บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1243 วาสนา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1243 วาสนา

บทที่ 1243 วาสนา

ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วของเฉินซีกะพริบ และมันเปล่งแสงสีดำสนิทออกมา ขณะเพ่งไปที่ตะเกียง

ในชั่วพริบตา ตะเกียงที่ส่องแสงสลัว ก็เปล่งแสงไฟพร่างพราวอย่างยิ่ง และได้ปลดปล่อยพลังอันน่าสยดสยองที่กดดันเฉินซีจนรู้สึกหายใจไม่ออก

ชายหนุ่มหลับตาลง

หลังจากนั้น ภาพเบื้องหน้าพลันหายไป ตะเกียงยังคงเป็นตะเกียงดวงเดิม แสงที่เปล่งออกมายังคงสลัว แต่ในใจของเฉินซีได้ถือว่าตะเกียงนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์

เขาไม่กล้าตรวจสอบด้วยเนตรเทวะแห่งความจริงอีกครั้ง และด้วยวิธีนี้ เหตุุการณ์ก่อนหน้านี้จะไม่ปรากฏขึ้นอีก

ชั้นของน้ำมันสีทองเข้มวางอยู่ภายในตะเกียง และมันก็เหมือนกับทะเลสาบที่มืดสลัว แต่กลับแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขาม หลังจากกาลเวลาผ่านเนิ่นนาน กลิ่นอายของมันกลับไม่เสื่อมคลายแม้แต่น้อย

“ข้าสงสัยว่าน้ำมันของตะเกียงนี้ทำมาจากอะไร ไยมันถึงแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมาได้?” เฉินซีเม้มริมฝีปาก ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกตะเกียงขึ้นวางบนฝ่ามืออย่างระมัดระวัง แล้วสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา ตะเกียงนี้มีน้ำหนักพอสมควร มันให้ความรู้สึกเรียบ ๆ และเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ดูเหมือนว่ามันทำจากหยกและโลหะ แต่ไม่สามารถค้นพบความลับใด ๆ จากมันได้

“สมบัตินี้อาจถูกทิ้งไว้โดยเจ้าของสุสานแห่งนี้ ข้าจะเก็บเอาไว้ก่อน มันอาจมีประโยชน์ในภายภาคหน้า…” เฉินซีวางตะเกียงลง ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่เบาะนั่ง

เมื่อเทียบกับตะเกียงแล้ว เบาะนี้ดูธรรมดากว่ามาก แต่เมื่อเฉินซีตั้งใจจะหยิบมันขึ้นมา เขากลับไม่สามารถขยับมันได้สักนิด ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนแล้วก็ตาม!

“โอ้! ด้วยพละกำลังในปัจจุบันของข้า การเคลื่อนภูเขาย้ายสมุทรนั้นไม่เป็นปัญหาใด ๆ แต่ข้ากลับไม่สามารถขยับเบาะเล็ก ๆ นี้ได้ หรือว่ามันจะเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน?” เฉินซีพยายามทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สามารถขยับเบาะนี้ได้ ชายหนุ่มจึงทั้งประหลาดใจและงุนงง

“กินปลาหยินหยาง แล้วโคจรพลังบ่มเพาะซะ” ทันใดนั้น เสียงของหม้อใบจิ๋วก็ดังขึ้นในหูของเฉินซี แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นหม้อใบจิ๋วแม้แต่เงา

ชายหนุ่มเหม่อมองอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะการที่หม้อใบจิ๋วยังกล่าวได้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ และนั่นก็เกินพอแล้ว

เฉินซีทำตามคำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว เขาหยิบปลาหยินหยางทั้งสิบเก้าตัวออกมา ก่อนที่จะนั่งลงบนพื้นหน้าแท่น จากนั้นจุดไฟและเริ่ม… ย่างปลา

จิตสำนึกของปลาหยินหยางเหล่านี้ถูกกำจัดออกจนหมดสิ้น พวกมันจึงยังมีสีแดงสด หางของพวกมันปกคลุมด้วยเกล็ดที่งดงามราวกับภาพลวงตา เมื่อมันอยู่ในมือ กลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็จู่โจมใบหน้าอย่างจัง

อู้วว!

ชิงชิงถูกปล่อยออกมาเช่นกัน มันนั่งยอง ๆ น้ำลายไหลอยู่ข้างกองไฟ พลางมองดูเฉินซีย่างปลาหยินหยางอย่างกระหาย และดูเหมือนมันจะไม่สามารถต้านทานอาหารอันโอชะที่สุดยอดเช่นนี้ได้

หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมเย้ายวนใจก็ลอยฟุ้ง ราวกับกำลังบุกทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของกระดูก และกระชากเอาความอยากอาหารทั้งหมดออกมา เผยให้เห็นสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้

ชิงชิงกระสับกระส่ายและถูหัวนุ่มฟูของมันกับเฉินซีไม่หยุดหย่อน เหมือนคนตะกละที่หิวโหย

ในขณะเดียวกัน แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายที่ท่วมปาก กลิ่นของปลาหยินหยางเหล่านี้ดึงดูดใจมากเกินไป และมันทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าสั่นคลอนจนยากที่จะปฏิเสธ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับสถานการณ์เช่นนี้

ราวหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อชิงชิงกระวนกระวายจนน้ำตาแทบไหล ในที่สุดเฉินซีก็หยิบปลาหยินหยางออกมาจากกองไฟ ทว่าก่อนที่เขาจะได้ลองลิ้มชิมรสมัน ชิงชิงก็กระโจนเข้ามาและกลืนมันเข้าไปทั้งตัว

ง่ำ! ง่ำ!

ชิงชิงร้องเสียงหลง ปากของมันเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าตกตะลึง ซึ่งมีอยู่ในปลาหยินหยาง มันทั้งหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าสมุนไพรอมตะชั้นเลิศอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้

พรู่ด!

ไม่นานหลังจากนั้น ชิงชิงอ้าปากและพ่นก้างปลาออกมา ก้างปลาครึ่งหนึ่งเป็นสีดำเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่วนอีกครึ่งเป็นสีขาวเหมือนกลางวัน มันถูกประทับด้วยสายใยของเต๋าลึกลับที่งดงามราวภาพฝัน

เฉินซีรีบหยิบมันขึ้นมา และพินิจมันอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอน เขาสามารถสัมผัสได้ว่า สายใยของอักขระเต๋าที่ประทับอยู่บนก้างปลานั้น มีกลิ่นอายของมหาเต๋าแห่งหยินหยาง อีกทั้งยังมีร่องรอยของกลิ่นอายแห่งความมืดและแสงสว่างที่แผ่วเบาและไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า!

“ผู้อาวุโสกล่าวถูกต้องจริง ๆ ปลาหยินหยางเหล่านี้เป็นสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลอย่างแท้จริง และเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากอย่างยิ่ง เพราะเพียงก้างปลานี้ก็เทียบได้กับสมบัติล้ำค่าที่หายาก…” เฉินซีอุทานด้วยความตกตะลึงในใจ ชายหนุ่มวางก้างปลาอย่างระมัดระวัง เพราะแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจมหาเต๋าแห่งความมืดและแสงสว่างจากมันได้ แต่ยังสามารถใช้มันเป็นวัตถุดิบเซียนที่มีค่าได้

อ๊าวู๊! อ๊าวู๊!

ดวงตาของชิงชิงหรี่ลง คล้ายมีความสุขเป็นหนักหนา แล้วจ้องมองเฉินซีด้วยท่าทางน่าสงสารและหิวโหย พลางร้องขออย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบได้กับสัตว์เทวะ ไยตอนนี้เจ้าถึงดูเหมือนแมวถึงเพียงนี้?” เฉินซีตบหัวชิงชิง

เจ้าตัวเล็กนั้นแสนรู้ และมันก็ส่งเสียง ‘เหมียว’ ออกมา ก่อนที่จะงับปลาหยินหยางด้วยปากของมันแล้วหนีไป คล้ายกำลังกล่าวว่า ‘ก็ข้าเป็นแมว แล้วจะทำไมเล่า’

เฉินซีระเบิดเสียงหัวเราะและส่ายหน้า

ชายหนุ่มหยิบปลาหยินหยางขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนที่จะฉีกชิ้นเนื้ออย่างระมัดระวังและชิมรสของมัน เนื้อปลานั้นอร่อยมาก และยังละลายในปากพร้อมกับทิ้งกลิ่นหอมอบอวลในปาก ในเวลาเดียวกัน คลื่นที่บริสุทธิ์และร้อนแรงก็ไหลจากลำคอกระจายไปทั่วร่างกาย มันรู้สึกสบายตัวจนเฉินซีเกือบจะคร่ำครวญ

ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนกับได้ดื่มสุรารสเลิศ มันละลายในปากและกระจายไปทั่วร่างกาย แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังได้รับการหล่อเลี้ยง ช่างยอดเยี่ยมอย่างไร้ขอบเขต

“อร่อย! ช่างเป็นอาหารรสเลิศที่สุดยอดจริง ๆ!”

ในพริบตาเดียว เฉินซีก็กินปลาหยินหยางทั้งตัว จนแทบจะกลืนลิ้นของตัวเองลงไปด้วย

“เหมียว!”

ชิงชิงก็เข้ามาออดอ้อน และกระดิกหางขนาดใหญ่ พร้อมกับส่งเสียงร้องเหมือนแมวอย่างไร้ยางอาย หลังจากนั้นก็คว้าปลาหยินหยางอีกตัวเข้าปาก

“เหลือให้ข้าด้วย!” เฉินซีร้องตะโกนอย่างเร่งรีบ

ดังนั้นในช่วงเวลาถัดมา ชายหนุ่มและสัตว์ร้ายคู่นี้จึงเริ่มสวาปามปลาหยินหยางอย่างรวดเร็ว

เมื่อชิงชิงกินปลาหกตัว ร่างกายของมันก็เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง ท่าทางคล้ายเมามายและผล็อยหลับไปในที่สุด นี่เป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในปลาหยินหยางนั้นแข็งแกร่งเกินไป และมันถึงขีดจำกัดของชิงชิงแล้ว

ในทางกลับกัน เฉินซีกำลังกินอย่างต่อเนื่อง ทุกรูขุมขนบนร่างกายเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราย และน่าสะพรึงกลัว ประหนึ่งหินหลอมเหลวที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง และกำลังจะหลุดจากพันธนาการ

ตู้ม!

เมื่อเฉินซีกินปลาหยินหยางตัวสุดท้าย มันเหมือนกับภูเขาไฟได้ปะทุภายในร่างกาย แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องออกมาทั่วกาย ราวกับตั้งใจกระจายไปรอบ ๆ

เฉินซีจะกล้าลังเลเมื่อเห็นสิ่งนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มรีบนั่งสมาธิบนเบาะนั่ง ก่อนจะชักนำมันเข้าสู่โลกภายในร่างกายเพื่อขัดเกลา

ในขณะนี้ สติของเขารู้สึกราวกับว่าดื่มสุรารสเข้ม และตกอยู่ในอาการงุนงง ดังนั้นจึงได้แต่ชักนำพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในปลาหยินหยางตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว

กล่าวตามเหตุผล มันง่ายมากที่จะประสบกับปราณหักเห ในขณะที่บ่มเพาะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ไม่เพียงเฉินซีจะไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น เขายังรู้สึกว่าความเร็วในการบ่มเพาะยังเร็วกว่าเมื่อก่อนถึงสองสามเท่า มันทั้งผ่อนคลายและราบรื่นยิ่ง

จิตใจและร่างกายของเฉินซีค่อย ๆ เข้าสู่สภาวะสงบ จิตใจและร่างกายได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้บรรลุถึงสภาวะที่กลมกลืนและชัดเจนที่สุด ในทางกลับกัน ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่ทรงพลังและกว้างใหญ่ภายในร่างกาย ก็กำลังขัดเกลาพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดยั้ง

ห้องโถงมืดสลัวและเงียบสงัด

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่น ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ได้แพรวพราว แต่กลับมีความกลมกลืนอย่างมาก มันก่อตัวขึ้นเป็นเปลวเพลิงวงกลมแห่งทวยเทพซ้ำ ๆ ที่ส่องประกายริบหรี่อยู่รอบตัว ทำให้เขาดูไม่ต่างจากเทพเซียนในตำนาน

ในขณะนี้ทั้งห้องโถงดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม มันเปล่งเสียงสวดมนต์ที่ไม่ชัดเจนออกมา และดูเหมือนว่าท่วงทำนองของมหาเต๋าจะก้องกังวานไปตามยุคสมัย

ภายใต้อิทธิพลของการสวดมนต์นี้ เบาะใต้ตัวเฉินซีถูกอาบไปด้วยกลิ่นอายโบราณที่ปกคลุมไปทั่วกาย มันก่อให้เกิดประโยชน์ที่เหลือเชื่อต่อการบ่มเพาะ

ในยามนี้ การบ่มเพาะของเขาได้บรรลุถึงระดับมวลสวรรค์ของขอบเขตเซียนทองคำ และไร้เทียมในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่เป็นเพราะเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีความก้าวหน้าในการบ่มเพาะในระยะเวลาสั้น ๆ

เฉินซีเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นหลังจากบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ เขาไม่เคยหวังว่าจะสามารถพัฒนาการบ่มเพาะในเร็ว ๆ นี้

ทว่าตอนนี้มันต่างออกไป!

พลังความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในปลาหยินหยางนั้นทรงพลังและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากในภพทั้งสาม และในขณะนี้มันกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเฉินซีอย่างไร้ที่ติ ภายใต้อิทธิพลของการสวดมนต์ และกลิ่นอายโบราณที่เล็ดลอดออกมาจากเบาะนั่ง การบ่มเพาะของเฉินซีจึงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งมากขึ้น!

แต่เฉินซีกลับไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้แต่อย่างใด ชายหนุ่มขมวดคิ้วและยิ้มเป็นครั้งคราว จิตใจและร่างกายตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งอย่างแปลกประหลาดมาครู่ใหญ่แล้ว

หลังจากไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ร่างกายของเฉินซีพลันสั่นสะท้าน ก่อนที่จะมีเสียงดังก้องไปทั่วกาย เลือด เนื้อ ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และแม้แต่อวัยวะภายใน หรือจุดชีพจรและเส้นลมปราณ ดูเหมือนจะได้รับการชุบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายลึกลับ

ในเวลาเดียวกัน การบ่มเพาะที่ระดับมวลสวรรค์ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับกายาสวรรค์ในคราวเดียว!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การบ่มเพาะของเฉินซีในปัจจุบันอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลาง!

ครืน!

ดูเหมือนจะมีภูเขานับไม่ถ้วนปะทะกันภายในร่าง มันเป็นเสียงของปราณเซียนพิสุทธิ์ที่ไหลเวียน และส่งเสียงดังก้อนจนแทบทำให้หูหนวก คล้ายท่วงทำนองของเต๋า มันแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเคารพในหัวใจ

“กลายเป็นว่าข้า… ทะลวงขอบเขตแล้ว” เฉินซีรู้สึกมึนงง ราวกับกำลังฝันเรื่องที่เหลือเชื่อ ชายหนุ่มไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริงว่าจะมีวาสนาดังกล่าวที่ทำให้การบ่มเพาะพัฒนาขึ้นอีกครั้ง

เพราะเขาบรรลุขอบเขตเซียนทองคำได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ!

ไม่ต้องกล่าวถึงมุมมองของคนอื่น เพียงแค่ตัวเขาเองก็มึนงงอย่างมาก หากไม่สามารถสัมผัสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในร่างกายได้อย่างชัดเจน เขาคงไม่กล้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริง

ทั้งหมดนี้ มีความเกี่ยวข้องกับประโยชน์พิเศษที่มาจากการกินปลาหยินหยาง และเกี่ยวข้องกับเบาะที่อยู่ข้างใต้ตนเล็กน้อย

เนื่องจากในขณะนี้ เฉินซีสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เบาะนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถช่วยให้เข้าสู่สถานะของการรู้แจ้งถึงเต๋าได้อย่างรวดเร็ว มันไม่เพียงแค่ช่วยให้คนคนหนึ่งได้รับผลสองเท่าจากการบ่มเพาะเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คนคนหนึ่งได้รับผลถึงสิบเท่าอีกด้วย!

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวาสนา ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เหตุใดผู้คนจำนวนมากจึงต่อสู้จนตัวตาย ด้วยความตั้งใจที่จะเข้ามาในสุสานนี้ในตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

ทุกอย่างก็เพื่อวาสนา!

เฉินซีหายใจเข้าลึกและลืมตาขึ้น

“อืม?”

ทันทีที่ลืมตาขึ้น ร่างเพรียวบางและงดงามก็แวบเข้ามาในระยะการมองเห็น แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วขณะ แต่หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ลมหายใจขาดช่วงไปอย่างสิ้นเชิง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท