บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น
บทที่ 1251 การต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น
พรูด!
ในจังหวะที่เฉินซีพุ่งออกมาจากผืนทราย เขาเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ของต่างพิภพถูกบดขยี้กลางอากาศจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน บังเกิดเป็นฉากนองเลือดที่น่าสังเวช แต่ก็มีความงดงามในตัว
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นจั่วชิวไท่อู่ผู้ยิ่งใหญ่ ผมสีขาวปลิวไสว ในขณะที่เขาควบคุมพลังงานรอบกาย ทำให้ฟ้าดินดูเหมือนยอมจำนนต่อคนผู้นี้
ในตอนนั้นเอง เฉินซีรู้สึกราวกับว่าได้เห็นทวยเทพผู้เกรี้ยวกราด!
แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จั่วชิวไท่อู่กลับคืนสู่ท่าทางเซื่องซึมและอ่อนแรง ฟ้าดินกลับคืนสู่ปกติ
มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่ยังฟุ้งอยู่ในอากาศ
“คารวะผู้อาวุโส” เฉินซีประสานฝ่ามือคารวะ แต่ความระแวดระวังกลับพรั่งพรูในใจ เขาไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นเป็นใคร ความสนใจทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่ชายชราตรงหน้า
ในช่วงก่อนที่เขาจะออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เซวียนหยวนซิ่วเคยย้ำเตือนเกี่ยวกับจั่วชิวไท่อู่ และนอกจากความเคารพต่อจั่วชิวไท่อู่แล้ว คำกล่าวของนางยังเผยถึงความกลัวอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
เซวียนหยวนซิ่วยังกล่าวว่า แม้แต่หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในที่กระหายการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเช่นเซวียนหยวนพัวจวิน ก็ยังเคยยอมรับว่าด้อยกว่าจั่วชิวไท่อู่!
เพียงแค่อาศัยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว จั่วชิวไท่อู่จึงเป็นผู้อาวุโสที่สามารถกระตุ้นความเคารพในหัวใจของเหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่เขามีแซ่ว่าจั่วชิว หนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งคือตระกูลจั่วชิว!
เฉินซีไม่กล้ามองข้ามสิ่งนี้ เพราะเมื่อจั่วชิวไท่อู่ปรากฏตัวในดาวหมึกโลหิต ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็พรั่งพรูในใจอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเทียบกับความระมัดระวังของเฉินซี ท่าทางของจั่วชิวไท่อู่กลับไม่แปรเปลี่ยน ดวงตาที่ขุ่นมัวหรี่ลง ร่างผอมแห้งโค้งงอเล็กน้อย ไร้ร่องรอยของกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจ้องมองเฉินซี ใบหน้าเหี่ยวย่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ราวกับว่ากำลังมองผู้เยาว์ของสำนัก ซึ่งคงไว้ด้วยท่าทางของผู้อาวุโส
“เจ้าหนู มอบแผนภาพหยินหยางแห่งความโกลาหลให้ข้าซะ” จู่ ๆ จั่วชิวไท่อู่ก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่สิ่งแรกที่กล่าวถึงกลับเป็นเรื่องแผนภาพหยินหยางแห่งความโกลาหล!
หัวใจของเฉินซีตึงเครียดขึ้นทันใด …เขาต้องการแผนภาพคืนหรือ? นี่เป็นสัญญาณที่เลวร้ายนัก!
เฉินซีหายใจเข้าลึก และเม้มริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าจำได้ว่าสมบัติชิ้นนี้อยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสทาปาเทียนซี ดังนั้นข้าจะส่งมอบให้แก่เขาหลังการทดสอบสิ้นสุดแล้ว”
ขณะที่กล่าว เฉินซีก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่า ในระยะสองพันห้าร้อยลี้ ท้องฟ้าและผืนดินถูกปิดผนึกด้วยกลิ่นอายที่ไร้รูปร่างอย่างเงียบงันและน่าสะพรึงกลัว ซึ่งหมายความว่าหากชายหนุ่มต้องการที่จะหลบหนี เขาก็จะถูกสังเกตเห็นในทันที!
การตระหนักถึงสิ่งนี้ ทำให้หัวใจของเฉินซีดิ่งลง และความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว “หรือว่าตระกูลจั่วชิวคิดจะฆ่าข้าจริง ๆ?”
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัว เพราะผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการตายของร่างหลัก
ชายหนุ่มแค่รู้สึกว่ามันน่าเสียดาย เพราะตนเพิ่งได้รับทรัพย์สมบัติมากมายมาจากสมรภูมิฝันร้าย แต่กลับต้องพบกับศัตรูที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ซึ่งเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ความโชคร้ายมักอยู่คู่กับความโชคดี และเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
“ทาปาเทียนซี?” เมื่อได้ยินคำว่าทาปาเทียนซี ในที่สุดใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งดูเย้ยหยันเป็นพิเศษ
หลังจากนั้น ชายชราก็เบนสายตาไปจดจ้องผืนทรายด้านล่าง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ไอ้หนูได้เอ่ยถึงเจ้าแล้ว ไยถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง และพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้หันกลับไปมอง เพราะเกรงว่าจั่วชิวไท่อู่กำลังใช้กลอุบายเพื่อหลอกตน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ท่าทางเยาะเย้ยบนใบหน้าเหี่ยวย่นของจั่วชิวไท่อู่ก็เด่นชัดยิ่งขึ้น แต่ร่องรอยของความชื่นชมกลับปรากฏเช่นกัน
“พี่จั่วชิวได้ช่วยเฉินซีจัดการกับภัยคุกคามแล้ว ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะจากไปอย่างเงียบ ๆ แต่ข้าคงต้องเผยตัว เนื่องจากท่านได้เผยร่องรอยของข้าแล้ว” ทว่าเฉินซีกลับต้องประหลาดใจ เพราะจั่วชิวไท่อู่ไม่ได้ใช้กลอุบายใด ๆ ทันทีที่สิ้นเสียง น้ำเสียงอันอบอุ่นก็ลอยออกมาจากผืนทรายอันกว้างใหญ่นี้
ทันใดนั้น ร่างที่สวมชุดขาว มีผมสีดอกเลา หน้าตาหล่อเหลาราวกับชายหนุ่ม พลันปรากฏกายออกมา น่าแปลกที่คนผู้นี้เป็นหนึ่งในหัวหน้าอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทาปาเทียนซี!
หรือว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอด?
เฉินซีรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดตรงหน้า เพราะตัวตนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนครึ่งขั้นได้ปรากฏตัวที่นี่ในเวลาเดียวกัน และถ้าทั้งสองมาเพื่อช่วยจัดการกับภัยคุกคามก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่ามันดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง
“เจ้าหนู เจ้าทำได้ดีมาก ในเมื่อเจ้าออกจากสุสานได้อย่างปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นก็ส่งแผนภาพหยินหยางโกลาหลมาให้ข้า ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเจ้าได้” จู่ ๆ เสียงของทาปาเทียนซีก็ดังก้องอยู่ในหู ชายหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นว่าทาปาเทียนซีกำลังมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม
เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกำลังจะตอบตกลง ทว่าจั่วชิวไท่อู่พลันถอนหายใจยาว และดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากนั้น กระดูกสันหลังที่คดงอและร่างกายที่ผอมแห้งพลันยืดตรง กลิ่นอายน่ากลัวและกว้างใหญ่แผ่ซ่านออกมา ซึ่งจังหวะที่กะพริบตา ประกายเย็นยะเยือกอันน่าตกใจพลันสาดส่อง ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหัวใจและวิญญาณ
เขาดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนในพริบตา!
“ทาปาเทียนซี รีบจากไปซะ แล้วข้าจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น” จั่วชิวไท่อู่กล่าวด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนเสียงฟ้าคำราม และเผยกลิ่นอายสังหารที่ทำให้หัวใจหนาวสั่น
สีหน้าของเฉินซีซีดลง หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรง และตระหนักได้ว่าพลังในร่างกายของตนถูกควบคุมโดยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ ไม่ว่าจะจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ตั้งแต่ที่บรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ และสามารถยืนยันได้ว่า เจตจำนงของขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นนั้นน่ากลัวเพียงใด!
“รีบส่งแผนภาพหยินหยางโกลาหลให้ข้า มิฉะนั้นเราทั้งสองจะตกอยู่ในอันตราย!” เสียงของทาปาเทียนซีดังขึ้นที่หูของชายหนุ่มอีกครั้ง ทว่ามันกลับแฝงความรู้สึกหนักอึ้งและวิตกกังวล เห็นได้ชัดว่าจั่วชิวไท่อู่ได้แผ่แรงกดดันใส่ทาปาเทียนซีเช่นกัน
“เจ้าคิดจะจากไปโดยที่มีแผนภาพหยินหยางโกลาหลอยู่ในมือ?” สายตาของจั่วชิวไท่อู่ประหนึ่งสายฟ้าฟาด ราวกับสามารถมองทะลุไปถึงก้นบึ้งของจิตใจได้
“ในฐานะอาจารย์ร่วมสำนัก ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าชักนำหายนะมาสู่ตนเอง”
ทันทีที่สิ้นเสียง สายตาของจั่วชิวไท่อู่จับจ้องไปที่ชายหนุ่ม และเผยท่าทางซับซ้อน “จงไตร่ตรองทุกสิ่งอย่างมีสติ อย่าปล่อยให้ดวงตาของเจ้ามืดบอดไปด้วยความเกลียดชัง”
โครม!
ทันทีที่กล่าวจบ จั่วชิวไท่อู่ก็หายตัวไปทันที และมาถึงตรงหน้าทาปาเทียนซี จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือในพริบตา
การโจมตีด้วยฝ่ามือนี้ ราวกับว่ามันยืดออกไปตามยุคสมัย และแฝงไปด้วยพลังสูงสุดของมหาเต๋า ช่างเรียบง่ายและเหมือนอยู่คนละโลก แต่มันพุ่งไปข้างหน้า ประหนึ่งตั้งใจที่จะทำลายสิ่งกีดขวางทั้งปวง!
ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา ในขณะที่มีเสียงดังก้องกังวานอยู่ในหู พลังในร่างกลับมาพรั่งพรู เมื่อการคุกคามของแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้หายไป และเกือบจะล้มลง ชายหนุ่มเป็นเหมือนฟางที่อยู่ท่ามกลางคลื่นพายุ มองไม่เห็น และไม่ได้ยิน… เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
แต่นี่เป็นเพียงกลิ่นอายที่เล็ดลอดมาจากการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้น หากมันมุ่งเป้าไปที่ตน เกรงว่าคงพินาศในทันที!
โครม!
พลังที่น่าสะพรึงกลัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเฉินซีรู้สึกว่าทัศนวิสัยมืดลง แล้วหมดสติไป
…
วู๋~ วู๋~
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ลมกระโชกที่ฟังเหมือนเสียงคร่ำครวญก็ดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี จากนั้นฉากมากมายก็แล่นเข้ามาในหัว…
ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่ง และกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดดั่งน้ำหมึก ทรายสีเลือดดูเหมือนจะเปล่งประกายอย่างสวยงามภายใต้แสงดาวสีเงิน และสายลมยามค่ำคืนที่ส่งเสียงโหยหวน ก็ฟังดูเหมือนวิญญาณพยาบาทที่คร่ำครวญในยามราตรี
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มยังอยู่ในทะเลทรายสีเลือด
“ข้ายังไม่ตาย…” เฉินซีรีบตรวจสอบข้าวของของตน ไม่มีสิ่งใดหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เห็นก่อนที่จะหมดสติไป ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ใครเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครึ่งขั้นกันแน่?”
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ทันใดนั้น เสียงที่สูงวัยก็ดังขึ้น
ตอนนี้เฉินซีเพิ่งสังเกตว่า มีร่างผอมแห้งและโค้งงอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินเตี้ย ๆ ห่างไปราวห้าลี้ ชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของร่างนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยอาศัยญาณเทวะอมตะเพียงอย่างเดียว
“จั่วชิวไท่อู่!”
หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ แต่ยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ ชายหนุ่มยืนขึ้นและประสานฝ่ามือคารวะ “ผู้อาวุโส”
“ทาปาเทียนซีถูกใครบางคนชักจูงให้ทำเช่นนี้ ซึ่งเขาได้สำนึกและจากไปแล้ว ในภายหน้า เขาจะไม่มีทางคุกคามเจ้าได้อีก” จั่วชิวไท่อู่ยืนขึ้น พลางเดินเอามือไพล่หลัง
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ริ้วรอยบนใบหน้าดูเหมือนจะลึกยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนชายชราในโลกมนุษย์ที่มีเวลาเหลือไม่มาก และทำให้คนอื่น ๆ กังวลว่าลมกระโชกอาจพรากชีวิตเขาได้
แต่เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่า นี่คือราชันเซียนครึ่งขั้นของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ที่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษมาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ ไม่ต้องกล่าวถึงลมกระโชก เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม
แต่หลังจากนั้น เฉินซีก็ไม่อาจใส่ใจกับเรื่องนี้ได้ เพราะตกใจกับคำพูดของจั่วชิวไท่อู่ “หรือว่าผู้ที่คิดร้ายกับข้าในครั้งนี้ คือทาปาเทียนซี?”
“เจ้าทำได้ดีและไม่ได้ให้แผนภาพหยินหยางโกลาหลแก่ทาปาเทียนซี ไม่อย่างนั้นข้าคงจัดการกับเขาได้ยากขึ้น” จั่วชิวไท่อู่หยุดตรงหน้าเฉินซี ดวงตาขุ่นมัวจดจ้องชายหนุ่มอยู่นาน ก่อนที่จะกล่าวในตอนท้ายว่า “บางครั้ง ความเกลียดชังจะทำให้ดวงตามืดบอดและทำให้คนขาดสติ ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะค่อย ๆ ทบทวนเรื่องทั้งหมดนี้”
ชายชราจากไปอย่างรวดเร็วทันทีที่กล่าวจบ
“ผู้อาวุโส!” เฉินซีตะโกนเสียงดัง แต่ร่องรอยของจั่วชิวไท่อู่กลับไม่ปรากฏให้เห็น เหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิวเท่านั้น
ชั่วขณะหนึ่ง เฉินซียืนตะลึงดุจลาโง่ และเข้าใจอะไรบางอย่างได้ราง ๆ แต่ยังไม่กล้ายืนยัน โดยรวมแล้ว การเผชิญหน้าที่แปลกประหลาดในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าจั่วชิวไท่อู่ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตน
ถึงขนาดช่วยขจัดภัยร้าย!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทาปาเทียนซี…คือคนที่ตระกูลจั่วชิวส่งมาเพื่อสังหารข้า? ราชันเซียนครึ่งขั้น พวกเขาประเมินข้าสูงส่งเหลือเกิน…” ขณะที่พึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเฉินซีค่อย ๆ สงบลง จากนั้นความเยือกเย็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม
ความเกลียดชังทำให้ดวงตามืดบอด แต่หัวใจไม่สามารถบอดได้ ความเกลียดชังบางอย่างต้องได้รับการชำระคืนด้วยเลือดมิใช่หรือ?