บทที่ 1283 มีเพียงต่อสู้เท่านั้น ที่ทำให้ใจของเขาสงบลงได้!
บทที่ 1283 มีเพียงต่อสู้เท่านั้น ที่ทำให้ใจของเขาสงบลงได้!
“ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้!”
ประโยคที่เมิ่งฉีกล่าวด้วยท่าทางมั่นใจและเด็ดเดี่ยวนั้น มันแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อาจปกปิดได้ และทำให้หลัวเซวียนต้องหัวเราะอย่างขมขื่น
หลัวเซวียนจึงไม่เกลี้ยกล่อมอีกต่อไป และเพียงจ้องมองไปที่ศิลาวิถีที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนที่จะกล่าวกับตนเองในใจ …แม้มู่ต้าวฟู่จะอยู่อันดับที่ยี่สิบสามในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง แต่พลังฝีมือร้ายกาจเหนือศิษย์สายในส่วนใหญ่ ดังนั้นการทำลายสถิติของเขา จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หลัวเซวียนและเมิ่งฉีเป็นสหายที่ดีต่อกัน พวกเขาเข้าสำนักพร้อม ๆ กัน และความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นมาก ดังนั้นเมื่อหลัวเซวียนทราบว่าเมิ่งฉีตั้งใจจะระบายความโกรธต่อเฉินซี เพราะถูกเฉินซีแย่งอันดับไป หลัวเซวียนจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้
เพราะเขาเคยได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับเฉินซีมาบ้าง และมีข้อมูลครอบคลุมกว่าเมิ่งฉี ดังนั้นจึงตระหนักดีว่า ศักยภาพของเฉินซีนั้นไม่ธรรมดาเพียงใด ซึ่งดูเหมือนว่าจะทัดเทียมกับอวิ๋นฝูเซิง และอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น เฉินซีเพิ่งเข้าสู่สำนักได้เพียงไม่กี่ปี แต่สามารถก่อตั้งสมาคมของตัวเอง นั่นคือ พันธมิตรดารา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซวียนหยวนและเหล่าผู้อาวุโสจากฝ่ายสงวนโอสถ!
แม้แต่หลัวเซวียนก็ไม่เต็มใจที่จะเป็นศัตรูกับบุคคลที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะศักยภาพของเฉินซีนั่นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง และเขาคงไม่อาจกินอิ่มนอนหลับได้อย่างสงบสุข หากต้องกลายเป็นศัตรูของคนเช่นนั้น
หลัวเซวียนรู้ ทุกคนรู้ ว่ารากฐานของเฉินซีในสำนักนั้นไม่อาจถูกทำลายได้โดยง่าย แต่สิ่งสำคัญก็คือ เขาจะกลายเป็นศัตรูกับตระกูลจั่วชิวโดยสมบูรณ์
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ในบรรดาเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ กองกำลังของตระกูลจั่วชิวในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นจึงอันตรายอย่างมาก และปัญหาที่มักเกิดกับเฉินซี ล้วนเป็นฝีมือของตระกูลจั่วชิว
ทว่าสิ่งที่หลัวเซวียนกังวล มันไม่ฉลาดเลยที่เมิ่งฉีจะเป็นศัตรูกับบุคคลเช่นเฉินซี เพราะจนถึงตอนนี้แม้แต่ตระกูลจั่วชิวก็ไม่สามารถปราบคนผู้นี้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเมิ่งฉีจะทำสำเร็จได้อย่างไร?
“เฮ้อ ข้าหวังเพียงว่าเฉินซีจะสามารถทำลายสถิติ และขจัดความหลงผิดในหัวใจของเมิ่งฉีได้ มิฉะนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงเป็นเมิ่งฉีที่ต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสียในที่สุด…” หลัวเซวียนถอนหายใจเบา ๆ แต่เขารู้ชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ความหวังของตนจะเป็นจริงได้
นี่คือด่านที่สามสิบเจ็ดถึงเจ็ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายา และศิษย์ทุกคนที่สามารถทิ้งสถิติไว้บนศิลาวิถี ถือเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของศิษย์สายใน
ตัวอย่างเช่น หลัวเซวียน ที่อยู่ในอันดับเก้าในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง แต่ผลงานในแดนเซียนสวรรค์มายากกลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับมู่ต้าวฟู่ที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสามในการจัดอันดับได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า การทิ้งชื่ออยู่บนศิลาวิถีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
“เจ้า…ตั้งใจจะรออยู่ที่นี่หรือ?” หลัวเซวียนอดไม่ได้ที่จะถาม
เมิ่งฉีตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอน ข้าไม่สามารถกลืนความอัปยศนี้ได้ หากข้าไม่เห็นคนผู้นี้ถูกทุบตี!”
หลัวเซวียนถอนหายใจอีกครั้ง และหยุดเกลี้ยกล่อมเมิ่งฉี เขากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับทัศนคติที่ครอบงำจิตใจของสหาย เพราะหากเฉินซีออกจากแดนเซียนสวรรค์มายา และไม่สามารถทำลายสถิติได้ ความขัดแย้งก็จะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เฮ้อ ไว้ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้งเมื่อถึงเวลา และข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น” หลัวเซวียนตัดสินใจอย่างแน่วแน่
…
ในขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนที่อยู่บนแท่น ล้วนมุ่งความสนใจไปที่กำแพงหยก ซึ่งบนพื้นผิวที่มีแสงสีทองดวงเล็ก ๆ เป็นตัวแทนของเฉินซี กำลังกะพริบซ้ำ ๆ
มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
…
ณ ด่านที่ 37 ของแดนเซียนสวรรค์มายา
เฉินซียืนอยู่ลำพังภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมด้วยความสงบ มีเพียงดวงตาสีดำลุ่มลึกที่จ้องมองอย่างเงียบงัน พร้อมกับจิตต่อสู้ที่พลุ่งพล่าน
สู้!
สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือใช้การต่อสู้เพื่อทลายก้อนหินที่อยู่ในใจของตน และระบายความกดดันในอก
ส่วนเรื่องอื่น ๆ หาได้สนใจไม่!
ชิ้ง!
กระบี่ตะขอดาราเปล่งเสียงใสกังวาน ขณะหลุดออกจากฝัก มันถูกชายหนุ่มกำเอาไว้ในมืออย่างมั่นคง ทันใดนั้น ปราณกระบี่แหลมคมจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเฉินซี
ผมสีดำยาวหนาทึบปลิวไสว แผ่นหลังตั้งตรงดุจคันทวน สายตาราวกับสายฟ้าเยียบเฉียบสองสาย แม้จะยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงัน แต่กลับแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
การบ่มเพาะลมปราณ ความเข้าใจต่อมหาเต๋า เคล็ดวิชาต่อสู้ ประสบการณ์การต่อสู้… ในขณะนี้ ทั้งหมดได้แปรสภาพเป็นจิตต่อสู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด และลุกโชนอยู่ในหัวใจของเฉินซี
มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น ที่ทำให้ใจของเขาสงบลงได้!
“การทดสอบจะเริ่มขึ้นในอีกสิบลมหายใจ” เสียงโบราณที่คุ้นเคยและไม่แยแสดังก้องขึ้นฉับพลัน
โอม~
หลังจากนั้น อากาศที่ว่างเปล่าก็เกิดความผันผวน ก่อนที่ร่างสีดำจะควบแน่นเป็นรูปร่าง ร่างนี้มีรูปร่างหน้าตาเลือนราง แต่กลิ่นอายและการบ่มเพาะกลับเหมือนเฉินซีทุกประการ นี่คือผู้พิทักษ์ของด่านที่สามสิบเจ็ด ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่มีการบ่มเพาะทัดเทียมเฉินซี
ท้ายที่สุดแล้ว ร่างที่สวมชุดสีดำนั้น คือศูนย์รวมความแข็งแกร่งของเฉินซี มันเป็นการสะท้อนถึงการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งของผู้ท้าทาย ซึ่งการเอาชนะร่างชุดดำนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชนะตัวเอง
เฉินซีคุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ร่างของเขาสว่างวาบร่างชุดดำนี้ปรากฏขึ้นทันที ชายหนุ่มเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติหายไปในอากาศทันที
ชิ้ง!
ปฏิกิริยาของร่างชุดดำนั้นรวดเร็วมาก และทันใดนั้น มันก็ชักกระบี่ของมันแล้วแทงอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้า สกัดการโจมตีของเฉินซีที่โผล่ออกมาจากอากาศได้อย่างทันท่วงที กระบี่ทั้งสองปะทะกัน ระเบิดปราณกระบี่ออกมานับไม่ถ้วน ซึ่งกวาดออกไปทุกทิศทุกทาง
ในเวลาเดียวกัน ร่างชุดดำก็ระเบิดเป็นผุยผง เหมือนใบไม้ที่ถูกพายุพัดโหม ร่างกายค่อย ๆ แตกสลายภายในพายุทีละนิด ก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า
“อ่อนแอเกินไป! ความแข็งแกร่งของมันพอใช้แล้ว แต่ทักษะยังหยาบเกินไป!”
ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นในอากาศ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยสีหน้าไม่แยแส เขาแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา เพราะมันน่าผิดหวังที่ไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของตนได้
“ผ่านด่านที่สามสิบเจ็ดภายในเวลาหนึ่งลมหายใจ” เสียงที่ไม่แยแสและไร้อารมณ์ดังก้องไปทั่ว พร้อมกับเสียงนี้ ดวงแสงสีเขียวเล็ก ๆ ก็กวาดผ่านร่างของเฉินซี และนำเขาไปสู่ด่านต่อไป
…
ด่านที่ 38 ของแดนเซียนสวรรค์มายา
ฟุ่บ!
ร่างของเฉินซีราวกับธนูที่เจาะท้องฟ้าจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ และอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ในพริบตา
หลังจากผ่านไปสามลมหายใจ เสียงระเบิดสองครั้งก็ดังก้องในห้องโถง คอของร่างชุดดำสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ารอยแยกมิติถูกสะบั้น หัวของพวกมันหล่นกระทบพื้น ก่อนจะระเบิดเป็นฝนแสงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ยังอ่อนแอเกินไป พวกมันยังขาดพลังต่อสู้!” เฉินซีขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ผ่านด่านสามสิบแปดภายในเวลาหนึ่งลมหายใจ”
…
ด่านที่ 39
“พวกมันยังขาดพลังต่อสู้!”
ด่านที่ 40
“ยังขาด!”
ด่านที่ 41
“ยังขาด!”
…
ทุกด่านที่ไต่ขึ้นไป จำนวนศัตรูที่เฉินซีต้องเผชิญก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ขณะที่ชายหนุ่มเอาชนะพวกมันได้สำเร็จ เสียงของเขาที่แสดงถึงความไม่พอใจก็ดังก้องซ้ำ ๆ มันกังวานไปทั่วบริเวณอย่างไม่รู้จบ
ในขณะเดียวกัน แท่นที่หน้าทางเข้าของด่านที่สามสิบเจ็ดเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก
ทุกคนจ้องมองไปที่กำแพงหยกที่ฉายภาพสถานการณ์ภายในนั้นอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับแสงสีทองที่เป็นตัวแทนของเฉินซีไต่ระดับสูงขึ้นครั้งแล้วเล่า ความชื่นชมก็ปรากฏตรงหว่างคิ้วของพวกเขาอย่างเงียบงัน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เร็วมาก!”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาผ่านหนึ่งด่าน ทุก ๆ สามลมหายใจ!”
“คนผู้นี้ผิดปกติสมคำร่ำลือจริง ๆ ข้าจำได้ว่า ตอนที่ศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายาเมื่อหลายปีก่อน ผลลัพธ์ของนางก็ใกล้เคียงกับเฉินซีมาก หรือเขาจะสร้างสถิติใหม่อีกครั้ง?”
ฝูงชนอุทานด้วยความประหลาดใจ และพูดคุยกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ช้าก่อน ดูนั่นสิ! ตั้งแต่เขาเข้าสู่ด่านห้าสิบห้าความเร็วก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางทีเมื่อเวลาผ่านไป เขาอาจช้าลงเรื่อย ๆ” มีคนขมวดคิ้วและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ “เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา ความเร็วของนางก็ไม่ได้ลดลงเลยจนกระทั่งถึงด่านที่หกสิบห้า”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่เยี่ยถังก็เริ่มช้าลงที่ด่านหกสิบ”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การแสดงฝีมือของเฉินซีก็น่าทึ่งพอสมควร บางทีชื่อของเขาอาจปรากฏบนศิลาวิถีในครั้งนี้ก็ได้”
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงใบหน้าของเมิ่งฉีที่ยังคงมืดมน การแสดงฝีมือที่โดดเด่นของเฉินซี ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้
ในทางกลับกัน เมื่อความเร็วของเฉินซีลดลงเล็กน้อย หลังจากมาถึงด่านที่ห้าสิบห้า เมิ่งฉีก็รู้สึกผ่อนคลายทันที เพราะเมื่อครั้งมู่ต้าวฟู่ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา คนผู้นั้นก็มีสถานการณ์ที่คล้ายกับเฉินซีเมื่ออยู่ในด่านที่ห้าสิบเจ็ด
แต่มู่ต้าวฟู่ก็ยังสามารถอยู่ในอันดับสิบบนศิลาวิถี ดังนั้นเฉินซีจะทำลายสถิติของมู่ต้าวฟู่ได้อย่างไร?
‘เจ้าเด็กนี่อวดดีเสียเหลือเกิน นี่เขาคิดจริง ๆ หรือว่าจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ทุกครั้ง?’ เมิ่งฉีลอบหัวเราะเยาะในใจ
หลัวเซวียนที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เมิ่งฉีคิด และที่จะขมวดคิ้วอดไม่ได้ “อย่าลืมว่า แม้ผลลัพธ์ของเขาจะไม่สามารถขึ้นสู่ศิลาวิถีได้ แต่ถ้าเทียบกับเจ้าแล้ว…”
เขาหยุดประโยคเพียงเท่านั้น แต่ก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า แม้เฉินซีจะไม่อาจเทียบกับผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกของศิลาวิถีได้ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งสอง!
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของเมิ่งฉีก็ดิ่งลงทันที ความเย็นชาฉายชัดบนหว่างคิ้ว พลางชำเลืองมองหลัวเซวียนด้วยความไม่พอใจ “ไยข้าถึงรู้สึกเหมือนเจ้าเข้าข้างเฉินซี”
หลัวเซวียนตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นและไหวไหล่ “ข้าแค่ไม่อยากเห็นเจ้ากลายเป็นศัตรูกับเฉินซี”
เมิ่งฉีฮึดฮัด “ข้าแค่ดูเขาท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา เจ้าว่าใครเป็นศัตรูกับเขา”
หลัวเซวียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว” แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อเมิ่งฉีเลยสักนิด
“เจ้า…” เมิ่งฉีจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมเผยสีหน้าเศร้าหมอง
หลัวเซวียนอ้าปาก และอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ด้วยท่าทีของเมิ่งฉี เขาจึงตัดสินใจหยุดเกลี้ยกล่อมสหาย
ขณะนี้ ที่ด่านหกสิบเอ็ดของแดนเซียนสวรรค์มายา เฉินซีรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล คู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบห้าคนแล้ว!
“ต่อให้ข้าไม่ได้รับความเกื้อหนุนจากต้นอ่อนเงาทมิฬ แล้วมันจะทำไม? ข้าจะคว้าโอกาสนี้เพื่อค้นหาขีดจำกัดของข้า!”
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าสงบและไม่แยแส เสื้อผ้าปลิวไสวตามแรงลม เปลวไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนและพลุ่งพล่านราวกับหินหลอมเหลวอยู่ในดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาว!