บทที่ 361 ออกแรง
ข่าวเรื่องไป๋เยี่ยเข้ามาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิงหวาและวิทยาลัยแพทย์ยูเนียนแพร่ไปถึงหูของหลิวป๋อหลี่ในวันเดียวกันกับที่เกาเย่ว์หยางมาบอกเขาด้วยตนเอง
ตอนนี้หัวใจของหลิวป๋อหลี่กำลังสั่นไหว เขามองเกาเย่ว์หยางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “นี่คุณ…คุณ…”
เหล่าหลิวอ้ำอึ้งพูดไม่ออกอยู่นาน จึงอดไม่ได้ถอนหายใจไม่ได้
เกาเย่ว์หยางยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “เหล่าหลิว ถ้าคุณมือสิ่งดีๆ อยู่ในมือ คุณควรจะรู้จักแบ่งปันให้คนอื่นบ้างนะ เห็นไหมว่าผมเอาเหล้าเหมาไถสี่สิบปีกับชามาฝาก มาๆ ดื่มแก้เครียดกันดีกว่า!”
หลิวป๋อหลี่มองเกาเย่ว์หยางด้วยสายตาอันขุ่นเคือง มิน่าล่ะ ทำไมวันนี้เขาถึงเอาเหล้ากับชามาฝาก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ทว่าหลิวป๋อหลี่ก็ไม่ได้โกรธ เพราะว่าไป๋เยี่ยเป็นลูกศิษย์ของเขา แค่เขาได้ดี เกาเย่ว์หยางก็มีความสุขแล้ว
ในตอนแรกเหล่าหลิวกังวลว่าไป๋เยี่ยจะเด็กเกินไปและอาจนอกลู่นอกทางได้ แต่หลังจากที่เขาเวียนไปทั้งสองแผนก เหล่าหลิวก็เห็นว่าเส้นทางของเด็กคนนี้ราบรื่นกว่าคนอื่นๆ มาก
คุณเคยเจอคนที่ย้ายไปแผนกอื่นๆ แล้วมีอนาคตที่ดีหรือไม่
เกาเย่ว์หยางยิ้ม “เหล่าหลิวอย่าโกรธเลย ถ้าให้ผมพูด บุคลากรพิเศษแบบนี้ก็ต้องได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ”
“คุณเคยเห็นคนที่เพิ่งย้ายมาแผนกทวารหนักแล้วได้รับรางวัลผลงานดีเด่นที่ไม่มีใครในโลกได้รับมาในรอบหลายปีไหมล่ะ นี่คือความสำเร็จสูงสุดในแผนกทวารหนัก เป็นสิ่งที่คนอื่นๆ ทำไม่ได้ในชีวิต!”
“ดูศักยภาพของเขาในแผนกศัลยกรรมกระดูกสิ ตอนแรกเขาก็เป็นแค่มือใหม่ หลี่เจี้ยนเหว่ยก็พูดว่าไป๋เยี่ยเก่งมากโดยไม่ได้เสแสร้งเลยสักนิด แล้วดูความสามารถของเขาตอนนี้สิ แม้แต่ผมเองยังตามไม่ทันเลย!”
“นี่ไง…คนเรามันต่างกัน! เกิดมาก็ไม่เหมือนกันแล้ว ยิ่งในสาขาการแพทย์เนี่ย ไม่เพียงแต่จะต้องรู้จักสะสมความรู้ไว้เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ด้วย!”
“คนเฒ่าคนแก่แบบเราจะอยู่ได้นานเท่าไหน ถ้าเราไม่ให้โอกาสเด็กพวกนี้ตอนนี้ แล้วจะต้องรอถึงตอนไหน”
เกาเย่ว์หยางพูดมาถึงตรงนี้ก็กดน้ำเสียงให้เคร่งขรึมกว่าเดิม “วันนี้ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอโทษคุณเท่านั้น แต่มาแจ้งให้คุณทราบด้วยว่าไป๋เยี่ยได้สมัครโครงการนักวิชาการฉางเจียงไปแล้ว ส่วนผมก็เตรียมตัวไปคุยกับเบื้องบนแล้ว จุดประสงค์ของผมก็คือให้คุณเป็นคนปูทางให้ไป๋เยี่ย เรียกได้ว่าอนาคตของเขานั้นสดใสมากเลยละ”
“เราต้องส่งเด็กคนนี้ขึ้นไป ถ้าเด็กคนนี้ไปได้ไกลก็ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเรานี่ ผมให้ไป๋เยี่ยเข้ามาเป็นอาจารย์ก็เพื่อให้เขาเป็นแบบอย่างและมอบโอกาสให้กับนักศึกษาคนอื่นๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ”
ทำไมหลิวป๋อหลี่จะไม่เข้าใจเหตุผลเหล่านี้
“การคัดเลือกนักวิชาการฉางเจียงจะไปง่ายได้ยังไง มันเป็นรองก็แค่การคัดเลือกผู้อำนวยการนะ ไป๋เยี่ยมีผลงานมาบ้าง แต่ด้วยผลงานเท่านั้น เกรงว่าเขาอาจจะมัดใจคนไม่ได้ ยังไงการคัดเลือกครั้งนี้ก็มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน!”
“นอกจากนี้ยังมีบุคลากรจากทุกสาขาอาชีพด้วย ยิ่งสาขาการแพทย์ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คน และสิ่งที่ไป๋เยี่ยกำลังแข่งขันอยู่ก็คือตำแหน่งศาสตราจารย์บรรยายพิเศษที่รับแค่ห้าสิบคนจากทั่วประเทศเท่านั้น มันจะไปง่ายขนาดนั้นได้ไง”
เกาเย่ว์หยางยิ้ม “ผมก็เลยให้เขามาที่ชิงหวาไงล่ะ ยังไงชิงหวาก็มีชื่อเสียงมาก ถ้าเขาไปอยู่ที่สถาบันวิจัยยาจีนของคุณก็ดูจะลึกลับไปหน่อย ต่างกับที่ชิงหวา”
หลิวป๋อหลี่ฟังคำพูดของเกาเย่ว์หยางแล้วก็พยักหน้า ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยชิงหวาโด่งดังพอสมควร แต่การเป็นหนึ่งในห้าสิบคนนั้นก็ยากมากจริงๆ
มีคู่แข่งหลายคนที่กำลังแข่งขันอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันและแข็งแกร่งยิ่งกว่า หากลองใคร่ครวญดูแล้ว คนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ระดับแนวหน้าทั้งนั้น คนรอบตัวพวกเขาก็กล่าวได้ว่าอยู่ในจุดที่สูงมากเช่นกัน นับเป็นโอกาสที่ดีในการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานยิ่งนัก
หลิวป๋อหลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าลง “ได้! เราต้องสู้กันสักตั้งแล้ว!”
ตอนนี้ไป๋เยี่ยเองก็ยังไม่รู้ว่าการเป็นนักวิชาการฉางเจียงนั้นยากแค่ไหน การมีตำแหน่งนั้นหมายความว่าคุณเดินอยู่ในแวดวงวิชาการของจีนได้ ถึงขั้นที่มีคนยอมหลีกทางให้ มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
ในทำนองเดียวกัน ยิ่งได้รับฉายานั้นมายากเท่าใด ก็ยิ่งได้รับโบนัสมากขึ้นเท่านั้น
ในเดือนมิถุนายน สถาบันวิจัยกระดูกของไป๋เยี่ยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เริ่มมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยบางรายมาที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา
ส่วนไป๋เยี่ยก็ไม่ได้อยู่นิ่งแต่อย่างใด เขาไม่ได้ใช้ที่นี่เป็นเพียงสถานพยาบาลเท่านั้น แต่ยังหวังว่าจะได้ค้นพบวิธีการรักษาแบบใหม่ด้วย
นั่นคือการบูรณาการการแพทย์แผนจีนเข้ากับแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรค
ด้วยเหตุนี้เอง ไป๋เยี่ยจึงเริ่มรับสมัครผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนเข้ามาเพื่อดึงดูดบุคลากรในด้านนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการผ่าตัดตามหลักการแพทย์แผนจีนนั้นถดถอยลงมาก ทางรัฐบาลจึงก่อตั้งสถาบันวิจัยกระดูกและข้อขึ้นในเมืองต่างๆ ซึ่งในนั้นก็มีบุคลากรด้านการแพทย์แผนจีนรวมอยู่ด้วย
ทว่าหลังจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 2003 สถาบันวิจัยกระดูกเหล่านี้ก็ค่อยๆ ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนในสถานที่ต่างๆ และวิธีการรักษาเหล่านั้นก็มีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นการรักษาโรคกระดูกและข้อด้วยการแพทย์แผนจีนก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีแค่เทคนิคพิเศษในการทำกายภาพบำบัดนั่นเอง
จุดเด่นของการแพทย์แผนจีนไม่ได้มีเพียงการทำกายภาพบำบัดเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการผ่าตัดต่างๆ ด้วย
แน่นอนว่ากว่าจะรวบรวมวิธีการเหล่านี้ได้ก็ไม่อาจเสร็จสิ้นภายในชั่วข้ามคืน
ในโลกการแพทย์แผนจีนมีสูตรยามากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นจากประสบการณ์ ซึ่งสูตรยาเหล่านั้นก็ได้รับการใช้งานมาจากรุ่นสู่รุ่น ไป๋เยี่ยหวังว่าเขาจะใช้วิธีการทางการแพทย์สมัยใหม่มาสกัดส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพเหล่านั้นออกมา และนำมันมาทดลองและตรวจสอบได้
ตอนนี้ไป๋เยี่ยมีสูตรยาจากประสบการณ์อยู่มากมาย ตอนนั้นเหล่าเหอ เพื่อนบ้านของเขาก็ได้มอบตำรา ‘มรดกตกทอดของต้นตระกูลเหล่าเหอ’ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษให้ไป๋เยี่ย เป็นตำราที่รวบรวมประสบการณ์จากต้นตระกูลของเหล่าเหอไว้
ต้นตระกูลของเหล่าเหอเป็นคนเก็บสมุนไพรบนป่าเขา จึงมักจะมีสูตรยาสำหรับรักษาแผลภายนอก รอยฟกช้ำ การเสริมสร้างกระดูก รักษาแมลงกัดต่อยและยากันยุง
ส่วน ‘ตำราชิงหนาง‘ ก็ยังมีการรักษาแบบโบราณที่ฮัวโต๋ได้ทิ้งไว้และยารักษาโรคมากมาย เช่น วิธีการผ่าตัดและวิธีการรักษาแผลผุพองต่างๆ แท้จริงแล้วก็ยังพอมีคุณค่าต่อการวิจัยอยู่บ้าง
สถาบันเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น ยังมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การปฏิบัติงานในวอร์ดเป็นกระบวนการที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่งานในแล็บเริ่มดำเนินการได้ก่อน