บทที่ 1278 มาเพื่อท้าประลอง
บทที่ 1278 มาเพื่อท้าประลอง
แฮ่ก~ แฮ่ก~
การหอบหายใจที่หนักหน่วงและรวดเร็ว ค่อย ๆ คืนสู่ความสงบ ลมหายใจกลับมาผ่อนยาวอีกครั้ง เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ในเคหา ทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนล้าอย่างมาก เนื่องจากการเข้าสู่การทำสมาธิในระดับลึกโดยไม่รู้ตัว
ทั้งร่างคล้ายกลายเป็นหลุมดำ ปราณเซียนที่บริสุทธิ์ รุนแรง และหนาทึบภายในเคหาที่ผสมผสานกับธาตุต่าง ๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเขายินดีรับพวกมันทั้งหมด
แต่มันก็เป็นเพียงฉากหนึ่งในใจเท่านั้น ความเข้าใจมากมายเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่ได้ปะทุออกมาดั่งภูเขาไฟ จากนั้นก็หลอมรวมกับเต๋าแห่งกระบี่ของเขาอย่างสมบูรณ์
นี่คือประสบการณ์การต่อสู้
หากใครเอาแต่บ่มเพาะอย่างต่อเนื่องอยู่หลังประตู ก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ที่พิสดารเช่นนี้ เป็นการต่อสู้ที่น่าเกรงขามและยอดเยี่ยมที่สุดที่เฉินซีเคยประสบตั้งแต่บรรลุขอบเขตเซียนทองคำ ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงนี้ ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสถึงร่องรอยความลึกซึ้งของขอบเขตเซียนกระบี่
ในอนาคต มันอาจส่งผลดีต่อเฉินซีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือการต่อสู้ครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เฉินซีเห็นว่า อวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อนยังด้อยกว่าตนในขณะนี้!
สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถหลุดพ้นจากกรงที่ครอบงำอยู่ในใจได้ ดังนั้นแม้จะถูกเปรียบเทียบกับอวิ๋นฝูเซิงในอนาคต ชายหนุ่มก็คงจะหัวเราะเยาะออกมา แทนที่จะเก็บมันไว้เงียบ ๆ ในใจ
…
หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ความกลัวที่อธิบายไม่ได้ก็แล่นเข้ามาในหัวใจอย่างเงียบงัน ทำให้ชายหนุ่มตื่นจากการทำสมาธิ ในแววตาสะท้อนความกลัวและความไม่สบายใจชัดเจน
“หรือว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น?”
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แต่ความกลัวยังคงเกาะกุมหัวใจไม่เสื่อมคลาย จนไม่สามารถบ่มเพาะต่อไปได้ จึงลุกขึ้นเดินไปมาในเคหา พลางขมวดคิ้วและครุ่นคิด
เมื่อใดที่บ่มเพาะจนบรรลุถึงความสูงระดับหนึ่ง เราสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของโชคลาภ โชคชะตา และพรหมลิขิตที่มองไม่เห็น บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตา ภัยพิบัติ หรือความยากลำบาก
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความสามารถในการ ‘ทำนายอนาคต’
เฉินซีเริ่มตรวจสอบตัวเองเพื่อค้นหาต้นตอของความกลัวนี้ เนื่องจากมันมีความเกี่ยวข้องกับตนอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายหนุ่มตัดทัณฑ์สวรรค์ออกเป็นอย่างแรก เพราะเขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางเท่านั้น และไม่อาจประสบกับทัณฑ์สวรรค์ได้
ต่อไปตัดภัยพิบัติออกเป็นอย่างที่สอง เพราะหากเกิดกลียุคของทั้งสามภพที่อาจส่งผลกระทบต่อตน ผู้อาวุโสของสำนักก็คงจะสังเกตเห็นและเตือนทันที
“มันไม่ใช่ทัณฑ์สวรรค์หรือภัยพิบัติ แล้วมันคืออะไรกันแน่?” เฉินซีค่อย ๆ ขจัดความเป็นไปได้ออกไปทีละอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งร่างพลันแข็งทื่อ ใบหน้าดูเคร่งขรึม และหลุดอุทานใจโดยไม่รู้ตัว “หรือว่า…เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ และไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้
“ผู้อาวุโสมารบงกช…เสียชีวิตแล้วหรือ!”
ชิ้ง!
กระบี่สีแดงเลือดลอยขึ้นเหนือฝ่ามือของเฉินซี กระบี่นั้นยาวกว่าสี่ฉื่อ รูปร่างคล้ายง้าวสั้นและมีสีแดงเข้มทั้งด้าม ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยบึงเลือด
กระบี่สีแดงเลือดนี้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามยิ่ง ด้ามกระบี่เปรียบเสมือนดอกบัวบานจำนวนมากที่คว่ำลง กระบี่นั้นคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และเต็มไปด้วยแสงแวววาวที่น่าสะพรึงกลัว เสียดแทงไปทั้งดวงตา
นอกจากนี้ ตัวกระบี่ยังจารึกด้วยรูปดอกบัวที่เรียบง่ายและงดงามมากมาย ดอกบัวทุกดอกมีกระแสปราณโกลาหลและปราณมงคลลอยอยู่ภายใน ซึ่งบางครั้งก็แปลงร่างเป็นชายชราสวมชุดโบราณ และมงกุฎทรงสูงที่กำลังส่ายศีรษะขณะอ่านคัมภีร์ บางครั้งก็กลายเป็นหญิงงามร่ายระบำยามแสดงเคล็ดกระบี่ในอิริยาบถต่าง ๆ มันเป็นภาพที่วิเศษและมหัศจรรย์อย่างแท้จริง
หากใครพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็จะรู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบอันกว้างใหญ่ที่ทั้งน่ากลัวและนองเลือด เหล่าเทพต่างคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ปราชญ์ร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า ฝนเลือดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า และแผ่นดินก็ปกคลุมไปด้วยภูเขากระดูก โลกทั้งใบเต็มไปด้วยกลิ่นอายนองเลือดของความทุกข์ทรมานและความหวาดกลัวอย่างสุดขีด
หากมีคนธรรมดาอยู่ที่นี่ เพียงชำเลืองมองกระบี่เล่มนี้ ก็จะทำให้วิญญาณของคนผู้นั้นพังทลายลงและพินาศทันที!
กระบี่เล่มนี้คือกระบี่เต๋าวิบัติ ซึ่งถูกเก็บรักษาอยู่ในชั้นเก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มันเป็นสมบัติที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งคือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อเขาเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน!
เนื่องจากเฉินซีได้กระบี่นี้มาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ชายหนุ่มจึงซ่อนมันไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และไม่เคยใช้มันเลย เหตุผลก็คือมันเป็นสิ่งต้องห้ามที่เชื่อมโยงกับกรรมอันน่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ และเมื่อมันถูกตรวจพบ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจจินตนาการถึงได้
แต่เมื่อเฉินซีหยิบกระบี่นี้ออกมาอีกครั้ง ลวดลายดอกบัวสีแดงเลือดที่ทำให้ใจสั่นไหวก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ผู้อาวุโสเต๋าบงกชยังคงรออยู่ที่ชั้นเก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต แล้วเหตุใดถึงเสียชีวิตได้?”
แต่เมื่อสายตาของเฉินซีจดจ้องไปที่ลวดลายดอกบัวสีแดงเลือดบนตัวกระบี่ สีหน้าของเขาพลันซับซ้อนขึ้นมาทันที มันปนเปไปด้วยความโศกเศร้า ความคับข้องใจ และความไม่เชื่อ
“ว่าแต่…ผู้อาวุโสมารบงกชเสียชีวิตได้อย่างไร? มันเป็นเพราะภูเขาหมอกเซียน? หรือจะเป็นนิกายอำนาจเทวะ?” เฉินซีตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง พลางไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว
“ไม่สิ! โดยปกติแล้ว ผู้อาวุโสมารบงกชจะไม่เสียชีวิตอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้แน่นอน บางทีข้าอาจตรวจสอบได้ว่ามีการต่อสู้ที่น่าตกใจเกิดขึ้นในภพเซียนเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่…”
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งพลันวาบเข้ามาในหัว ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และพุ่งออกจากเคหาอย่างรีบร้อน
…
ในขณะนี้ ด้านนอกเคหาของเฉินซี มีร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ผมยาวปล่อยลงมาหลวม ๆ อยู่บนไหล่ กลิ่นอายเย็นชาและดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ นอกจากนี้ คลื่นพลังหนาทึบที่ผันผวนของเซียนทองคำก็กระเพื่อมไหวอยู่รอบตัว
คนผู้นี้คือศิษย์สายใน เมิ่งฉี
ผู้ดำรงอยู่อันดับที่สามสิบในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง น่าเสียดายที่เมื่อสองวันก่อน อันดับของตนถูกแทนที่โดยเฉินซี และหากต้องการขึ้นสู่การจัดอันดับอีกครั้ง เขาต้องรอเป็นเวลาอีกครึ่งปี
แม้การครองอันดับที่สามสิบ จะทำให้ได้รับแต้มดาราหนึ่งล้านแต้มทุกเดือน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแต้มดาราเหล่านี้ ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเมิ่งฉี
การกระทำของเฉินซี จึงไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุอย่างรุนแรง!
ศิษย์ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในเขตฝ่ายในอย่างเฉินซี กลับสามารถแย่งอันดับของตนไปได้ และในปัจจุบัน ข่าวเรื่องนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตฝ่ายในแล้ว มันทำให้เมิ่งฉีกลายเป็นตัวตลก ซึ่งคนอื่น ๆ จะใช้มันเพื่อเยาะเย้ยเขาในอนาคต
มันคือความอัปยศ!
เมิ่งฉีพยายามยับยั้งตัวเองมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจมาหาเฉินซีเพื่อ ‘ท้าประลอง’ เพื่อล้างความอัปยศที่แบกอยู่บนบ่าให้หมดสิ้น!
“วันนั้นที่ภัตตาคารเสน่หา ข้าอุตส่าห์อดทนกับเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าคือศิษย์น้องร่วมสำนัก แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอหังการ และทำให้ข้าถูกศิษย์สายในคนอื่น ๆ หัวเราะเยาะ คราวนี้ให้ข้าดูว่าเจ้ามีความสามารถอะไร ถึงขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ทั้งที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในเขตฝ่ายใน!”
ในขณะที่ยืนอยู่หน้าเคหาของเฉินซี ความโกรธแค้นในใจของเมิ่งฉีก็พุ่งสูงและไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการทะลวงประตูเคหาเข้าไป และลากคนออกมาทุบตี!
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำเช่นนั้น
เมิ่งฉีไม่ใช่คนโง่ การที่เฉินซีสามารถเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนัก และเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบของเขตฝ่ายในได้ แสดงว่าพลังฝีมือของคนผู้นี้ไม่อาจประเมินต่ำได้เลย
นอกจากนี้ เมิ่งฉีไม่เต็มใจที่จะพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของเฉินซีเพราะความประมาท แค่อันดับถูกแทนที่โดยศิษย์ใหม่ก็น่าอับอายมากพอแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ หลังจากเป็นฝ่ายท้าประลอง มันจะไม่ใช่แค่ความอัปยศธรรมดา ๆ แต่ชื่อเสียงจะตกต่ำถึงขีดสุดอีกด้วย
“ทำไมศิษย์พี่เมิ่งฉีถึงไม่ท้าประลอง?”
“ข้ารู้สึกว่าสภาพจิตใจของศิษย์พี่เมิ่งฉีไม่ได้ย่ำแย่ แม้จะได้รับผลกระทบจากความโกรธไปบ้าง แต่เขารู้ดีว่าศิษย์ใหม่อย่างเฉินซีไม่ได้จัดการง่าย ๆ นี่จึงเหตุผลว่าทำไมถึงยังใจเย็นได้ถึงเพียงนี้ เพราะอย่างที่ว่ากัน ก่อนพายุจะก่อตัวมักเงียบสงบเสมอ บางทีเมื่อเขาพร้อม ศิษย์พี่เมิ่งฉีจะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะเฉินซี”
“จริงของเจ้า งั้นเรามารอกันอีกสักหน่อยดีกว่า ตั้งแต่ข้ารู้ข่าวเมื่อสองวันก่อนว่าเฉินซีสามารถขึ้นสู่อันดับที่สามสิบในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงในคราวเดียว ข้าก็อยากรููู้ภูมิหลังของเขามาก ตอนนี้ข้าสามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อเป็นพยานถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของคนผู้นี้ได้ด้วยตาของตัวเอง นับเป็นโอกาสที่วิเศษยิ่ง”
มีหลายร่างยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงของภูเขาวิถีนภา ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์สายใน และสนทนากันเบา ๆ พลางสังเกตเมิ่งฉีที่ยังคงสงบและสุขุมยืนอยู่หน้าเคหาของเฉินซีอย่างมั่นคง
เมิ่งฉียังคงไม่แยแส เขาหายใจเข้าลึก ๆ และสัมผัสได้ว่า พลังในร่างกายของตนได้รับการขัดเกลาให้อยู่ในสภาวะสูงสุด ก่อนที่ความรู้สึกมั่นใจและความเย่อหยิ่งจะหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเขาจนท่วมท้น
“เอาละ!”
“วันนี้ข้าจะล้างความอัปยศนี้ออกไปต่อหน้าทุกคน!”
ประกายสายฟ้าเยียบเย็นวูบวาบอยู่ในดวงตา เขาเอามือไพล่หลังและพิจารณาสิ่งที่จะกล่าว ก่อนที่จะกระแอมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ศิษย์น้องเฉินซี…”
โครม!
ก่อนที่จะทันได้กล่าวจบ ม่านพลังของเคหาก็ส่งเสียงดังก้อง ประตูถูกเปิดออก จากนั้นร่างสูงและหล่อเหลาก็พุ่งออกมาจากภายในทันที
คำพูดที่อุตส่าห์เตรียมมานานถูกขัดจังหวะ สีหน้าของเมิ่งฉีแข็งทื่ออย่างอดไม่ได้… หรือว่าคนผู้นี้จะรู้ว่าข้าจะมาอยู่ก่อนแล้ว?
แต่หากเขารู้อยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ให้ข้ากล่าวจนจบก่อน แต่กลับขัดจังหวะอย่างหยาบคายแทน? คงไม่ใช่ว่าไม่ได้คิดจะฟังข้าตั้งแต่แรกหรอกนะ? เหอะ! ช่างอวดดีเสียจริง! ใบหน้าของเมิ่งฉีหมองลงทันที
ในทางกลับกัน เมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เหล่าศิษย์สายในที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ผู้ที่มาชมการแสดงต่างตกตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่าเฉินซีจะเป็นฝ่ายออกมาด้วยตนเอง ก่อนที่เมิ่งฉีจะท้าประลองด้วยซ้ำ
“หืม?”
เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ภายนอกเคหาของตน จากนั้นก็ส่ายศีรษะพลางหันหลังตั้งใจจะจากไป เพราะจิตใจตอนนี้กังวลเกี่ยวกับข่าวการตายของมารบงกช จะมามัวสนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“ศิษย์น้องเฉินซี ข้ามาที่นี่ครั้งนี้…” เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่สนใจ ใบหน้าของเมิ่งฉีก็ยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น เขาพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ศิษย์พี่พึงมี และหัวเราะอย่างเบิกบานใจก่อนจะกล่าว
“ขออภัยด้วย ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่” ทว่ากลับถูกเฉินซีขัดจังหวะเป็นหนที่สอง
อะไรกัน? หรือว่าศิษย์น้องกลัวที่จะต่อสู้กับข้า?… ใบหน้าของเมิ่งฉีดิ่งลง และทะยานวาบไปขวางเส้นทางของเฉินซี
“ข้าบอกว่ากำลังยุ่งอยู่! โปรดหลีกทางด้วย!” เมื่อเห็นคนผู้นี้ขวางทางตน คลื่นอารมณ์ที่ปั่นป่วนก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ เรียวคิ้วขมวดมุ่นพลางมองอีกฝ่ายนิ่ง แต่ในที่สุด เขาก็ระงับอารมณ์อันพลุ่งพล่าน ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางหนึ่ง
ชายหนุ่มไม่อยากที่จะเสียเวลากับคนผู้นี้อีกต่อไป
“เจ้านี่อวดดีจริง ๆ ! หากเจ้ากลัว ก็ยอมรับต่อหน้าคนอื่นซะ ว่าเจ้าด้อยกว่าข้า แล้วข้าจะไปทันที อย่าได้อายที่จะยอมรับความขี้ขลาดของตน!”
ร่างของเมิ่งฉีแวบวับและขัดขวางเฉินซีอีกครั้ง พลางหัวเราะเสียงเย็น เขาคิดว่าเฉินซีเกรงกลัวตนและพยายามหลีกเลี่ยงคำท้า ส่วนการที่เฉินซีจงใจใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการข่มขู่ที่สูญเปล่า!