บทที่ 1254 ใครคืออันดับหนึ่ง?
บทที่ 1254 ใครคืออันดับหนึ่ง?
เฉินซีไม่สนใจปฏิกิริยาของจั่วชิวจวินแม้แต่น้อย
เมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่เพิ่งเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เฉินซีหวาดเกรงจั่วชิวจวินจริง ๆ เพราะในเวลานั้น ตนอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ในขณะที่จั่วชิวจวินอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ
บัดนี้เขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลาง ซึ่งแทบจะไร้คู่ต่อกร ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจจั่วชิวจวินอีกต่อไป
หากนี่ไม่ใช่การทดสอบที่นำโดยโจวจื่อหลีและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เฉินซีก็มีหลายพันวิธีในการฆ่าจั่วชิวจวิน อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกจำกัดไม่ให้ลงมือต่อจั่วชิวจวิน แต่เขาก็ไม่ได้กังวล
เนื่องจากหนทางยังอีกยาวไกล และย่อมมีโอกาสสังหารจั่วชิวจวินในอนาคตได้อย่างแน่นอน
สรุปแล้ว จั่วชิวจวินไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อเฉินซี ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีก็หันหลังกลับและจากไป
จั่วชิวจวินและศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวต่างมีท่าทางที่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง เพราะเมื่อสองปีที่แล้ว บางทีพวกเขาอาจจัดการเฉินซีโดยไม่ลังเล แต่ตอนนี้… ไม่มีใครกล้ายั่วยุอีกฝ่าย!
ดังที่กล่าวไว้ว่า บุปผาไม่มีวันแปรเปลี่ยน แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
…
“เฉินซี!” ในตอนนั้นเอง เมื่อเฉินซีกำลังจะจากไป จู่ ๆ ก็มีคนขานชื่อตน และคนผู้นั้นคือจี้เซวียนปิง
เฉินซีมีความประทับใจที่ดีต่อศิษย์ของหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่คนนี้ เพราะอีกฝ่ายได้ช่วยแบ่งเบาแรงกดดันและความเกลียดชังไปมาก ดังนั้นเขาจึงหยุดและแย้มยิ้มทันทีที่เห็นการมาของจี้เซวียนปิง “พี่จี้ มีอันใดหรือ?”
จี้เซวียนปิงยิ้มอย่างสบายใจและส่งตำราสีเขียวอ่อนให้ “ เจิ่นลู่ ขอให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า เขาบอกว่ามันสามารถซ่อมแซมศาสนสมบัติที่เจ้าครอบครองอยู่ได้”
เฉินซีตกตะลึง “เจิ่นลู่?”
“ใช่แล้ว” จี้เซวียนปิงเผยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้ง “ครั้งหนึ่งเขาเคยลงมือต่อเจ้าในระหว่างการทดสอบรอบที่สอง เนื่องจากเจ้ามีศาสนสมบัติอยู่ในความครอบครอง บางทีเขาอาจจะอยากแสดงคำขอโทษด้วยการทำเช่นนี้”
เฉินซีตระหนักได้ทันที พลันจ้องมองไกลออกไป แน่นอนว่าเขาเห็นเจิ่นลู่ยืนอยู่ที่นั่นในชุดนักบวชสีขาวราวกับพระจันทร์ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเฉินซีมองมาทางตน เขาก็โค้งคำนับพลางประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงหันหลังกลับและจากไป
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องหาโอกาสขอบคุณเจิ่นลู่สำหรับน้ำใจนี้” เฉินซียิ้มพลางรับตำราสีเขียวอ่อนมา เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีความเป็นศัตรูที่ลึกซึ้งระหว่างเรา ดังนั้นเมื่อเจิ่นลู่ได้แสดงคำขอโทษอย่างจริงใจเช่นนี้ เขาจึงไม่คิดสืบสาวเอาความอีกต่อไป
…
“ที่แท้มันคือวิธีการซ่อมแซมโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ…”
ภายในอาคารโบราณที่ทรุดโทรมในเมืองเมฆาสุบิน เฉินซีนั่งขัดสมาธิพลางอ่านเนื้อหาในตำราสีเขียวอ่อน มันบันทึกเคล็ดวิชาการหลอมสร้างสมบัติด้วยอักขระโบราณ และมันเรียกว่าตำราเมฆาเจ็ดวิถี มันลึกซึ้งและคลุมเครือ ซึ่งแตกต่างกับวิธีหลอมสร้างสมบัติในสามภพอย่างสิ้นเชิง
เพราะนี่คือเคล็ดวิชาการหลอมสร้างและเสริมพลังให้กับพุทธศาสนสมบัติ มันเป็นเคล็ดวิชาหลอมสร้างสมบัติขั้นสุดยอด และเป็นเคล็ดวิชาลับของภพพุทธองค์
ตามการแนะนำของตำราเมฆาเจ็ดวิถี ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่า โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัตินั้นเป็นพุทธศาสนสมบัติโบราณที่มีชื่อเสียงในภพพุทธองค์ ที่ได้รับการหลอมสร้างโดยพระพุทธองค์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยบรรพกาล อีกทั้งยังมีความสามารถพิเศษและความลึกล้ำอันไร้ขอบเขต
เฉินซียังจำได้ว่า ตนได้รับโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติจากทะเลทุกข์แห่งยมโลก ซึ่งทะเลทุกข์ได้สยบและพรากชีวิตของยอดผู้เยี่ยมยุทธ์นับไม่ถ้วนในสมัยบรรพกาล ดังนั้นจึงหลงเหลือสมบัติโบราณล้ำค่ามากมายภายในมัน และโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากสมบัติชิ้นนี้ เขาก็ยังได้รับแผ่นหยกโบราณมาด้วย ทว่าแผ่นหยกได้บันทึกวิธีการใช้และวิธีหล่อเลี้ยงโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ แต่กลับไม่มีวิธีการซ่อมแซมที่แท้จริง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเสียใจมาโดยตลอด และทำได้เพียงเก็บโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ และใช้รัศมีปัดเป่าภัยพิบัติเพื่อหล่อเลี้ยงเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เสียหายเท่านั้น
“นึกไม่ถึงว่าข้าจะได้มันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ นี่อาจจะเป็นเพราะฟ้าได้ลิขิตไว้แล้วหรือไม่?”
ยิ่งการบ่มเพาะสูงขึ้น ทัศนคติของเฉินซีต่อสิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขารับรู้และเข้าใจต่อความลับของสวรรค์ โชคชะตา กรรม และโหราศาสตร์มากขึ้น
มันเหมือนบางเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็จะตระหนักได้ว่ามันมี ‘ความบังเอิญ’ มากเกินไป
เศษเสี้ยวของ ‘ความบังเอิญ’ เหล่านั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุและผลของกรรม
“ด้วยตำราเมฆาเจ็ดวิถีนี้ ข้าก็สามารถซ่อมแซมเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอ และต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นข้าทำได้เพียงรอจนกว่าจะกลับไปที่สำนัก จึงจะสามารถซ่อมแซมพุทธศาสนสมบัติทั้งสองนี้ได้ และเมื่อถึงเวลานั้น บางทีข้าอาจจะได้เห็นพลังที่แท้จริงของพวกมัน…”
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเก็บตำราสีเขียวอ่อนไป
…
ม่านราตรีกาลคืบคลานลงมา ห้องโถงกลางของเมืองเมฆาสุบินสว่างไสวด้วยเปลวไฟของตะเกียง มันดูสว่างไสวประหนึ่งเที่ยงวัน
“สังหารไปสามร้อยสิบเก้าคน ฮ่า ๆ! ผลงานดังกล่าวจะต้องได้รับสมบัติจากตงจวินโหวอย่างแน่นอน”
“ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวเช่นนี้ รอดูก่อนเถอะ”
“โอ้ นั่นก็จริง ตอนนี้เหลือแค่เฉินซีผู้เดียวที่ยังมาไม่ถึง”
“ในบรรดาสมบัติอมตะทั้งสามชิ้น ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ระดับวีรบุรุษ ในขณะที่อีกสองชิ้นอยู่ที่ระดับจักรวาล ณ ปัจจุบัน การจัดอันดับได้ตัดสินคร่าว ๆ แล้ว และเฉินโม่หลี่แห่งสำนักศึกษาเมฆาหมอกก็เป็นผู้นำด้วยจำนวนการสังหารสามร้อยสิบเก้าคน เจิ่นลู่เป็นอันดับสองด้วยการสังหารสามร้อยเจ็ดคน คนสุดท้ายคือจ้าวเมิ่งหลี นางสังหารไปสองร้อยเก้าสิบสามคน หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น สมบัติทั้งสามนี้จะต้องตกเป็นของทั้งสามคนอย่างแน่นอน”
“แต่ต้องรอจนกว่าเฉินซีจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะมาถึง แล้วจึงจะสามารถตัดสินได้ เพราะพลังฝีมือของเด็กคนนี้นับว่าไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”
“เฒ่ากู่ ครั้งนี้เฉินโม่หลี่จากสำนักศึกษาเมฆาหมอกของเจ้าแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ เหนือความคาดหมายของเรามาก และอนาคตของเด็กคนนี้คงไร้ขีดจำกัด”
“ฮ่า ฮ่า! มันก็แค่โชค แค่โชคเท่านั้น”
“อย่าปฏิเสธเลย โชคเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง คนหนุ่มสาวบางคนมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่กลับขาดวาสนา ทำให้ชะตาของพวกเขาไม่ดีนัก และในที่สุด พวกเขาก็ต้องล้มตายตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายจริง ๆ”
เมื่อเฉินซีมาถึงห้องโถงกลาง พลันได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากภายใน และบรรยากาศก็ดูค่อนข้างคึกคัก
“เฉินโม่หลี่หรือ?” เฉินซีตกตะลึง เพราะเขาไม่คุ้นหูชื่อนี้เลยสักนิด
“โอ้ เจ้าเด็กนั่นมาแล้ว”
“เร็วเข้า รีบมอบตราดาราม่วงของเจ้ามาซะ จะได้รู้ว่าเจ้าสังหารไปกี่คน”
“ถูกต้อง! ข้าอยากรู้ว่าเขาได้สร้างผลงานอันใดไว้ในสมรภูมิฝันร้ายเสียเหลือเกิน”
เมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัวที่นอกห้องโถง สายตามากมายก็เพ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่เหมือนเมื่อก่อน เฉินซีไม่แยแสต่อสายตาดังกล่าว ไม่รู้สึกยินดี แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด สภาพจิตใจสงบนิ่ง ราวสายลมที่พัดผ่านขุนเขา ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
ท่ามกลางสายตาที่จดจ้องเหล่านั้น เฉินซีก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง ก่อนจะหยุดตรงหน้าโจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงคารวะพวกเขาทีละคน ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งด้านข้าง
จากมุมนี้ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นใจกลางห้องโถงได้อย่างชัดเจน สมบัติสามชิ้นที่ส่องประกายระยิบระยับกระจายอยู่บนโต๊ะตรงหน้าตงจวินโหว
พวกมันคือสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ ระฆังสายเลือดวิญญาณ กับสมบัติอมตะระดับจักรวาลอีกสองชิ้น ธงรัศมีหยกและดาบวารีขาว
ระฆังสายเลือดวิญญาณถูกวางอยู่ตรงกลางโต๊ะ มันมีขนาดประมาณฝ่ามือ สีดำสนิท และมีแสงสีดำที่น่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย
ส่วนสมบัติอมตะระดับจักรวาลอีกสองชิ้น ก็เต็มไปด้วยประกายแสงระยิบระยับ ปราณมงคลล่องลอยไปรอบ ๆ ทำให้พวกมันดูน่าเกรงขาม งดงาม และไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลที่มีคุณภาพสูงและล้ำค่า
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีสังเกตเห็นว่าสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงที่ตงจวินโหวจัดขึ้นในครั้งนี้
แต่นับว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเมื่อเช้าของวันนี้ สำนักทั้งสามได้เสียหน้าครั้งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจะมีอารมณ์มาเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ได้อย่างไร?
“หืม? ชายคนนั้นน่าจะเป็นเฉินโม่หลี่…”
เฉินซีสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า มีชายหนุ่มร่างผอมบางสวมชุดสีม่วงกำลังจ้องมาที่ตนจากที่นั่งของสำนักศึกษาเมฆาหมอก เขามีหน้าผากกว้าง ดวงตาบุ๋มลึก และมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง คนผู้นี้น่าจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงเป็นอย่างน้อย
เหตุผลที่เฉินซีตระหนักว่าชายคนนี้คือเฉินโม่หลี่นั้นง่ายมาก เป็นเพราะสายตาของเฉินโม่หลี่แตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง และมันมีร่องรอยของการยั่วยุอยู่ราง ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นศัตรู เห็นได้ชัดว่าเฉินโม่หลี่นั่นไม่มั่นใจต่อพลังฝีมือของเฉินซี และถือเฉินซีเป็นเป้าหมายของตน
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ “การทำให้ข้าเป็นเป้าหมายที่จะยั่วยุเป็นสิ่งที่ดี แต่เกรงว่าเขาจะไม่สามารถทนต่อผลกระทบจากการพ่ายแพ้ หลังจากที่ยั่วยุข้าได้”
“เฉินซี ขอข้าดูตราดาราม่วงของเจ้าหน่อย” ในขณะเดียวกัน โจวจื่อหลีก็กล่าวขึ้นมา
เฉินซีหยิบตราดาราม่วงออกมาอย่างไม่ลังเล และมอบให้กับโจวจื่อหลีทันที
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เสียงอึกทึกในห้องโถงก็เงียบลงอย่างฉับพลัน และสายตาของทุกคนก็เพ่งไปที่โจวจื่อหลี
ในขณะนี้ โจวจื่อหลีอดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย เพราะในอดีตที่ผ่านมา ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเคยแข่งขันกับอีกหกสำนักมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมีทั้งแพ้และชนะ ทว่ายังคงเป็นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่ได้รับรางวัลมากที่สุด
ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากเฉินโม่หลี่จากสำนักศึกษาเมฆาหมอกที่จู่ ๆ ก็โผล่มา ล่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพไปมากกว่าสามร้อยคนภายในเวลาเพียงสามเดือน ทำให้เขาเหนือกว่าเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลี
หากไม่ใช่เพราะเฉินโม่หลี่ สามอันดับแรกจะต้องตกอยู่ในกำมือของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ครั้งนี้คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น
หากเฉินโม่หลี่ได้อันดับหนึ่ง แม้ว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะมีศิษย์สองคนที่อยู่ในสามอันดับแรกของการทดสอบของทั้งเจ็ดสำนัก แต่มันก็ไม่ถือว่าสมเกียรติ
โชคดีที่เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง เพราะยังเหลืออีกหนึ่งคน นั่นคือเฉินซี!
“เด็กคนนี้มักทำอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ ดังนั้นโปรดอย่าได้ล้มเหลวในครั้งนี้…”
โจวจื่อหลีพึมพำในใจและหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเพ่งความสนใจไปที่ตราดาราม่วง เมื่อเห็นตัวเลขที่บันทึกผลของการต่อสู้ ใบหน้าพลันแข็งทื่อ มุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ เขาตกตะลึง และนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงกลับยิ่งอยากรู้มากขึ้น “การแสดงออกเช่นนี้ หมายความว่าผลลัพธ์ของเฉินซีนั่นเลวร้าย หรือดีเลิศจนท้าทายสวรรค์กันแน่?”
“พี่โจว ผลลัพธ์ของเขาเป็นเช่นไรกัน? ทุกคนยังเฝ้ารอคำตอบอยู่ หากผลลัพธ์ของเขาด้อยกว่า… ข้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสเป็นเช่นนั้น ก็อย่าได้ประกาศมัน” หวังต้าวหลูอดไม่ได้ที่จะกล่าวเบา ๆ
“เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน” โจวจื่อหลีสูดหายใจเข้าลึก ๆ ซ้ำ ๆ ก่อนจะยื่นตราดาราม่วงไป
ดังนั้นในช่วงเวลาถัดมา ทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มุมปากของหวังต้าวหลูก็กระตุกอย่างอดไม่ได้เช่นกัน ทั้งยังมือสั่นจนเกือบจะทิ้งตราดาราม่วงลงบนพื้น…