บทที่ 1256 การค้าทาส
บทที่ 1256 การค้าทาส
ณ ทวีปเนตรสวรรค์
ภายในตระกูลจั่วชิว
จั่วชิวคงยืนเงียบ ๆ ในลานบ้านที่หรูหราและเรียบง่าย ดวงตาจ้องมองไปยังประตูที่ปิดอย่างแน่นหนาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อเวลาผ่านไป คิ้วสีดำที่เอียงดุจกระบี่ของเขา ก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่ได้
ในท้ายที่สุด ประตูยังคงปิดอย่างแน่นหนาและเงียบสนิท เขาจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ และตั้งใจจะจากไป
ทว่าทันใดนั้น เสียงทุ้มหนักที่เต็มไปด้วยอำนาจอันสูงสุดได้ดังก้องมาจากภายในประตูที่ปิดแน่น “คงเอ๋อร์ นี่เจ้าไม่รู้ตัวว่าทำสิ่งใดผิดพลาดไปเลยหรือ?”
จั่วชิวคงตกตะลึง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ พลางก้มหน้าลง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ท่านพ่อ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อคิดว่า… ไอ้สารเลวนั่นไม่ควรถูกฆ่า?”
ท่านพ่อ!
วิธีการกล่าวเช่นนี้ ชี้ให้เห็นถึงตัวตนของเจ้าของเสียงที่อยู่หลังประตู น่าแปลกใจที่คนผู้นั้นคือผู้นำตระกูลจั่วชิว จั่วชิวเฟิง!
“ไม่แปลกใจที่อาเสวี่ยบอกว่า เจ้ายังเด็กเกินไป…” เสียงถอนหายใจของจั่วชิวเฟิงดังก้องจากภายในห้อง “ความผิดของเจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าวางแผนที่จะฆ่าไอ้สารเลวนั่นในครั้งนี้ แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รับรู้ถึงเจตนาของผู้อาวุโสในตระกูลอย่างชัดเจน”
“เจตนาของพวกเขา?” จั่วชิวคงมีความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ เมื่อได้พบกับท่านอาจั่วชิวเสวี่ย เขาเคยถูกเหยียดหยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ แม้แต่บิดาของตนยังบอกว่าเด็กเกินไป และด้วยฐานะที่เป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน เขาย่อมรู้สึกค่อนข้างไม่พอใจเป็นธรรมดา!
“ใช่ เจตนาของพวกเขา!” เสียงของจั่วชิวเฟิงกลายเป็นเคร่งขรึมและเข้มงวด “เจ้าคิดว่าท่านบรรพบุรุษไท่อู่ทำลายแผนการของเจ้าในครั้งนี้หรือไม่? ไม่สิ! เจ้าไม่ได้ตระหนักว่ามันไม่มีความแตกต่างในสายตาของท่านบรรพบุรุษไท่อู่และคนอื่น ๆ นับประสาอะไรกับการทรยศเราเพื่อสนับสนุนอาของเจ้า”
จั่วชิวคงตกตะลึง และเข้าใจบางอย่างราง ๆ แต่ยังไม่กล้ายืนยัน
“จำไว้ว่าพวกเขามีเพียงตระกูลจั่วชิวอยู่ในใจ นอกจากนี้ แม้แต่ข้าผู้นำตระกูล ก็ไม่มีความสำคัญใด ๆ แต่เจ้ากลับยืมมือคนนอกเพื่อฆ่าเฉินซีภายใต้จมูกของท่านบรรพบุรุษไท่อู่ การกระทำเหล่านี้ได้เกินขีดจำกัดที่เขาจะรับได้แล้ว”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี่ จั่วชิวเฟิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “พวกเขาสนใจแค่เลือดของตระกูลจั่วชิวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเฉินซี และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล!”
เมื่อกล่าวว่าเฉินซีเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล เสียงของเขาก็เผยความเกลียดชังอย่างสุดจะพรรณนา
ตอนนี้จั่วชิวคงเพิ่งเข้าใจว่าตนผิดพลาดอย่างไร และก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ หากเป็นเช่นนั้น แผนการครั้งนี้จะไม่ล้มเหลวทันทีที่ข้าส่งอาจวินและท่านลุงฮงไปเยี่ยมท่านบรรพบุรุษไท่อู่หรอกหรือ?”
“เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง? ท่านบรรพบุรุษไท่อู่มักจะบ่มเพาะอย่างสันโดษในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก แต่ข้าก็ไม่กล้าประเมินอิทธิพลในตระกูลของเขาต่ำไป และการทำเช่นนี้ก็เท่ากับผลักท่านบรรพบุรุษไท่อู่ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับท่านอาของเจ้า” เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของจั่วชิวเฟิงดังขึ้นจากด้านหลังประตู
สิ่งนี้ทำให้ความอำมหิตปรากฏบนหว่างคิ้วของจั่วชิวคง จากนั้นใบหน้าที่สงบและเฉยเมยของเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นหมองคล้ำ
เป็นเพราะตนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะทำผิดพลาดอย่างมหันต์เช่นนี้ ถึงขนาดล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น…
“ไปเถิด แล้วอย่าเพิ่งออกจากตระกูลในช่วงนี้”
“ท่านพ่อ เมื่อไหร่ท่านจะเสร็จสิ้นการปิดด่านบ่มเพาะ และกลับมาดูแลตระกูล?” จั่วชิวคงอดไม่ได้ที่จะถาม
“อีกไม่นาน ตอนนี้ข้าแค่รอ…ปัจจัยสำคัญในการบรรลุ!”
“ปัจจัยสำคัญในการบรรลุ…”
ดวงตาของจั่วชิวคงหรี่ลง ก่อนจะโค้งคำนับไปทางประตูที่ปิดสนิท จากนั้นจึงหันหลังจากไป
…
ในเวลาเดียวกัน ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองเซียนสัประยุทธ์
“เหมืองหลอมวิญญาณ? นั่นคือสถานที่ของตำหนักราชันเซียนของทวีปเซียนสายหมอกที่ใช้กักขังผู้ละทิ้งสวรรค์จากภพมนุษย์ เฉินซี อาจารย์ของเจ้าคงไม่ใช่…” เมื่อเขาพบว่าเฉินซีตั้งใจจะไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเหมืองหลอมวิญญาณภายในทวีปเซียนสายหมอก ดวงตาของเซวียนหยวนอวิ่นก็หรี่ลง ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจและงุนงง
ผู้ละทิ้งสวรรค์คือผู้ที่มาจากภพมนุษย์และไม่เต็มใจขึ้นสู่ภพเซียน และใช้เคล็ดวิชาลับต้องห้ามเพื่อปกปิดรากฐานเซียนของพวกตน ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงจากการถูกตรวจพบของเต๋าแห่งสวรรค์
สำหรับภพเซียน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นอย่างใหญ่หลวง และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่จะถูกดึงเข้าสู่ภพเซียนอย่างแข็งขัน ผู้ละทิ้งสวรรค์เหล่านี้จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงอีกด้วย
เหมืองหลอมวิญญาณเป็นพื้นที่ที่ดูแลโดยตำหนักราชันเซียนแห่งทวีปเซียนสายหมอก ซึ่งเชี่ยวชาญในการลงโทษผู้ละทิ้งสวรรค์ และมันก็ไม่ต่างจากคุกของโลกมนุษย์
“เจ้ารู้ตำแหน่งที่ตั้งของเหมืองหลอมวิญญาณหรือไม่” เฉินซีเอ่ยถาม
แม้จะยังไม่ตอบคำถามของเซวียนหยวนอวิ่น แต่ก็ทำให้เขาสามารถยืนยันได้อย่างราง ๆ ว่า อาจารย์ของเฉินซีจากภพมนุษย์น่าจะเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์อย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เซวียนหยวนอวิ่นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะเขาทราบอย่างชัดเจนถึงผลลัพธ์อันน่าสังเวช ที่ผู้ละทิ้งสวรรค์ต้องเผชิญหลังจากถูกดึงเข้าสู่ภพเซียน
“มันน่าจะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองวาตะหลงระเริง”
จากนั้นเซวียนหยวนอวิ่นก็กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม มันยากที่จะค้นหา ข้ารู้จักสหายบางคนในเมืองวาตะหลงระเริง ข้าสามารถถามข้อมูลจากพวกเขาได้”
“เอาละ เป็นอันตัดสินใจแล้ว แต่ก่อนอื่นเราต้องตามหาคนคนหนึ่งเสียก่อน” เฉินซีกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ใครหรือ?” เซวียนหยวนอวิ่นตกตะลึง
“สาวน้อยที่ส่งแผ่นหยกมาให้ข้า ชื่อของนางคือชีเซียวอวี่” แววตาของเฉินซีลุ่มลึก ขณะตอบอย่างใจเย็น
…
ณ ทวีปเซียนสายหมอก
ท้องฟ้าสีครามใสกระจ่าง ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลอยอยู่เหนือเมืองวาตะหลงระเริง
ตรอกกล้วยไม้ เป็นถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองวาตะหลงระเริง และมีหอการค้า ร้านอาหาร ศาลาสมบัติ ร้านสมุนไพร และอื่น ๆ กระจายอยู่ตามถนนมากมาย
ทว่าอีกหนึ่งชื่อเสียงอันเลื่องลือของตรอกกล้วยไม้คือการค้าทาส
ทาสที่ถูกขายที่นี่ ไม่ได้มีแค่เชลยศึกที่มาจากดาวต่าง ๆ ในนอกพิภพเท่านั้น ยังมีเผ่าพันธุ์ที่หายากและแปลกประหลาดจากภพทั้งสามอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์เงือกจากมหาสมุทรฟูซ่าง คนตัวเล็ก ๆ ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวจากเหวฟ้าโบราณ เทพธิดาหนอนไหมสานเมฆาจากแดนน้ำแข็งเมฆาเรืองรอง และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตามข่าวลือ บางครั้งอาจสามารถหาซื้อลูกหลานของมังกร วิหคอมตะและตระกูลโบราณที่เสื่อมโทรมจนเป็นทาสอยู่ที่นี่ได้ แน่นอนว่าตัวตนของทาสเหล่านี้พิเศษเกินไป ไม่มีใครกล้าขายมันอย่างเปิดเผย ดังนั้นพวกเขาจึงพบเห็นได้ในตลาดมืดบางแห่งเท่านั้น
สรุปแล้ว การค้าทาสได้กลายเป็นสมญานามของตรอกกล้วยไม้ และดึงดูดลูกค้านับไม่ถ้วนจากทวีปอื่น ๆ ให้มาซื้อทาสที่นี่
เวลาเที่ยงวันเป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดในตรอกกล้วยไม้แห่งนี้ และพ่อค้าจำนวนมากจะตั้งแผงขายของตามข้างถนนทั้งสองฟาก พร้อมกับตะโกนเสียงดังเรียกลูกค้า
“ที่นี่หรือ?”
“ใช่แล้ว กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ในแผ่นหยกน่าจะเป็นของชีเซียวอวี่ก่อนหน้านี้ ข้าค้นหานางด้วยญาณมหาเทวะอมตะแล้ว และจับร่องรอยของกลิ่นอายที่สอดคล้องกับชีเซียวอวี่ได้เล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนมันจะอยู่ที่นี่” ภายในกระแสผู้คนที่พลุกพล่าน เฉินซีและเซวียนหยวนอวิ่นกำลังเดินเคียงข้างกัน
“นี่คือเขตค้าทาสที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปเซียนสายหมอก และมีผู้คนมากมายหลายเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่…” เซวียนหยวนอวิ่นกวาดตามองโดยรอบและกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ตามข้ามา” ทันใดนั้น เฉินซีดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มไม่รอให้เซวียนหยวนอวิ่นกล่าวจบ เขาลากอีกฝ่ายพุ่งไปยังระยะไกล
ชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็มาถึงแผงค้าทาสขนาดใหญ่แล้ว
แม้จะเรียกว่าแผงค้าทาส แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ต่างจากจัตุรัสเล็ก ๆ และมีเวทีตั้งอยู่ที่นั่น บนเวทีมีกรงเหล็กขนาดใหญ่จำนวนมาก รวมกันแล้วมีมากกว่าหนึ่งพันกรง
น่าตกใจที่มีทาสทุกประเภทอยู่ภายในกรงเหล็ก มีทั้งมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ มากมาย ซึ่งพวกมันถูกจัดวางและขายเหมือนสินค้า
มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่แข็งแกร่งกว่ายี่สิบคนคอยคุ้มกันทาสเหล่านี้ ซึ่งภายในเมืองวาตะหลงระเริง กองกำลังดังกล่าวถือว่าค่อนข้างโดดเด่น
ในขณะนี้ มีชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนพ่อค้ายืนอยู่หน้าเวที และกำลังนำเสนอเหล่าทาสภายในกรงเหล็กต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างกระตือรือร้น
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ ชายหนุ่มจดจ้องกรงเหล็กกรงหนึ่ง มีหญิงสาวในชุดขาดวิ่นถูกกักขังอยู่ในนั้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มือของนางถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กเส้นหนา อย่างไรก็ตามจากผิวพรรณที่ขาวราวกับหยก และรูปร่างสง่างาม ใคร ๆ ก็รับรู้ได้ว่ารูปลักษณ์ของหญิงสาวคนนี้ต้องงดงามจับใจเป็นแน่
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เนื่องจากการจ้องมองอย่างลึกซึ้งของเฉินซี ผ่านเส้นผมที่ยุ่งเหยิงและเห็นรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่ดูเยาว์วัย น่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย ริมฝีปากเล็ก ๆ เม้มเข้าหากันแน่น และเผยให้เห็นกลิ่นอายที่น่าสังเวช
แต่เฉินซีกลับขมวดคิ้วแน่น เพราะหญิงสาวน่าผ่านการทุบตีอย่างโหดร้ายมา ผิวพรรณที่ขาวราวกับหยกปกคลุมไปด้วยร่องรอยของบาดแผล นอกจากนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ยังซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง แววตาคล้ายมึนงงและริบหรี่ การถูกขังอยู่ในกรงเหล็กเย็นเยียบ ทำให้นางดูน่าสงสารและน่าสังเวชทบทวี
“ชีเซียวอวี่?” เฉินซีไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เอ่ยถามได้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่บนยันต์สื่อสารก่อนหน้านี้ เหมือนกับกลิ่นอายของหญิงสาวตรงหน้าทุกประการ
แต่หญิงสาวดูไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ไร้ประกายไม่ต่างจากซากศพ
เฉินซีขมวดคิ้วและพยายามพูดคุยกับนาง ทว่าพ่อค้าวัยกลางคนก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน และยิ้มกริ่มพลางกล่าวว่า “คุณชาย ท่านชอบทาสคนนี้หรือไม่”
เฉินซีเหลือบมองก่อนจะพยักหน้า
“คุณชาย สายตาของท่านเฉียบแหลมนัก เราต้องจ่ายราคาที่สูงลิ่วเพื่อซื้อตัวทาสคนนี้มา นางเกิดมางดงามและเป็นสาวพรหมจรรย์ สำหรับการใช้งานอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับท่าน ถ้าท่านชอบนาง…”
ก่อนที่พ่อค้าวัยกลางคนจะกล่าวจบ เฉินซีก็ขมวดคิ้วและขัดจังหวะ “ว่ามา! ราคาเท่าไหร่?”
“คุณชายเป็นคนที่ตรงไปตรงมาจริง ๆ เช่นนั้นข้าจะเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ศิลาอมตะหมื่นก้อนแลกกับทาสคนนี้เป็นอย่างไร” ประกายเจ้าเล่ห์ฉายแววในดวงตาของพ่อค้าวัยกลางคน เขายิ้มและประกาศราคา
“หนึ่งหมื่นก้อนหรือ?” เฉินซีชำเลืองมอง “ข้ายอมรับราคานี้ แต่ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าซื้อหญิงสาวคนนี้มาจากไหนที่ใดหรือ?”
สิ้นสุดเสียงพูด แววตาระแวดระวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อค้าวัยกลางคนทันที จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น เขากำหมัดแน่นและกล่าวว่า “ต้องขออภัยคุณชายด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งของกฎ ข้าไม่สามารถเปิดเผยสิ่งนั้นได้”
“เอาละ ถ้าเช่นนั้นข้าจะถามเจ้าเรื่องอื่น นางชื่ออะไร” เฉินซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นางเป็นทาส จะมีค่าควรแก่การมีชื่อได้อย่างไร? แต่ถ้าท่านชอบนาง ท่านสามารถมอบชื่อให้กับนางได้ หลังจากที่ท่านซื้อนางแล้ว” พ่อค้าวัยกลางคนยิ้ม
“ตกลง ข้าจะพานางไป” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามยับยั้งร่องรอยของความอึดอัดที่พวยพุ่งอยู่ในใจ ชายหนุ่มโบกมือพลางเอ่ยคำ
พ่อค้าวัยกลางคนปีติยินดียิ่ง ขณะกำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กเงยหน้าขึ้น ก่อนจะร้องออกมาด้วยเสียงแหลม “ไม่ ข้าไม่ไป ข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ข้า…ยังต้องรอใครบางคน!”