บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1262 เซียนปราชญ์มาถึงแล้ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1262 เซียนปราชญ์มาถึงแล้ว

บทที่ 1262 เซียนปราชญ์มาถึงแล้ว

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เซียนทองคำที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสามคน ถูกกระแทกลงมาจากกลางอากาศเหมือนกระสอบทราย ทำให้ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปในอากาศ เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาไม่สามารถคืบคลานขึ้นมาได้อีก และมีสภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ พวกเขาดูน่าเกรงขามขณะทะยานผ่านอากาศ แต่ชั่วพริบตาต่อมา พวกเขากลับนอนกองอยู่บนพื้นเหมือนสัตว์ร้ายใกล้ตาย และร้องระงมด้วยความเจ็บปวด เมื่อนำช่วงเวลาทั้งสองนี้มาเปรียบเทียบกัน มันสร้างผลกระทบทางสายตาอย่างที่สุด และทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

เพราะมันน่าตกใจและเหลือเชื่อเกินไป

ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาคือเซียนทองคำสี่คนจากตำหนักราชันเซียน ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเซียนสายหมอก แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ต่อเงื้อมมือของเฉินซีในไม่กี่อึดใจ!

“จะ…เจ้าเป็นใครกันแน่!?” หวงหลงและคนอื่น ๆ รู้สึกหวาดกลัว ในฐานะเซียนทองคำ พวกเขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มที่สามารถเอาชนะพวกตนได้อย่างง่ายดาย จะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่าจะเค้นสมองครุ่นคิดเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ตั้งแต่เมื่อใดที่บุคคลร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏตัวในทวีปเซียนสายหมอก!

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ พวกเจ้า…ทำให้อาจารย์ของข้าขุ่นเคือง” เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ ขณะหลุบตามองหวงหลงและคนอื่น ๆ อย่างเฉยเมย พร้อมกับชี้ไปทางวิปลาสหลิ่ว

“อาจารย์หรือ?”

สายตาของหวงหลงและคนอื่น ๆ จับจ้องไปที่วิปลาสหลิ่ว มองร่างที่เหี่ยวแห้งและซีดเซียว ซึ่งสวมเสื้อผ้ามอมแมมและเต็มไปด้วยรอยแผล… ใบหน้าก็กลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่งในทันที

เพราะใครจะจินตนาการได้ว่าผู้ละทิ้งสวรรค์ที่ต่ำต้อย ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่นี่ กลับมีศิษย์เป็นถึงเซียนทองคำ!

ไม่ใช่แค่หวงหลงและเซียนทองคำคนอื่น ๆ แม้แต่ผู้ละทิ้งสวรรค์ที่ยังไม่หลบหนีก็ตกตะลึง เพราะมันน่าตกตะลึงจนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน! เขาเป็นเพียงผู้ละทิ้งสวรรค์ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเป็น…” หวงหลงตกตะลึง นัยน์ตาขยายออก และไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น

คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

มันช่วยไม่ได้ ความแตกต่างนั้นมากเกินไป เพราะในภพเซียนทั้งหมด อันที่จริงไม่มีใครเคยเห็นศิษย์ที่มีการบ่มเพาะและพลังฝีมือที่เหนือกว่าอาจารย์ของตนมากกว่าหนึ่งขอบเขต!

การถูกจ้องมองราวกับเป็นตัวประหลาดเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เฉินซีรู้สึกถึงความสำเร็จใด ๆ ในทางกลับกัน เขาหวนนึกถึงประสบการณ์ที่น่าขมขื่นและน่าสังเวชของวิปลาสหลิ่ว

เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือตน แล้ววิปลาสหลิ่วจะถูกปิงซื่อเทียนเปิดโปงว่าเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์ และถูกกระชากเข้าสู่ภพเซียนได้อย่างไร

หากไม่ถูกกระชากเข้าสู่ภพเซียน แล้ววิปลาสหลิ่วจะทุกข์ทรมานกับความยากลำบากอันขมขื่นและน่าสังเวชเช่นนี้ได้อย่างไร?

…ปัจจุบัน การบ่มเพาะของท่านอาจารย์นั้นด้อยกว่าข้ามาก ทั้งยังกลายเป็นนักโทษด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ ไม่มีวันที่จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง มันน่าสังเวชอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดนี้ มิใช่เป็นเพราะข้าหรอกหรือ?

ยิ่งเขาครุ่นคิดมากเท่าใด เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นและรู้สึกเจ็บช้ำมากขึ้นเท่านั้น นัยน์ตาที่ลึกราวกับก้นบึ้งพลันเบิกโพลงด้วยความรวดร้าว… และจิตสังหารที่พวยพุ่ง

เมื่อสวรรค์ปลดปล่อยจิตสังหาร ดวงดาวก็เคลื่อนคล้อย เมื่อปฐพีปลดปล่อยจิตสังหาร มังกรก็ทะยานขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อมนุษย์ปลดปล่อยจิตสังหาร สวรรค์และพสุธาก็พลิกคว่ำ… เมื่อผู้เป็นเซียนปลดปล่อยจิตสังหาร ทุกสรรพสิ่งก็หายไป!

ในขณะนี้ จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้น และปกคลุมฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้ มันทำให้อากาศที่ว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่มันกดดันหวงหลงและคนอื่น ๆ จนสีหน้าซีดเผือดทันที แม้แต่การหายใจก็ยังรู้สึกติดขัด ผิวหนังบนร่างกายรู้สึกราวกับถูกเฉือนด้วยใบมีดคมกริบ ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังที่ไม่อาจพรรณนาพลุ่งพล่านอยู่ในใจ

“ไม่…!”

“อย่าฆ่าพวกเรา เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถ้าเรารู้ย่อมไม่มีทางแตะต้องแม้แต่ปลายผมของอาจารย์เจ้าอย่างแน่นอน ต่อให้เราจะขวัญกล้าเทียมฟ้าเพียงใดก็ตาม!!”

“ใต้เท้า ใต้เท้า โปรดเมตตาและไว้ชีวิตพวกเราด้วย…”

ภายใต้แรงกดดันแห่งความตาย หวงหลงและเซียนทองคำคนอื่น ๆ เพิกเฉยต่อความภาคภูมิของตน และคุกเข่าลงพร้อมกับร้องขอความเมตตา ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาดที่หวาดกลัวต่อความตาย

สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า ยิ่งคนยิ่งใหญ่เท่าไร คนคนนั้นก็จะยิ่งหวาดกลัวเมื่อเผชิญกับความตายเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว คงจะไม่มีใครกล้าเผชิญกับภัยพิบัติเพื่อลากองค์จักรพรรดิลงจากหลังม้า

นอกจากความรู้สึกเพลิดเพลินจากการดูฉากนี้แล้ว รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของวิปลาสหลิ่วอย่างอดไม่ได้ “นี่น่ะหรือเซียนทองคำ? ฮ่า ฮ่า…”

“ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้ เมื่อกระทำผิดไปแล้ว ก็ไม่สามารถให้อภัยได้” คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรจากการมอบโทษประหารแก่พวกเขา

ใบหน้าของหวงหลงและคนอื่น ๆ กลายเป็นซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง แล้วพยายามร้องขอความเมตตาอีกครั้ง แต่เฉินซีกลับเงื้อมือขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาจากกาย ทำให้หวงหลงและคนอื่น ๆ ไม่สามารถกล่าวแม้แต่คำเดียว

สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่คล้ายกับคนจมน้ำและใกล้จะตาย มันเปล่าประโยชน์และไร้พลังโดยสิ้นเชิง

โครม!

ฝ่ามือของเฉินซีเหยียดออก นิ้วประคองดวงแสงอันศักดิ์สิทธิ์ มันเหมือนกับหัตถ์ของสวรรค์กำลังทุบลงมา

ฟิ่ว!

ทว่าทันใดนั้นเอง อากาศที่ว่างเปล่าก็สั่นสะเทือนราวกับเศษผ้าที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ร่างอันทรงพลังพลันปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ

คนผู้นั้นมีคิ้วหนา ดวงตาเบิกกว้าง ดูสง่าผ่าเผย สวมชุดคลุมสีม่วงเข้มที่ปักด้วยลวดลายของงูหลาม ทุกการเคลื่อนไหวเปล่งรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังแผ่กลิ่นอายสูงส่งและสง่างามออกมา

เฉินซีขมวดคิ้ว และชักพลังฝ่ามือกลับมา มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากชายวัยกลางคนผู้นี้บังเอิญยืนอยู่ระหว่างตนกับกลุ่มของหวงหลง

เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันนี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ ยิ่งกว่านั้นพลังในร่างของชายวัยกลางก็เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์

การปรากฏตัวของชายวัยกลางคนทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกตะลึง โดยเฉพาะหวงหลงและคนอื่น ๆ ดวงตาที่สิ้นหวังและอับจนพลันเปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อเห็นชายวัยกลางคนปรากฏตัว

“ใต้เท้าเฟิง!”

“ใต้เท้าเฟิง ช่วยเราด้วย!”

พวกเขาโห่ร้องและรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ทั้งยังตื่นเต้นจนร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ประหนึ่งเห็นร่องรอยแห่งความหวังจากสวรรค์ ในขณะที่ถูกปกคลุมด้วยเงาแห่งความตาย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ตามจะสามารถสงบสติอารมณ์เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้

เห็นได้ชัดว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ เป็นเจ้าของตำหนักราชันเซียนในทวีปเซียนสายหมอก เฟิงเยี่ยนซาน ผู้มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปราชญ์

ในทางกลับกัน สีหน้าของวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่กลับซีดลง ขณะที่เซวียนหยวนอวิ่นขมวดคิ้วขึ้น มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงสงบเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม มันสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่ สีหน้าของเฟิงเยี่ยนซานดูมืดมนอย่างมากเมื่อมาถึง และไม่ได้ปกปิดความโกรธเลยแม้แต่น้อย เขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่โกรธเกรี้ยว ดวงตาจ้องเขม็งที่หวงหลง และคนอื่น ๆ แทน …

ยิ่งกว่านั้น ทุกคนก็ประหลาดใจมากขึ้น เมื่อเฟิงเยี่ยนซานไม่กล่าวอะไรสักคำ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปและทุบหวงหลงกับคนอื่น ๆ อย่างดุร้าย

โครม! โครม! โครม! โครม!

พลานุภาพของเซียนปราชญ์นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ในชั่วพริบตา พลังฝ่ามือที่ก่อตัวจากรัศมีอันเจิดจ้า ก็ถาโถมลงมาราวกับสายลมของฤดูใบไม้ร่วงที่พัดพาใบไม้แห้ง มันกระแทกหวงหลงและคนอื่น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้พวกเขากลิ้งไปบนพื้นเหมือนผลน้ำเต้า พร้อมกับร้องโหยหวนและกระอักเลือดซ้ำ ๆ อาการบาดเจ็บร้ายแรงมากกว่าเดิม

“ใต้เท้าเฟิง! ท่าน…ท่าน…”

“ทำไม? ทำไม?”

“อ๊าก!!!”

หวงหลงและคนอื่น ๆ งุนงงโดยสิ้นเชิง ไม่เคยคิดมาก่อนว่านายของตนจะลงมืออย่างไร้ปรานีเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เศษเสี้ยวแห่งความหวังที่เพิ่งเกิดในหัวใจถูกลบเลือนไปในทันที พวกเขาทั้งรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวัง ประหนึ่งกำลังคืบคลานเข้าสู่ความตาย

ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่วิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ก็ตกตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะเหตุการณ์นี้ดูไร้สาระและแปลกประหลาดเกินไป!

ดูเหมือนจะมีเพียงเฉินซีและเซวียนหยวนอวิ่นเท่านั้นที่เข้าใจบางอย่างราง ๆ ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะนิ่งเงียบ

หลังจากนั้นไม่นาน หวงหลงและคนอื่น ๆ ก็พ่นฟองสีขาวออกมาเต็มปาก เท้าข้างหนึ่งอยู่ที่หน้าประตูแห่งความตาย เฟิงเยี่ยนซานหยุดอาละวาดเพียงเท่านี้ ทั้งยังคงก่นด่าว่า “ไอ้พวกสวะโง่เขลา มีตาแต่หามีแววไม่! พวกเจ้าทุกคนสมควรถูกสับเป็นพันชิ้น ๆ!”

หลังจากที่ทำทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็หันกลับมามองเฉินซีกับเซวียนหยวนอวิ่น ท่าทางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

รูปลักษณ์ที่เย็นชาและอาฆาตแค้น ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและเป็นมิตรอย่างยิ่ง ทั้งยังมีร่องรอยของความสำรวมอยู่เบาบาง!

เหตุการณ์นี้ ทำให้วิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่รู้สึกงุนงงอีกครั้ง “นี่…ยังเป็นเจ้าของตำหนักราชันเซียนผู้ครอบครองรัศมีโอ่อ่าสูงส่งราวกับภูเขาเมื่อครู่นี้หรือไม่?”

“ข้ามีนามว่าเฟิงเยี่ยนซาน ยินดีที่ได้รู้จัก” เฟิงเยี่ยนซานประสานมือคารวะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงก็สุภาพอย่างมาก

“เจ้ารู้จักเราด้วยหรือ?” เซวียนหยวนอวิ่นขมวดคิ้วถาม จากนั้นก็หุบปากทันที เพราะรู้สึกว่าคำถามของตนไม่จำเป็นเลยสักนิด

“ฮ่า ฮ่า! เจ้าคนหนึ่งเป็นสมาชิกที่โดดเด่นของตระกูลเซวียนหยวนอันเก่าแก่ อีกคนคือศิษย์ใหม่ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แม้ว่าข้าจะอาศัยอยู่ในทวีปเซียนสายหมอกมาเป็นเวลานาน และปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก แต่ชื่อเสียงที่เลื่องลือของเจ้าทั้งสองก็เหมือนฟ้าคำรามที่ก้องอยู่ในหูของข้า”

เฟิงเยี่ยนซานยอมรับเรื่องนี้อย่างใจเย็น

“ตระกูลเซวียนหยวนอันเก่าแก่?”

“ศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า?”

หวงหลงและคนอื่น ๆ ที่นอนใกล้ตายอยู่บนพื้น พลันแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ ความขมขื่นและความเสียใจในอกพลันพวยพุ่งถึงขีดสุด ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย และเข้าใจเหตุผลที่พ่ายแพ้อย่างยับเยินในวันนี้…

วิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ดูเหมือนจะสับสนอย่างมาก พวกเขาถูกขังอยู่ในเขตเหมืองหลอมวิญญาณมาโดยตลอด และไม่สามารถรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกได้ ดังนั้นจึงไม่ทราบถึงอำนาจมหาศาลที่ตระกูลเซวียนหยวนและสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าครอบครองอยู่

ถึงแม้จะไม่ทราบ แต่เมื่อเห็นว่าแม้แต่เจ้าของตำหนักราชันเซียนยังแสดงท่าทีที่เป็นมิตรและนบนอบเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีและเซวียนหยวนอวิ่น พวกเขาก็พอเข้าใจได้ราง ๆ นอกจากถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกแล้ว ก็ยังรู้สึกสงสัยว่า การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่น่าอัศจรรย์เช่นไรที่เฉินซีประสบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในภพเซียน?

เฟิงเยี่ยนซานกล่าวอย่างสุภาพ แต่เซวียนหยวนอวิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจนัก เขาขมวดคิ้วขณะที่กล่าวอย่างเย็นชา “นี่มันข้อแก้ตัว! เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถละทิ้งความรับผิดชอบทั้งหมดของเจ้าได้ด้วยคำพูดเช่นนั้นหรือ?”

วิปลาสหลิ่วรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ อันที่จริงเฟิงเยี่ยนซานกลับไม่ถือสา ทั้งยังยิ้มกว้างขึ้น พร้อมกับประสานฝ่ามือและผงกหัวซ้ำ ๆ “น้องเซวียนหยวน โปรดใจเย็น ๆ ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ และข้าจะไม่หลีกเลี่ยงโทษของข้า”

“เอาละ ถือว่าเจ้ายังมีความรับผิดชอบ แต่เจ้าเข้าใจผิดไปบางอย่าง ตอนนี้เฉินซีไม่ได้เป็นเพียงศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่งเท่านั้น เขาเพิ่งได้อันดับหนึ่งในการทดสอบของฝ่ายใน และกลายเป็นศิษย์สายในแล้ว” เซวียนหยวนอวิ่นคำรามโอ้อวดอย่างภาคภูมิ

“อันดับหนึ่งในการสอบของฝ่ายใน!”

เฟิงเยี่ยนซานตกตะลึง ทั้งยังรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เพราะเขาทราบดีว่า ฝ่ายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหมายถึงสิ่งใด เฉินซีได้อันดับหนึ่งในการทดสอบ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พรสวรรค์ของเฉินซีนั้นท้าทายสวรรค์และน่าตกใจถึงเพียงใด

ยิ่งกว่านั้น ตัวตนดังกล่าวจะต้องเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจสำหรับตัวตนที่ไม่ธรรมดาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างแน่นอน!

“ไอ้พวกโง่เหล่านี้! เหตุใดพวกมันถึงล่วงเกินคนที่มีอิทธิพลเช่นนี้!?” ในขณะนี้ เฟิงเยี่ยนซานไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าฟาดฝ่ามือบดขยี้หวงหลงกับคนอื่น ๆ แล้ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท