาลอวกาศ กระแสน้ำกาลอวกาศ หลุมดำกาลอวกาศ รวมทั้งพลังงานแห่งชีวิตและความตายที่เหมือนกับทะเลคลั่ง กำลังโถมเข้าเติมเต็มสุสานพร้อมกัน ส่งเสียงดังก้องที่ฟังดูน่าตกใจอย่างยิ่งไม่หยุดหย่อน
แม่น้ำเพลิงขัดเกลา สะพานสู่ห้วงลึก ทะเลสาบกาลอวกาศ… ทั้งหมดนี้จวนจะพังทลายลงแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนตกตะลึง ความปรารถนาในใจถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวครั้งใหญ่ วิญญาณของพวกเขาแทบหลุดออกจากร่าง รู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง
“อา–!” ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนอง ร่างกายพลันสั่นสะท้าน และถูกห่อหุ้มด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจต้านทานได้ พริบตาต่อมา ภาพเบื้องหน้าก็มืดลง และหมดสติไป
…
“หืม?”
ลึกลงไปในแม่น้ำที่แยกทั้งสามภพออกจากอาณาจักรภายนอก จู่ ๆ เสียงอุทานแห่งความประหลาดใจก็ดังขึ้น จากนั้นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งก็ถูกพัดพาออกไป ข้ามผ่านช่องว่างหลายแห่งและแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ไร้ขอบเขตไป
“หม้อกลั่นทั้งเก้าของจักรพรรดิอวี่? สมบัติชิ้นนี้ปรากฏออกมาสู่โลกแล้วจริง ๆ…”
ทันใดนั้น ร่างที่พร่างพราวและทรงพลังอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของแม่น้ำแห่งดวงดาว ทั้งร่างอาบไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัว ที่บดบังท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวด้านหลัง
แปร๊น!
ช้างโบราณสีดำขนาดมหึมาส่งเสียงก้อง บดขยี้ดวงดาวจำนวนมากขณะพุ่งเข้าหาร่างที่พร่างพราวนั้น
“เฮ่ยเหริน ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ไว้ข้าจะสังหารเจ้าในครั้งหน้า!” เมื่อคนผู้นั้นเห็นสิ่งมีชีวิตตนนี้ ร่างที่พร่างพราวและทรงพลังทิ้งคำพูดไว้ก่อนที่จะหายไปในอากาศในพริบตา!