บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1250 ตั๊กแตนตำข้าวที่สะกดรอยตามจักจั่น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1250 ตั๊กแตนตำข้าวที่สะกดรอยตามจักจั่น

บทที่ 1250 ตั๊กแตนตำข้าวที่สะกดรอยตามจักจั่น

เห็นได้ชัดว่าคำถามของเฉินซีนั้นเกินความคาดหมายต่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ และยังดูเหมือนกำลังดูถูกพวกมันเสียด้วยซ้ำ

“นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ที่เอ่ยว่าพวกเราคนไหนที่เก่งที่สุดในการขุดหายางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์?”

“เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังดูถูกเรา!”

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางสนามรบ เฉินซีกลับไม่กังวลต่อชะตากรรมของตน และยังเอ่ยคำถามที่เข้าใจยากเช่นนี้ ซึ่งเป็นการยากที่จะไม่กระตุ้นโทสะของอีกฝ่าย

“ไอ้บัดซบนี้กล้าเล่นตลกกับเราในเวลาเช่นนี้จริง ๆ! ฆ่า! ฆ่าไอ้ชนพื้นเมืองที่น่าสมเพชนี้ซะ!” หลันฉีระเบิดไฟโทสะอย่างดุเดือด และชี้ไปที่เฉินซีพร้อมกับตะโกนเสียงดังอย่างน่ากลัว

“ฆ่า!” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนอื่น ๆ ก็โกรธเกรี้ยวเช่นกัน พลันพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือด

ทันใดนั้น การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวและไร้ความปรานีต่าง ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บังเกิดเป็นเสียงดังก้องราวกับฟ้าร้อง ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยแสงสีเจิดจรัสมากมาย

ครืน!

มวลอากาศแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ทะเลทรายสีเลือดพัดโหมอย่างรุนแรง ก้อนหินแตกเป็นผุยผง ภายในระยะสองพันห้าร้อยลี้รอบ ๆ ตัวของเฉินซี ทุกสิ่งได้ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ทันที

ทว่าท่ามกลางความประหลาดใจของหลันฉีและคนอื่น ๆ ร่างของเฉินซีได้หายไปจากสายตา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มโจมตี พวกมันก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้เลย

การต่อสู้ระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ ล้วนต้องคว้าโอกาสผ่านญาณเทวะอมตะและเจตจำนง จึงจะสามารถรุกรับปรับพลิกตามการต่อสู้ได้ทันท่วงที จึงจะตัดสินผลแพ้ชนะได้

ถึงอย่างนั้น พวกมันกลับไม่สามารถระบุตำแหน่งของศัตรูได้จริง ๆ ดังนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาจึงชัดเจน

พรูด! พรูด! พรูด!

ในช่วงเวลาถัดมา ร่างหนึ่งก็วาบขึ้นมาอย่างไร้วี่แวว และทะยานไปทั่วสนามรบ ซึ่งทุกครั้งที่ร่างนั้นผ่าน ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจะถูกพรากชีวิตไป บางคนถูกแทงทะลุคอ ถูกฟันหัวจนขาดกระเด็น หรือไม่ก็ถูกผ่าเป็นสองท่อน…

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และแค่ชั่วพริบตา ก็เหลือแค่หลันฉีที่ยังมีลมหายใจอยู่

เขาตกตะลึงกับฉากที่น่าสยดสยองตรงหน้า และยืนอึ้งราวกับว่าเป็นหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ

เพราะมันรวดเร็วและน่ากลัวเกินไป!

หลันฉีรู้สึกราวกับกำลังฝัน และไม่กล้าเชื่อว่าชายหนุ่มที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนทองคำ จะระเบิดพลังต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้ ความสามารถในการเข่นฆ่าเช่นนี้ มันชี้เป็นชี้ตายได้ทันที!

“ม… ไม่จริง ไยเจ้าเด็กนี่ถึงแข็งแกร่งปานนี้?! ไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้…” หลันฉีพึมพำและตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะเขารู้สึกว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา

ในขณะนี้ จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าร่างของเฉินซียืนห่างออกไปราวสิบสองฉื่ออย่างน่าประหลาดใจ

“อย่าฆ่าข้าเลย ข้ารู้ว่าใครเก่งที่สุดในการขุดหายางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์!” หลันฉีรู้สึกตกใจ และร้องซ้ำ ๆ

เฉินซีแสยะยิ้ม “ตอนนี้ข้าไม่อยากรู้เรื่องนั้นแล้ว จงมอบยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าครอบครองอยู่มาซะ แล้วข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ต้องทรมาน!”

เฉินซีมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าหล่อเหลา แต่เมื่อมันสะท้อนในดวงตาของหลันฉี รอยยิ้มนี้กลับน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจในพิภพคลื่นกล้วยไม้เสียอีก

“อย่าบีบกันเกินไปนัก!” หลันฉีคำรามลั่น “ยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้าต้องการ แม้ว่าข้าจะให้เจ้า แต่เจ้าจะกล้ารับมันหรือ?”

เฉินซีตกตะลึง “เหตุใดข้าจะไม่กล้า?”

“เจ้า…” หลันฉีจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง และไม่กล้าเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นผู้ที่กำเนิดในภพทั้งสาม …หรือเจ้าหมอนี่จะไม่รู้ว่าจะต้องประสบกับความตายที่น่าสยดสยอง หากแย่งชิงสมบัติที่เป็นของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงไป?

…เพราะถ้าเป็นชนพื้นเมืองธรรมดา ก็คงต้องคิดให้ถี่ถ้วนเมื่อเจอภัยคุกคามเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? แต่ปฏิกิริยาของคนผู้นี้ช่างไม่แยแสเสียเหลือเกิน… โอ้สวรรค์! นี่เขาเป็นตัวประหลาดหรือไร?

หลันฉีเกือบวิปลาส ความหวาดกลัว ความโกรธ ความสยดสยอง ความคับข้องใจ และอารมณ์อื่น ๆ ผสมผสานอยู่ในหัวใจ ชั่วขณะหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนคนโง่ และจ้องมองเฉินซีโดยกล่าวสิ่งใดไม่ออก

เฉินซีรู้สึกเหมือนกันว่า ปฏิกิริยาของคนผู้นี้ประหลาดนัก เพราะทั้งที่ใกล้จะตายแล้ว แต่กลับยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งม คนเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะหาได้ยาก แต่เฉินซีก็ไม่รู้สึกเห็นใจ และไม่คิดปล่อยหลันฉีไป

“ฮ่า ฮ่า! เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ? ไม่มีวัน! ข้ายอมตายด้วยน้ำมือของข้าเอง ดีกว่าปล่อยให้ไอ้สวะอย่างเจ้ามาทำให้ข้าต้องแปดเปื้อน!”

“ฝากไว้ก่อนเถอะ! กลียุคของทั้งสามภพอยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกเจ้าจะต้องตายทั้งหมด!” ทันใดนั้นหลันฉีคำรามลั่น ท่าทางหวาดกลัวและคับข้องใจหายไปจนสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่คือความจงรักภักดีที่เร่าร้อนถึงกระดูก และความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อทั้งสามภพ!

ในขณะที่กล่าว ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้านและปะทุด้วยเปลวไฟสีเขียว ในชั่วพริบตา หลันฉีก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขาปลิดชีพตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

แม้คำพูดเหล่านี้จะดูแปลก แต่เฉินซีก็ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายเหตุการณ์ตรงหน้าได้

“ความเกลียดชังนี้…มิอาจลงรอยกันได้จริง ๆ…” เมื่อเฉินซีนึกถึงการกระทำของหลันฉี และความเกลียดชังที่ฝังรากลึกในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนจะปลิดชีพตัวเอง ชายหนุ่มพลันรู้สึกหนักอึ้งอย่างไร้สาเหตุ และได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ อย่างอดไม่ได้

ความเกลียดชังระหว่างทั้งสามภพและเผ่าพันธุ์ต่างพิภพมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน และมันไม่สามารถลงรอยกันได้อย่างแน่นอน บางทีคงมีแค่เปลวไฟแห่งสงครามที่นองเลือด และการล่มสลายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ที่จะปลดเปลื้องความเกลียดชังนี้ได้

ในอดีต เฉินซีไม่เข้าใจเรื่องนี้ลึกซึ้งมากนัก ทว่าการตายของหลันฉีได้ส่งผลกระทบต่อหัวใจของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เข้าใจความเกลียดชังที่สั่งสมมานับไม่ถ้วนยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และสลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ ก่อนที่จะเริ่มเก็บกวาดสนามรบ ในท้ายที่สุดเขาได้รับยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่าหัวแม่มือมาอีกสี่ชิ้น

กลิ่นอายของเลือดภายในสมบัตินี้น่าตกตะลึงยิ่ง มันมีสีแดงสดและสว่างราวกับอัญมณีที่แวววาวที่สุดในใต้หล้า เพียงแค่ถือไว้ในมือ กลิ่นอายหนาทึบของเลือดปะทะใบหน้า แต่ว่ามันไม่เหมือนกับเลือด แต่คล้ายดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ มากมายที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นและผ่อนคลายแทน

หลังจากเก็บของที่ยึดมาได้อย่างระมัดระวังแล้ว เฉินซีก็ใช้เนตรเทวะแห่งความจริง เพื่อเริ่มค้นหาบริเวณที่หลันฉีและคนอื่น ๆ ขุดค้น

ยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่จะเก็บรวบรวมพวกมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เนื่องจากหลันฉีและคนอื่น ๆ ได้ขุดพบยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ ดังนั้นจะต้องมีอีกมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ

ชู่ว!

ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วของเฉินซีเปล่งประกายแสงสีดำสนิท ราวกับสามารถมองเห็นทะลุทุกสรรพสิ่ง และเผยให้เห็นถึงความจริงที่อยู่ตรงหน้า

“หืม? มันยังเหลืออยู่อีกมากจริง ๆ…” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความรู้สึกตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี

ภายในระยะสายตา แท้จริงแล้วกลับมีคลื่นพลังผันผวนสีเลือดราง ๆ อยู่ที่ส่วนลึกของพื้นดินใต้ทะเลทรายสีแดงเลือด และมันเหมือนกับข้อจำกัดที่ทำให้พื้นดินใต้เท้าแข็งดั่งหิน จนกระทั่งสามารถขัดขวางการรับรู้ของญาณเทวะอมตะได้

ทว่าทั้งหมดนี้ ไม่สามารถซ่อนเร้นจากเนตรเทวะแห่งความจริงได้ ชายหนุ่มจึงสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า ลึกลงไปใต้ผืนทรายสิบห้าลี้ มีคลื่นพลังผันผวนสีเลือดอยู่ที่นั่น มันมีแสงสีแดงแพรวพราวและเจิดจ้าฝังอยู่ในนั้น น่าตกใจ ทั้งหมดเป็นยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์!

“โอ้ มีตั้งสามสิบเจ็ดชิ้นเชียวหรือ?!” ดวงตาของเฉินซีเปล่งประกาย เหล่าเทพบรรพกาลได้ต่อสู้บนดาวหมึกโลหิต และหลั่งเลือดจนเป็นสายธาร มิฉะนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ยางไม้โลหิตศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะควบแน่นเป็นรูปร่างเช่นนี้

ขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ เฉินซีก็พลิกฝ่ามือ เรียกตราประทับโบราณรูปทรงสี่เหลี่ยมออกมา จากนั้นจึงทุบมันลงกับพื้นอย่างแรง

สมบัติอมตะโบราณ ผนึกเทวศสวรรค์!

ตู้ม!

แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้น ความเกลียดชังพุ่งสู่ท้องฟ้า ด้วยการทุบเพียงครั้งเดียวก็กระแทกเข้ากับก้นเหวที่ไร้ก้นบึ้งอย่างแรง ผืนทรายในระยะสองร้อยห้าสิบลี้สั่นสะเทือนจนเม็ดทรายฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า

หากศิษย์อาวุโสจากสำนักศึกษาระทมสันต์เห็นว่าสุดยอดสมบัติของพวกตน ถูกนำไปใช้ในลักษณะนี้ พวกเขาคงจะโกรธจนกระอักเลือดออกมา

เห็นได้ชัดว่า เฉินซีไม่สนใจว่าใช้สมบัติอมตะโบราณในทางที่ผิดหรือไม่ ชายหนุ่มเก็บผนึกเทวศสวรรค์ออกไป ก่อนที่จะควักน้ำเต้าฟ้าดินออกมา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนนั้น และพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของผืนทรายทันที

โอม~

ไม่นานนัก หลังจากที่เฉินซีจากไป คลื่นมิติผันผวนก็ปะทุขึ้น จากนั้นก็มีเงาสองสามร่างก้าวออกมา

น่าประหลาดใจ คนเหล่านี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือกลิ่นอายของพวกเขาเหนือกว่าหลันฉีและคนอื่น ๆ มาก อีกทั้งยังสามารถเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์!

“หลันฉีและคนอื่น ๆ ตายแล้ว!”

“ฆาตกรเพิ่งจากไป เข้าไปในส่วนลึกของผืนทราย!”

“อย่าไล่ตาม! อันตรายเกินไป กลิ่นอายของเลือดเข้มข้นนัก เพียงรอมันอยู่ที่นี่ก็พอ”

“บัดซบ! มันกล้าสอดมือยุ่งเรื่องของท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง หากมันโผล่หัวออกมา ข้าจะถลกหนังไอ้สวะนี้อย่างแน่นอน!”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพเหล่านี้สนทนาผ่านกระแสปราณ ใบหน้าต่างเผยความไร้ปรานีอย่างสุดขีด และไม่ได้ปกปิดจิตสังหารเลยสักนิด

เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้า ๆ

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป คลื่นพลังผันผวนก็เกิดขึ้นจากใต้ผืนทราย และพุ่งเข้าหาพวกเขาด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

สิ่งนี้ย่อมถูกสังเกตเห็นโดยผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่เทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ พวกเขาจึงควบคุมกลิ่นอายของตนทันที ในขณะที่สะสมพลังและรอจังหวะโต้กลับ ประหนึ่งนักล่าที่มีประสบการณ์โชกโชน เฝ้ารอเหยื่อติดกับดักอย่างใจเย็น ก่อนที่จะปลิดชีพมันในคราวเดียว

“สมรภูมิฝันร้าย ไม่อนุญาตให้ตัวตนที่มีการบ่มเพาะอย่างพวกเจ้าเข้ามา” ทว่าทันใดนั้น เสียงที่ไม่แยแสพลันดังขึ้น เจ้าของเสียงปรากฏขึ้นจากอากาศอย่างไร้ที่มา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา รูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยรอยย่นที่ลึกเหมือนหุบเหว ดวงตาที่หรี่เป็นร่องและจมเข้าไปในเบ้าตา ซึ่งดูเหมือนกำลังหลับอยู่ แต่แท้จริงแล้วคนผู้นี้คืออาจารย์ฝ่ายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จั่วชิวไท่อู่ !

“ผู้ใดกัน!?” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพตกตะลึง และไม่อาจควบคุมกลิ่นอายได้อีกต่อไป ทุกตนหันมาจดจ้องไปที่จั่วชิวไท่อู่เป็นตาเดียว

ตู้ม!

น่าเสียดายที่จั่วชิวไท่อู่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด และเปิดฉากโจมตีทันที ซึ่งดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมาก เพราะเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ฟ้าดินทั้งหมดก็ดูคล้ายพังทลาย และถูกขังด้วยพลังไร้รูปร่างที่น่าสะพรึงกลัว

หลังจากนั้น ชายชราก็ก้าวไปข้างหน้า เสื้อคลุมสีเทาปลิวไสว จากนั้นก็เงื้อมือขึ้นและวาดออกไปเบา ๆ

โครม!

ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่เทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ ถูกบดขยี้จากระยะไกลและกลายเป็นเศษเนื้อ!

ชายชราทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เทียบได้กับขอบเขตเซียนปราชญ์ด้วยการโจมตีอย่างลวก ๆ!

นี่คือราชันเซียนครึ่งขั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเทียบกับราชันเซียนได้ แต่ความแข็งแกร่งก็เพียงพอที่จะดูถูกขอบเขตเซียนปราชญ์ทุกคนในใต้หล้า!

“บัดซบ! มันเป็นราชันเซียนครึ่งขั้น! เราถูกลอบโจมตี! รีบหนีเร็วเข้า!” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ต่างหวาดกลัว โกรธสุดขีด และตกใจอย่างยิ่ง พวกเขาหันหลังกลับ และหลบหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“หาได้ยากที่ข้าจะลงมือ และข้าคงดูไร้ค่าเกินไป หากปล่อยให้พวกเจ้าหนีไปได้ ดังนั้นจงทิ้งชีวิตเอาไว้ซะ!”

ท่ามกลางเสียงที่ไม่แยแส เสื้อผ้าของจั่วชิวไท่อู่ปลิวไสวตามแรงลม กลิ่นอายของเขาสั่นสะเทือนไปรอบ ๆ จากนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือที่เหี่ยวย่นออกไป ทุก ๆ ครั้งที่ฟาดฝ่ามือ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจะถูกระเบิดเป็นชิ้น ๆ และถูกปลิดชีพทันที แม้แต่การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการโจมตีดังกล่าวได้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท