บทที่ 1271 คาบแรก
บทที่ 1271 คาบแรก
ในช่วงเช้าของวันนี้
โอม!
คลื่นเสียงดังกระหึ่มมาจากทางด้านนอกของเคหา ทำให้เฉินซีตื่นจากการทำสมาธิ
“เฉินซี เจ้าพร้อมหรือไม่?” เฉินซีเปิดข้อจำกัดของเคหา และได้ยินเสียงที่ชัดเจนของจี้เซวียนปิง
เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นชายหนุ่มก็ตบหน้าผากตัวเอง ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาให้หัวฉับพลัน วันนี้เป็นวันที่พวกเขาจะเข้าสู่เขตฝ่ายใน!
“โปรดรอสักครู่พี่จี้ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” เฉินซีเก็บกระดูกต้นกำเนิดของราชาปลาหยินหยางออกไป ก่อนจะออกจากเคหาพร้อมกับความเสียดายที่แล่นเข้ามาในหัวใจ แต่ก็กลับมาสงบทันที
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วันมานี้ เขาเพิ่งเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับมหาเต๋าแห่งแสงสว่างและความมืด ซึ่งยังไม่เข้าใจพวกมันอย่างถ่องแท้ นับประสาอะไรกับการควบคุมพวกมัน ดังนั้นความรู้สึกเสียดายจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเฉินซีออกมาจากเคหา เขาก็เห็นจี้เซวียนปิงที่สวมเสื้อคลุมขนนกสีทองอ่อนและยืนเอามือไพล่หลัง เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นเฉินซี จี้เซวียนปิงก็เดินเข้ามาทักทายเฉินซีด้วยรอยยิ้ม
“มาเถอะ ศิษย์ทุกคนที่ผ่านการทดสอบของเขตฝ่ายใน จะต้องเข้าร่วมพิธี ‘รับน้องใหม่’ เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจด้วย” จี้เซวียนปิงยิ้มขณะที่กล่าวกับเฉินซี จากนั้นจึงทะยานวาบออกไปในระยะไกล
“พี่จี้ มีอะไรที่ข้าควรรู้เมื่อเข้าสู่เขตฝ่ายในหรือไม่?” เฉินซีตามไปติด ๆ และเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ไม่ เพียงแต่ว่าอาจารย์ใหญ่ฝ่ายในมีนิสัยแปลก ๆ เขามักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อเหยียบย่ำศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายใน… อืม ข้าหมายถึงขัดเกลาพวกเขา และหากอธิบายในแง่ดี มันเป็นคาบแรกของการเข้าสู่เขตฝ่ายใน” จี้เซวียนปิงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนไหวไหล่และหัวเราะอย่างขมขื่น “ไม่ว่าใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”
เฉินซีตกตะลึง
คาบแรก? ขัดเกลา? นี่ดูเหมือนจะเป็นการแสดงอำนาจสินะ…
ในบรรดาห้าฝ่ายที่สำคัญของสำนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฝ่ายในเป็นสถานที่ที่ศิษย์สายนอกปรารถนาที่จะเข้าไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เขตฝ่ายในตั้งอยู่ในพื้นที่หลักของสำนัก ก่อตั้งขึ้นบนแอ่งน้ำอันกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยภูเขาและมวลเมฆอุดมสมบูรณ์ อาคารโบราณจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ภายใน คล้ายอาณาจักรที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแอ่งน้ำ
แต่ต่างจากอาณาจักรทั่วไป การจัดเรียงของเขตฝ่ายในสอดคล้องกับภูเขาโดยรอบ และมันก็เหมือนกับผลงานอันวิจิตรของธรรมชาติ
บนผืนฟ้า มีรัศมีอันเป็นมงคลสาดส่องไปทั่ว ขณะที่เมฆมงคลห้าสีรวมตัวกัน บนผืนดิน นกกระเรียนมงกุฎแดงกระพือปีก เห็นกวางสีขาวอยู่ราง ๆ เถาวัลย์บางขดอยู่รอบต้นไม้โบราณเก่าแก่ ดอกไม้แปลกประหลาดเปล่งประกายแสงสีเขียวหยก สัตว์ร้ายมากมายเคลื่อนไหว กล้วยไม้ปกคลุมเต็มช่องเขาในบริเวณโดยรอบ สมุนไพรอมตะเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนหน้าผา โถงโบราณตั้งตระหง่านอยู่ทุกหนทุกแห่งราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า และทางเดินก็สลับกันไปมาเหมือนกระสวย
ฉากดังกล่าวดูเหมือนจะเกินความงามของธรรมชาติ คล้ายสรวงสวรรค์สำหรับผู้เป็นเซียนเสียมากกว่า
เมื่อเฉินซีและจี้เซวียนปิงมาถึงที่นี่ พร้อมกับเห็นฉากนี้ พวกเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจไม่รู้จบ
“แม้แต่ตระกูลของข้าก็ไม่มีสรวงสวรรค์เช่นนี้” จี้เซวียนปิงถอนหายใจ
เขามาจากตระกูลจี้ที่เก่าแก่ แต่กลับถอนหายใจและกล่าวประโยคดังกล่าวออกมา จึงเห็นได้ชัดว่าเขตฝ่ายในนั้นวิเศษเพียงใด
เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ เช่นกัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า ไม่เพียงปราณเซียนที่หนาแน่นในฟ้าดินเท่านั้น ยังมีกระทั่งกลิ่นอายของความโกลาหล บรรพกาล การรังสรรค์ ต้นกำเนิด และอื่น ๆ อีกมากมาย ถึงขนาดที่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังแห่งโชคลาภอันเป็นมงคลได้!
“ช่างน่ากลัวจริง ๆ!”
บางทีคงมีเพียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น ที่สามารถสร้างสิ่งฟุ่มเฟือยดังกล่าว และจัดเตรียมสรวงสวรรค์เพื่อให้ศิษย์สายในได้ฝึกฝน
ในขณะที่ทั้งสองถอนหายใจ เสียงคำรามอันรุนแรงและทุ้มหนัก ซึ่งเหมือนกับเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าเด็กเหลือขอสองตัวตรงนั้น มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับภูมิทัศน์ขยะเหล่านี้หรือ? รีบไสหัวมาที่นี่ซะ!”
แค่ประโยคเดียวก็ทำลายกลิ่นอายอันเงียบสงบของสรวงสวรรค์แห่งนี้ได้ในฉับพลัน
ครืน!
แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมัน พร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน จู่ ๆ ก็มีภูเขาขนาดมหึมาสองลูกปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ พวกมันแฝงไปด้วยพลังอันรุนแรง ซึ่งโจมตีเฉินซีและจี้เซวียนปิงอย่างดุร้าย
พลังนั้นรุนแรงเกินไป จนถึงขั้นบดขยี้ความว่างเปล่าจนเกิดเสียงระเบิดโครมคราม จี้เซวียนปิงและเฉินซีไม่ทันตั้งตัว ทำได้เพียงต้านมันโดยอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองของพวกตนเท่านั้น
ตู้ม! ตู้ม!
ภูเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เกิดเศษหินกระเด็นไปรอบ ฝุ่นผงฟุ้งกระจาย แม้ว่าเฉินซีและจี้เซวียนปิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่ร่างกายก็เต็มไปด้วยฝุ่นผง และตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
สีหน้าของเฉินซีดิ่งลงทันที และเผยท่าทางไม่เป็นมิตร
“อย่าโมโหเลย นี่แหละอาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิง!” จี้เซวียนปิงรีบเตือนเฉินซีผ่านกระแสปราณเมื่อสังเกตสีหน้าของสหาย
เฉินซีขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นว่า มีแท่นที่ราบเรียบซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ในระยะไกล มีร่างหลายร่างยืนอยู่ก่อนแล้ว และน่าประหลาดใจ ที่มีชายชราตัวเตี้ยและผอมแห้งยืนอยู่ตรงหน้าร่างเหล่านั้น
ชายชรามีผมสีเทากระเซอะกระเซิง นุ่งชุดนักบวชสีขาว คาดเข็มขัดหลวม ๆ ใบหน้าเหี่ยวย่น แม้รูปลักษณ์จะดูธรรมดา ดวงตาที่เหมือนเหวลึกสองแห่ง ก็เปี่ยมด้วยกลิ่นอายอันรุนแรง เย่อหยิ่ง ป่าเถื่อน และดุร้าย เพียงแค่มองจากระยะไกลก็ทำให้ใจสั่นสะท้าน คล้ายกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายจากยุคป่าเถื่อน
เขาคือฉือฉางเซิง อาจารย์ฝ่ายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
ผู้อาวุโสของสำนักที่มีชื่อเสียงในด้านอารมณ์ร้อน ดุร้ายและหยิ่งยโส เขาอยู่ในเขตฝ่ายในมาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ และความแข็งแกร่งก็ยากที่จะหยั่งรู้
เห็นได้ชัดว่าเสียงคำรามเมื่อครู่นี้ ดังมาจากฉือฉางเซิง ภูเขาขนาดมหึมาที่จู่ ๆ ก็ถาโถมลงมาใส่พวกตน ก็เป็นฝีมือของคนผู้นี้เช่นกัน
‘ตาเฒ่าคนนี้ดุร้ายและอารมณ์ร้อนอย่างที่จี้เซวียนปิงกล่าวจริง ๆ’
เฉินซีลอบกัดฟัน และในที่สุดเขาก็พอเข้าใจเกี่ยวกับอารมณ์และความสามารถของฉือฉางเซิงราง ๆ
“เรารีบไปกันเถอะ คาบแรก… คงไม่จบง่าย ๆ แน่ เจ้าจะต้องระมัดระวังและหักห้ามใจ ชายชราคนนี้ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร หรือตัวตนยิ่งใหญ่เพียงใด อีกทั้งยังไม่สนใจว่าเจ้าจะถูกหรือผิด เมื่อเขาตัดสินใจที่จะทุบตีใครบางคน เขาก็จะไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น” จี้เซวียนปิงรู้สึกหนักใจ และรีบพุ่งไปที่แท่นพร้อมกับเฉินซี
…
เมื่อเฉินซีและจี้เซวียนปิงมาถึงแท่น มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว จ้าวเมิ่งหลีและเจิ่นลู่ก็อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้
ทว่ากลับไม่มีใครกล้าสนทนาแม้แต่คนเดียว พวกเขาล้วนยืนอย่างเงียบงัน หลายคนมีสีหน้าหนักใจ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอดทนต่อแรงกดดันอันหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เผชิญหน้ากับฉือฉางเซิง ผู้มีชื่อเสียงในด้านอารมณ์ร้อนและดุร้าย แม้แต่อ๋าวจ้านเป่ยจากภพมังกรที่หยิ่งยโส ก็ยังต้องควบคุมอารมณ์ของตน และยืนอย่างสงบเสงียม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จี้เซวียนปิงและเฉินซีสบตากัน จากนั้นพวกเขาก็ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ข้าง ๆ ฝูงชนที่ตกอยู่ในความเงียบ
‘ข้าสงสัยว่า คาบแรกของชายชราคนนี้จะเป็นอย่างไร เขาคงไม่คิดที่จะใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อมอบบทเรียนให้กับเหล่าศิษย์สายในที่มาใหม่ใช่หรือไม่?’
เฉินซีพึมพำอยู่ในใจ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าศิลาจารึกโบราณที่มีความสูง หนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ได้ตั้งตระหง่านอยู่ที่ด้านข้างของแท่นอันกว้างใหญ่ ศิลาจารึกนั้นเต็มไปด้วยชั้นแสงสีทองอันอ่อนโยนและพร่ามัว น่าตกใจที่ชื่อของศิษย์สายในมากมายถูกสลักไว้บนพื้นผิวของมัน
เฉินซีเข้าใจอย่างฉับพลัน… นี่จะต้องเป็นหนึ่งในการจัดอันดับของสำนัก เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง! ผู้ที่มีชื่ออยู่บนนั้น จะถือว่าเป็นตัวตนอันดับต้น ๆ ของศิษย์สายใน
แน่นอนว่า ศิษย์สายในถูกแบ่งออกเป็นสองจำพวก พวกแรกอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ มีทั้งหมดประมาณแปดร้อยคน ส่วนอีกพวกอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ มีทั้งหมดประมาณสามร้อยคน แม้ว่าศิษย์ทั้งสองขอบเขตจะฝึกฝนในเขตฝ่ายใน แต่โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันและกัน
เหตุผลที่มีศิษย์สายในน้อยเช่นนี้ ก็เพราะมีศิษย์สายในจบการศึกษาจากสำนักทุกปี คนเหล่านั้นจะกลับไปรับตำแหน่งในนิกายที่พวกเขาจากมา ไม่ก็ไปดำรงตำแหน่งในศาลเซียน หรือไม่ก็ออกไปท่องโลก แสวงหามหาเต๋าของตนเอง
นอกจากนี้ สำนักยังกำหนดไว้ว่า หลังจากศิษย์สายในบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ และผ่านการทดสอบของสำนักแล้ว พวกเขามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น นั่นคือการจากไปเพื่อท่องโลก หรือเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ในสำนัก แน่นอนว่า หากใครต้องการดำรงตำแหน่งอาจารย์ ก็ยังมีการทดสอบเพิ่มเติม
สายตาของเฉินซีขยับขึ้นสูง และเห็นทันทีว่า ศิษย์ที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งคือ พิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋!
ส่วนอันดับสองคือ อเวจีเหล็กเยี่ยถัง
ชื่อสองคนนี้ ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงสีม่วงทองที่ส่องแสงระยิบระยับ มันเปล่งรัศมีที่สง่างามและน่าสะพรึงกลัวออกมา
ส่วนชื่อที่อยู่ด้านล่างถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสีทองเท่านั้น
เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ปราณสีม่วงก็มาจากทิศตะวันออก!
เห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลิงชิงอู๋หรือเยี่ยถัง พวกเขาก็เป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าและได้รับการยอมรับจากผู้คนในภพเซียน ดังนั้นพวกเขาจึงดูแตกต่างจากคนอื่นโดยปริยาย
ทว่าเฉินซีกลับรู้สึกสงสัย… จะต้องผ่านการทดสอบเช่นใด ถึงจะกลายเป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้าได้? แล้วการที่ชื่อของหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังถูกปกคลุมด้วยแสงสีม่วง เป็นเพราะพวกเขาคือหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้าใช่หรือไม่?”
ไม่นานนัก ศิษย์ทั้งสี่สิบเจ็ดคนที่ผ่านการทดสอบของฝ่ายในก็มาถึง
ดวงตาที่ดุร้ายและลึกล้ำของฉือฉางเซิงที่ยืนอยู่ในระยะไกล กวาดผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแปลก ๆ และเจ้าเล่ห์ ที่ฟังดูแหบแห้งและน่ากลัวราวกับเสียงหอน
ใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาต่างมีสีหน้าหนักใจ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ทุกคนตระหนักดีว่า ‘คาบแรก’ กำลังจะเริ่มต้นแล้ว!
“โอ้ ข้าได้ยินมาว่า มีเพื่อนตัวน้อยสองสามคนในหมู่พวกเจ้า ที่ทำผลงานได้ดีในสมรภูมินอกพิภพ คือใครกัน? ก้าวออกมาให้ข้าดูหน่อย!” ฉือฉางเซิงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ดวงตากวาดผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา
ทุกคนตกตะลึง เพราะจะมีใครถามคำถามเช่นนี้บ้าง? แม้จะรู้สึกว่าการแสดงฝีมือของพวกตนไม่ได้แย่ แแต่ก็ยังลังเลว่าควรจะก้าวออกไปหรือไม่
เดิมทีเฉินซีตั้งใจที่จะก้าวออกไป แต่ชายหนุ่มก็สลัดความคิดนี้ทิ้งทันที เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของคนอื่น ซึ่งคนที่เสนอหน้าออกไปก่อนมักจะต้องรับการโจมตีที่รุนแรง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใจเย็น
“ไม่มีใครเลยหรือ? ฮ่า ๆ! พวกเจ้านี่ถ่อมตัวจริง ๆ ช่างหาได้ยาก! หาได้ยากจริง ๆ!” ฉือฉางเซิงหัวเราะอีกครั้ง ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ท่านอาจารย์ใหญ่ฉือ เฉินซีเป็นผู้แสดงผลงานที่ดีที่สุดในสมรภูมินอกพิภพในครั้งนี้ เขาบดขยี้เหล่าศิษย์ของสำนักทั้งหก และคู่ควรที่จะเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้” ทันทีที่สิ้นเสียงของฉือฉางเซิง จู่ ๆ จั่วชิวจวินก็โค้งคำนับท่ามกลางฝูงชน แล้วกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน ซึ่งเจือด้วยความจริงใจและเคารพ
“ไอ้สารเลวนี้จงใจวางกับดักให้เฉินซี!”
จี้เซวียนปิงขมวดคิ้ว พลางเหลือบมองสหายตนด้วยหางตา แน่นอนว่า แววตาของเฉินซีนั้นทอประกายเย็นชาอย่างรุนแรง และตระหนักได้ว่าจั่วชิวจวินมีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน!