บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1272 หมอบบนพื้นแล้ววาดวงกลม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1272 หมอบบนพื้นแล้ววาดวงกลม

บทที่ 1272 หมอบบนพื้นแล้ววาดวงกลม

การที่จั่วชิวจวินกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเนื้อหาในคำพูดของเขา ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป บางคนยินดีกับความโชคร้ายของเฉินซี ในขณะที่บางคนขมวดคิ้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้ากล่าวเลยสักคน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการนำภัยมาสู้ตน และต้องรับ ‘การขัดเกลา’ ที่เกรี้ยวกราดจากฉือฉางเซิง

ฉือฉางเซิงเหลือบมองจั่วชิวจวิน ผู้ที่เผยท่าทางเคารพ ก่อนจะเหลือบมองเฉินซี ริมฝีปากที่เหี่ยวแห้งของเขาพลันโค้งเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอย่างมาก

หัวใจของทุกคนกระตุกวูบทันทีที่เห็นสิ่งนี้ “ตาเฒ่าคนนี้กำลังจะเริ่ม ‘คาบแรก’ ของเขาหรือ?”

จั่วชิวจวินแสดงท่าทีเคารพพร้อมกับก้มหน้าลง ซ่อนสีหน้าเย็นชาและเหี้ยมเกรียม แม้วันนี้จะไม่สามารถฆ่าเฉินซีได้ แต่การได้เห็นเฉินซีทุกข์ทรมานสักครั้งก็นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง

ในขณะนี้ เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และย้ำเตือนตัวเองซ้ำ ๆ ไม่ว่าชายชราคนนี้จะทำอะไร เขาจะทำตามที่บอกทุกอย่าง และไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย

“ศิษย์สายในทุกคนคงตระหนักดีว่า ข้านั่นเกลียดการถูกขัดจังหวะยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”

โดยไม่คาดคิด ดวงตาของฉือฉางเซิงจ้องเขม็งไปที่จั่วชิวจวิน ใบหน้าที่ผอมแห้งก็ปกคลุมไปด้วยท่าทางดุร้าย “แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่รู้จักข้าดี จึงทำผิดพลาด”

กระแสเสียงน่าเกรงขาม ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในใจของทุกคน ยิ่งกว่านั้น พวกเขาล้วนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่าจั่วชิวจวินจะขุดหลุมศพและจุดไฟเผาตนเองเช่นนี้

เฉินซีลอบหัวเราะในใจทันที แม้อาจารย์ใหญ่ฝ่ายในคนนี้จะอารมณ์ร้อนและดุร้าย แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนดีทีเดียว

สำหรับจั่วชิวจวิน ใบหน้าเย็นชาและเหี้ยมเกรียมพลันแข็งทื่อทันที แล้วเงยหน้าอย่างรวดเร็ว เผยสีหน้าเหลือเชื่อ แล้วจึงโค้งคำนับอีกครั้งพร้อมกับกล่าวอย่างเร่งรีบ “ศิษย์ผู้นี้โง่เขลา ท่านอาจารย์ใหญ่ฉือ โปรดอภัยให้ด้วย !”

คำพูดถ่อมตัวและให้ความเคารพ แต่เจตนาตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าจั่วชิวจวินไม่ใช่คนโง่เขลา แล้วเขาจะกล้าตอบโต้กับผู้อาวุโสที่มีนิสัยแปลกประหลาดคนนี้ได้อย่างไร?

“โอ้ ดีที่เจ้าสามารถตระหนักถึงความผิดของตน มันยังไม่สายเกินไปที่แก้ไข” ฉือฉางเซิงพยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวช้า ๆ “อย่างไรก็ตาม เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ เอาละ เจ้าไปตรงนั้นก่อน จากนั้นก็หมอบลงบนพื้นแล้ววาดวงกลม ส่วนต้องทำนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า”

“วาดวงกลมหรือ?”

ทุกคนต่างหายใจติดขัด ‘น่าชิงชังยิ่งนัก! จะมีใครบ้างที่ทำให้เซียนทองคำผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาหมอบลงกับพื้นและวาดวงกลม? หากข่าวนี้แพร่ออกไป เขาจะกลายเป็นตัวตลกของทุกคนในโลกอย่างแน่นอน!’

ร่างกายของจั่วชิวจวินสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง จากหมองคล้ำกลายเป็นซีดเผือด ปากอ้าค้าง และดูตื่นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านอาจารย์ใหญ่ฉือ นี่…นี่…นี่ ทำไม่ได้… ศิษย์…” จั่วชิวจวินกล่าวตะกุกตะกัก และดูเหมือนเศร้าโศกราวกับโลกกำลังถล่ม

คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่เป็นตัวอย่างของการคิดร้ายผู้อื่น แต่ดันติดกับดักของตัวเอง

“ไปทำตามที่ข้าสั่งซะ เจ้าคิดว่าฐานะอาจารย์ของข้าเป็นเพียงเครื่องประดับหรือ?” ฉือฉางเซิงจ้องเขม็งไปที่จั่วชิวจวิน และไม่ลังเลที่จะเตะเขา

แม้ดูเหมือนจะเป็นลูกเตะธรรมดา ๆ แต่แท้จริงแล้ว จั่วชิวจวินไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้ แรงเตะรุนแรงกว่าที่ตาเห็น ทำให้เขาร้องโหยหวนและกระเด็นไปดั่งสุนัขที่ใกล้ตาย

“เริ่มวาดวงกลมซะ หากเจ้าวาดมันไม่กลมแล้วละก็ ข้าจะตบเจ้า!” ฉือฉางเซิงถ่มน้ำลายด้วยแรงอารมณ์ และเมื่อน้ำลายของเขากระทบพื้น มันก็กลายเป็นหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง

ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ พลันอ้าปากค้าง “เขาลงมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตาเฒ่าคนนี้สมกับชื่อเสียงของเขาจริง ๆ”

สำหรับจั่วชิวจวิน เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ ร่างกายสั่นเทาขณะคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หมอบลงกับพื้นอย่างเชื่อฟังโดยมีสีหน้าหดหู่ ก่อนที่จะขยับปลายนิ้วเคลื่อนไปตามพื้น ทุกครั้งที่วาดวงกลมเสร็จ ใบหน้าเจ้าตัวจะร้อนผ่าว รู้สึกอับอายมากขึ้น

เฉินซีรู้สึกขบขันกับฉากนี้เช่นกัน “การกระทำของฉือฉางเซิงผู้นี้ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ และเขาก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง”

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะเสพสุขไปมากกว่านี้ ดวงตาที่น่ากลัวของฉือฉางเซิงก็จ้องเขม็งมาที่ตน เห็นได้ชัดว่าเป็นลางร้าย

หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ และตื่นตัวทันที

“ก่อนหน้านี้ ข้าถามว่าใครทำได้ดีที่สุดในการสอบเข้าสู่เขตฝ่ายใน แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ก้าวออกมา?” ฉือฉางเซิงเอามือไพล่หลัง พลางเดินช้า ๆ มาตรงหน้าเฉินซี รูปร่างที่ผอมและเตี้ยของชายชรา แทบจะไม่ถึงไหล่ของเฉินซีด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองเฉินซีเป็นตาเดียว และลอบถอนหายใจ “ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติใน ‘คาบแรก’ ของตาเฒ่าคนนี้ได้เลย”

“ศิษย์เพียงไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเด่น ดังนั้นศิษย์จึงไม่ได้ก้าวออกไปขอรับ” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และทำท่าทางเฉยเมย พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงสงบ

“โอ้?” เปลือกตาของฉือฉางเซิงเลิกขึ้น ในขณะที่รัศมีเย็น ๆ สาดส่องออกมาจากดวงตาของเขา ชายชรามองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า และจ้องเขม็งจนเส้นผมของชายหนุ่มตั้งชัน จากนั้นจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “ถ้าอันดับหนึ่งในการสอบเข้าสู่เขตฝ่ายในไม่โดดเด่น แล้วใครโดดเด่น? ถ้าเจ้าไม่โดดเด่น แล้วคนที่อยู่รอบตัวเจ้าเป็นตัวอะไร? ขยะหรือ?”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ ฉือฉางเซิงก็ขึ้นเสียง พลางชี้ไปที่ปลายจมูกของเฉินซี แล้วตวาดลั่น “ตามที่เจ้ากล่าว การสอบเข้าสู่เขตฝ่ายในก็คงจะไร้สาระใช่หรือไม่?”

เฉินซีขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนแก้วหูตนเองแทบแตก แต่ท้ายที่สุด เขาก็อดทนกับมันอย่างแข็งขัน และย่นริมฝีปากขณะที่ยังคงเงียบ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้กำลังบิดเบือนตรรกะและจงใจก่อปัญหา

“ในเมื่อเจ้ารู้ความผิดของตนเองแล้ว ก็ไปวาดวงกลมซะ” เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ตอบโต้ ดวงตาของฉือฉางเซิงก็หรี่ลง แล้วจึงโบกมือตัดบทในตอนท้าย

“วาดวงกลมอีกแล้วหรือ…”

ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า… เฉินซีซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่ง และเป็นอันดับหนึ่งในการสอบของเขตฝ่ายใน กลับถูกสั่งให้วาดวงกลมเช่นนี้ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปในโลกภายนอก มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรอกหรือ?

เมื่อจั่วชิวจวินซึ่งหมอบอยู่กับพื้นได้ยินสิ่งนี้ ความอับอายบนใบหน้าก็บรรเทาลงอย่างมาก ดูเหมือนจะคิดว่าถ้าเขาวาดวงกลมพร้อมกับเฉินซี ถึงแม้ข่าวนี้จะแพร่กระจายออกไป ผู้คนส่วนใหญ่คงมุ่งความสนใจไปที่เฉินซี ไม่ใช่ตน

“ศิษย์ขอปฏิเสธ” ทว่าทุกคนกลับรู้สึกสยดสยองไปถึงส่วนลึกของหัวใจ เพราะเฉินซีตอบปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

“เจ้าปฏิเสธหรือ? ดีมาก! ข้าชอบศิษย์ที่ไม่ยอมแพ้เช่นเจ้าจริง ๆ” ทันใดนั้น ฉือฉางเซิงก็เริ่มหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แต่เจ้ารู้ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อปฏิเสธข้าหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหล่าศิษย์ต่างตกตะลึงเล็กน้อย เรื่องราวในอดีตก็ปรากฏขึ้นในใจ ในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มีศิษย์หลายคนที่ปฏิเสธคำสั่งที่ไม่สมเหตุสมผลของฉือฉางเซิงเช่นเดียวกับเฉินซี

โดยชายชราจะยกเงื่อนไขที่รุนแรงและผิดปกติอย่างยิ่งขึ้นมาสามข้อ ตราบใดที่สามารถทำเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งสำเร็จ การปฏิเสธของศิษย์ผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับ ยิ่งกว่านั้น ยังสามารถผ่าน ‘คาบแรก’ ได้อย่างราบรื่น

“ท่านผู้อาวุโส โปรดชี้แนะด้วย” เฉินซีมีสีหน้าสงบ และไม่สั่นคลอน ราวกับโขดหินที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำซัดสาด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉือฉางเซิงก็หรี่ตาลงอีกครั้ง พลางจ้องมองเฉินซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาหลังจากผ่านไปนาน “ดีมาก เจ้าหนู ข้าชักรู้สึกชอบเจ้าขึ้นมาแล้ว เงื่อนไขเบื้องต้น คือเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าพอใจได้ ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าการวาดวงกลม”

เฉินซียังคงเงียบเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ ชายหนุ่มยังคงสงบและพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง

สหายคนนี้ใจร้อนเกินไปจริง ๆ การถูกตาเฒ่าคนนี้สร้างปัญหาคงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่… จี้เซวียนปิงพึมพำอยู่ในใจ เขารู้สึกกังวลและชื่นชมเฉินซีอย่างมาก

ตาเฒ่าคนนี้คงไม่ทำเกินไป ข้าเคยได้ยินท่านบรรพบุรุษกล่าวว่า การกระทำของฉือฉางเซิงต่อศิษย์นั่นมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ บางทีทั้งหมดนี้อาจอยู่ในแผนของเขา?… ดวงตาที่สุกใสของจ้าวเมิ่งหลีเปล่งประกายปัญญา และจมอยู่ในห้วงความคิด

สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ บางคนรู้สึกสงสารเฉินซี บางคนยินดีกับความโชคร้ายของเขา บางคนเปรียบเทียบตนเองกับสิ่งที่เฉินซีเผชิญอยู่ในขณะนี้ และกังวลเกี่ยวกับ ‘การขัดเกลา’ ที่อาจต้องเผชิญในภายหลัง…

ฉือฉางเซิงไม่รอช้า ชายชราหันกลับไปและชี้ไปยังแท่นศิลาจารึกที่สูงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ห่างไกลออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเห็นศิลาที่บันทึกเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงหรือไม่? จงไปที่นั่น และทดสอบพลังของเจ้าซะ หากเจ้าสามารถขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกได้ เจ้าก็จะผ่านการทดสอบ”

“ว่าอะไรนะ!”

“ขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงหรือ?”

ทุกคนต่างตกตะลึง …มันไม่ยากไปหน่อยหรือ? มีศิษย์สายในแปดร้อยคนที่ขอบเขตเซียนทองคำ ซึ่งทุกคนล้วนผ่านการทดสอบต่าง ๆ จนได้รับเลือก และศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำจากฝ่ายนอกก็ยังห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับพวกเขาได้

นอกจากนี้ เหล่าศิษย์ที่สามารถขึ้นสู่เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงได้นั้น ยังเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์สายใน ณ ปัจจุบัน แต่ฉือฉางเซิงกลับสั่งให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายในติดสามสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง ซึ่งเงื่อนไขนี้ไม่เพียงแต่ยากเท่านั้น แต่มันยังผิดปกติอีกด้วย!

ทันใดนั้น ทุกคนก็ตระหนักว่าฉือฉางเซิงไม่คิดจะปล่อยโอกาส ‘ขัดเกลา’ เฉินซีไปง่าย ๆ

มีเพียงจั่วชิวจวินที่หมอบอยู่กับพื้นเท่านั้นที่รู้สึกเบิกบาน และคาดการณ์ถึงผลที่เฉินซีกำลังจะต้องเผชิญ …ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการวาดวงกลม …มันจะเป็น ‘การขัดเกลา’ แบบใดกัน?

“ถ้ายังกล้าใจลอยอีก ก็จงวาดวงกลมไปอีกสามวันสามคืน” ฉือฉางเซิงขมวดคิ้วพลางตวัดสายตามองจั่วชิวจวิน ทำให้จั่วชิวจวินหวาดกลัวจนปากสั่น ดังนั้นจึงก้มหน้าลงและตั้งใจวาดด้วยความอับอาย และไม่กล้าเสียสมาธิอีกต่อไป

เขาวาดวงกลมด้วยความเกลียดชัง ในใจสาปแช่งเฉินซีอย่างอาฆาตแค้น

เมื่อเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เฉินซีกลับขมวดคิ้ว จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า ชายหนุ่มหยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาจารึกที่สูงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง และพินิจมันซึ่งอาบไล้ไปด้วยแสงสีทองคลุมเครือ จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ กำหมัดเข้าหากัน

ตู้ม!

กระแสปราณเซียนพิสุทธิ์หนาทึบที่ไร้ผู้ใดเปรียบ ถาโถมออกมาจากร่างกายของเฉินซีราวกับคลื่นพายุ มันทำให้อากาศโดยรอบผันผวนและปั่นป่วนอย่างรุนแรง

เฉินซีโคจรการบ่มเพาะจนถึงขีดจำกัด ร่างกายเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ประหนึ่งอาบด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันลุกโชน ทั้งยังมีกลิ่นอายสง่าผ่าเผยและห้าวหาญ

“นี่เขา…ตั้งใจที่จะพุ่งเข้าสู่เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงจริง ๆ หรือ!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนก็หรี่ตาลง และนอกจากจะรู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังเพ่งสายตาไปยังจุดเดียวกัน

ฉือฉางเซิงก็หรี่ตาลงเช่นกัน รอยยิ้มพลันปรากฏที่มุมปาก “ข้ามักได้ยินคนอื่นกล่าวว่า เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ข้าจะลองดูว่าเขาจะไม่ธรรมดาอย่างที่ข่าวลือกล่าวกันหรือไม่ และถ้าเขาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของข้าได้ละก็… ฮึ่ม! เจ้าเด็กนั้นคงได้แต่โทษตัวเองที่ไม่คู่ควรกับชื่อเสียง!”

โครม!

ในขณะนี้ หมัดของเฉินซีเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ลุกโชนจนดูจับต้องได้ จากนั้นมันก็ระเบิดพลังอันไร้เทียมทานออกมา กระแทกเข้ากับแท่นศิลาจารึกอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท