ตอนที่ 738 เซอร์ไพรส์หรือตื่นตระหนก
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้โจวเจ๋อที่แทบจะ ‘ปากแห้งคอแห้ง’ เซอร์ไพรส์อยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งอยากจะหัวเราะ ทั้งรู้สึกตื้นตันเล็กน้อยในใจ
“เหล่าจาง มีไอ้สารเลวถือมีดไปโรงเรียนอีกแล้ว”
“เหล่าจาง ร้านค้าฝั่งตรงข้ามโดนปล้นแล้ว!”
“เหล่าจาง โรงพยาบาลบำบัดด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าเปิดให้บริการอีกแล้ว!”
“เหล่าจาง ร้านขายเครื่องประดับหัวมุมถนนถูกขโมย!”
‘สัญญาณเตือน’ ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนเป็นการกระตุ้นที่ดีที่สุด การตอบสนองของเหล่าจางก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนถูก ‘ช็อตไฟฟ้า’ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เซี่ยจื้อเคยถามเหล่าจางว่า ถ้าหากเรื่อง ‘การเสียสละ’ ในครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาจะยังเต็มใจเลือกแบบเดิมหรือไม่
คำตอบของเหล่าจางคือเขาเองก็ไม่รู้
เขาแค่ทำสิ่งต่างๆ ตามสัญชาตญาณของเขาเองก็เท่านั้น
คิ้วของเหล่าจางขมวดมุ่นเข้าหากัน คล้ายกับเพิ่มข้อมูลมากพอแล้ว ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดูเหมือนสับสนและเวียนหัวบ้างเล็กน้อย
ฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทั้งหลับตาและปิดหู ดังนั้นเหล่าจางไม่รู้เรื่องที่ร้านหนังสือจัดเตรียมไว้อย่างสิ้นเชิง ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็หมายความว่าเซี่ยจื้อในร่างของเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
“เหล่าจาง ยื่นมือของคุณออกมา!” โจวเจ๋อตะโกน
ระหว่างความสับสนนั้น เหล่าจางในกระจกเหมือนจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ถ้าบอกว่าหมือนแม่ร้องเรียก มันดูโอเวอร์เกินไปหน่อย แต่มันเหมือนกับ ‘ดวงดาวส่องแสงสาดกระทบบ้านของฉัน’ จริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้จิตสำนึกของเหล่าจางเกิดความสนใจบ้าง
เขาในเวลานี้เหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน อยู่ในสภาพที่เพิ่งจะนอนหลับแต่ดันถูกปลุกให้ตื่น อยากจะเอียงหัวแล้วหลับต่อจริงๆ แต่ก็ยังอาศัยความตั้งใจฝืนยึดมั่นไว้ ร่างกายของเขาเริ่มโน้มตัวพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า
ทางด้านของโจวเจ๋อนั้น สิ่งที่เห็นมีเพียงมือข้างหนึ่งที่ค่อยๆ ยื่นออกมาจากกระจก โจวเจ๋อรีบคว้ามือทันที และเริ่มดึงมาข้างนอก
นี่มันเป็นการชักเย่อเกมหนึ่ง เหล่าจางเป็นเชือก ส่วนโจวเจ๋อเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม
“อ๊ากกก.…”
เหล่าจางเปล่งเสียงร้อง เขาเจ็บปวดมาก การกระชากลากดึงของโจวเจ๋อ จริงๆ แล้วเป็นการฉีกทึ้งจิตสำนึกของเขา และเกี่ยวข้องถึงจิตวิญญาณของเขาด้วย ซึ่งมันไม่สบายอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การผสมนมกับน้ำอย่างเงียบๆ
อีกทั้งความทรมานทางจิตวิญญาณมักจะรุนแรงกว่าความทรมานทางร่างกายไม่รู้กี่เท่า แต่โจวเจ๋อไม่อาจปล่อยมือ ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาใจอ่อนด้วย บางสิ่งบางอย่าง ที่จริงมันถูกกำหนดไว้หลังจากที่เซี่ยจื้อเข้าไปในร่างของเหล่าจางแล้วต่างหาก
ค่ายกลน่าจะได้ผลจริงๆ ด้วย อย่างน้อยกระแสน้ำสีดำด้านหลังเหล่าจางในกระจกไม่ได้ปั่นป่วนเป็นพิเศษ ราวกับยังถูกปิดหูปิดตาอยู่ ร่างมากกว่าครึ่งของเหล่าจางถูกโจวเจ๋อดึงออกมาจากกระจก
“เถ้าแก่ ไม่ต้องดึงออกมาทั้งหมดนะ ไม่อย่างนั้นจะเผลอไปปลุกมันเข้า ตอนนี้ทำขั้นตอนต่อไป ปิดผนึก!” เสียงของสวี่ชิงหล่างดังขึ้น ฟังดูแหลมสูงเล็กน้อย ราวกับกลิ้งไปมาบนหัว มีความคล้ายคลึงกับเสียงพากย์ในสารคดีนิดหน่อย
โจวเจ๋อปล่อยมือทันที จิตสำนึกเริ่มถอยหลัง ร่างครึ่งท่อนของเหล่าจางคาอยู่นอกกระจก ส่วนอีกครึ่งคาอยู่ในกระจก ก้มหัวลง ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
จริงๆ แล้วในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าโจวเจ๋อไม่เคยคิดที่จะกระชากวิญาณของเหล่าจางออกมาตรงๆ นี่ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด ให้เหล่าจางทิ้งกายหยาบเดิมไปโดยสิ้นเชิง แต่ต่อจากนั้น แม้ว่าเหล่าจางจะมีสถานะเป็นยมทูตอยู่ก็ตาม แต่เป็นเพราะ ‘ความอ่อนแอ’ ของตัวเขา หนทางที่เหลือก็อาจจะเป็นการลงนรกไป ‘เกิดใหม่’ หรือไม่ก็อยู่ในโลกมนุษย์ต่อ และในท้ายที่สุดก็ต้องดับสูญสลายไป
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเหล่าจางต้องทำให้ได้เหมือนกับสวี่ชิงหล่าง สามารถควบคุมร่างแยกของเซี่ยจื้อให้อยู่หมัดได้ ถึงจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อร้านหนังสือ
เนื่องจากผลประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ทำให้ตอนนนี้เหล่าจางมีทางเลือกไม่มากนักจริงๆ
แม้แต่ตัวเจ้าโง่เอง เขาก็ไม่ตะโกนว่า ‘ข้าหิวแล้ว ข้าจะกิน’ เขาเองก็เข้าใจ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สถานการณ์ที่พบเจออยู่ในตอนนี้ หากได้เรี่ยวแรงมาช่วยเหลือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งมันหมายความว่าอย่างไร
เมื่อเทียบกับแมวและสุนัขเหล่านี้ในร้านหนังสือ เขาก็ยังรู้สึกว่าเจ้ารุ่งเรืองในตอนนั้นยังดูน่าเชื่อถือมากกว่า
โจวเจ๋อเหลือบมองเหล่าจางเป็นครั้งสุดท้าย จิตสำนึกกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเองอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้น ค่ายกลที่เห็นอยู่ในสายตายังเปล่งแสงสีแดงจางๆ เหมือนเดิม ส่วนกระจกสีแดงที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มหายไปช้าๆ
ต่อมา ขั้นต่อไปแล้ว ปิดผนึก!
ปากกาพิฆาตร่วงลงบนฝ่ามือของโจวเจ๋อ ครั้งนี้ก็รบกวนพึ่งแกอีกครั้งนะ เจ้างั่ง
“เมี้ยว!”
ค่ายกลเปลี่ยนไปอีกครั้ง โอกาสและจังหวะก็เหมาะสม พื้นที่เปิดโล่งปรากฏขึ้นต่อหน้าโจวเจ๋อ เพียงพอให้เขาเดินไปหาเหล่าจางที่นั่น
ภายนอกค่ายกล สายตาของสวี่ชิงหล่างเริ่มร้อนรุ่มแล้ว เขาเป็นคนเดียวในร้านหนังสือที่ศึกษาค่ายกล แม้แต่ทนายอันจริงๆ แล้วก็รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้หมกมุ่นศึกษาเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ แต่เจ้าแมวดำตัวนี้กลับทำให้สวี่ชิงหล่างมองเห็น ‘ท้องฟ้าผืนหนึ่ง’ ที่อีกด้านจริงๆ รู้สึกเสียดายและเสียใจเล็กน้อย ถ้ารู้ว่าเจ้าแมวดำเชี่ยวชาญค่ายกลขนาดนี้ เขาน่าจะยืมสมุดหยินหยางจากโจวเจ๋อให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย
เรื่องยืมน่ะไม่ใช่ปัญหาแน่นอน โจวเจ๋อไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับของพรรค์นี้ เห็นได้จากนับตั้งแต่ที่เขาได้สมุดหยินหยางมาก็โยนให้เจ้าลิงเล่นเป็นของเล่นด้วยซ้ำ
นักพรตเฒ่าแทะเมล็ดแตงโม และดูสถานการณ์ภายในอย่างไม่ละสายตา ที่จริงเขาดูไม่ค่อยเข้าใจ การกระทำบางอย่างมันมหัศจรรย์เกินไป สำหรับผู้เชี่ยวชาญนั้นงานเทคนิคประเภทนี้มันสนุกจนเสพติดมาก แต่สำหรับนักพรตเฒ่าแล้วรู้สึกจืดชืดน่าเบื่อนิดหน่อย
ถึงอย่างไร หลังจากเถ้าแก่เข้าไปแล้วก็ติดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานโดยไม่เคลื่อนไหวใดๆ มันมีอะไรน่าดูตรงไหนกัน ไม่ต้องถึงขั้นที่เจ้าสู้รบปรบมือชิ้งๆ เช้งๆ สามร้อยตลบหรอก แต่เถ้าแก่เจ้าตีลังกากลับหัวแล้วตีลังกาหันข้างอีกสักทีให้มันดูคึกคักหน่อยสิ เจ้าต้องคำนึงถึงอารมณ์ของผู้ชมอย่างพวกเราด้วยใช่หรือไม่
แน่นอนว่า คำพูดเหน็บแนมพวกนี้นักพรตเฒ่ากล้าคิดแค่ในใจตัวเองเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมา ขณะเดียวกันก็ยังต้องแสดงสีหน้าว่า ถึงแม้ข้าจะกินเมล็ดแตงโมอยู่ แต่ก็ยังคงให้ความสนใจการเป็นไปของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเป็นห่วงความปลอดภัยของเถ้าแก่
ระยะนี้นักพรตเฒ่าได้ไตร่ตรองตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไม ดูเหมือนว่าความถี่ในการถ่ายทอดสดลดลง ไม่ค่อยได้สื่อสารกับเพื่อนๆ ที่มารับชมเท่าไร อาจเป็นไปได้ว่าใช้ชีวิตเป็นอิสระและสะดวกสบายในร้านหนังสือมานานกว่าหนึ่งปี ทำให้ทักษะที่จำเป็นต่อการอยู่ในสังคมอย่างการเยินยอถดถอยไปแล้ว
ต้องทบทวน ต้องไตร่ตรอง…
ส่วนทนายอันยิ่งดูมากเท่าไรก็ยิ่งหวังว่าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางค่ายกลนั้นไม่ใช่เหล่าจางแต่เป็นตัวเขาเอง รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
ตอนแรกหลังจากที่เริ่มเดาตัวตนที่เป็นไปได้ของนักพรตเฒ่าแล้ว เขายังเคยคิดด้วยว่าจะจุดธูปแสดงความขอบคุณต่อผู้ที่กดเขาให้ต่ำลงและไล่ล่าเขาในตอนนั้นดีไหม แต่มาตอนนี้ชีวิตสบายขึ้น กลับกลายเป็นจิตใจทรมาน เขาไม่อยากจุดธูปแล้ว มนุษย์เอ๋ย ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักพอไปตลอดกาลจริงๆ
อย่ากังวลว่าน้อยหรือมาก แต่ควรกังวลว่าจะเท่าเทียมกันหรือเปล่า ลูกแมวสองสามตัวที่เป็นคนรอบตัวเริ่มมีโอกาสเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ท้ายรถกลายเป็นไฟหน้ารถ มันทำให้ทนายอันที่นั่งอยู่ในที่นั่งพิเศษนั่งไม่ติดจริงๆ นั่นแหล่ะ
หากในอนาคตมองไปรอบๆ ร้านหนังสือแล้วทุกคนกลายเป็น ‘นายใหญ่’ อย่างนั้นตัวเขาจะนับว่าเป็นอะไร
ทนายอัน
ผู้ดูแลอัน
ผู้จัดการอัน
เจ้าอันน้อย
“ซี้ด…เถ้าแก่เอาเจ้างั่งออกมาแล้ว เขาจะเสียบไว้ตรงไหน” ทนายอันพึมพำกับตัวเอง
“หึๆ” จู่ๆ นักพรตเฒ่าก็หัวเราะ ราวกับรู้ว่าเรื่องสนุกๆ เปิดฉากแล้ว จึงรีบควบคุมตัวเองและพูดด้วยเสียงเบาๆ ทันที “ถ้าเหล่าจางตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองโดน…หึๆ!”
ดูเหมือนว่าจะมีการเหนี่ยวนำบางอย่างท่ามกลางความมืดมิด เหล่าจางที่นั่งตัวตรงและไม่ขยับเขยื้อนมาโดยตลอด ร่างกายกลับเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยในเวลานี้
โจวเจ๋อถือปากกาเดินเข้าไปด้านหน้าเหล่าจาง สีแดงที่อยู่รอบๆ ค่ายกลก็เริ่มมาบรรจบกันที่จุดกำเนิด นี่เปรียบเสมือนการผ่าตัดโดยไม่มียาสลบ เพื่อระงับการดิ้นรนต่อต้านของคนไข้ ต้องควบคุมคนไข้ก่อน
เถ้าแก่โจวไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นกับเหล่าจาง ช่วงก่อนหน้านั้นแทงปากกาเข้าไปในก้นของฮวาหูเตียวก็เพราะตำแหน่งนั้นของฮวาหูเตียวมีเนื้อค่อนข้างมาก และก็แทงเข้าไปในเนื้อ ไม่ได้ระเบิดรูทวารจริงๆ
สำหรับเหล่าจางแล้ว โจวเจ๋อก็ไม่มีรสนิยมแย่ขนาดนั้นเช่นกัน
จับปากกาแน่นและยกมือขึ้น แฝงไปด้วยความดุดัน ‘ฉึก!’ ปากกาแทงเข้าไปในทรวงอกของเหล่าจาง โจวเจ๋อใช้ฝ่ามือดันปลายปากกา แค่ตบเบาๆ ปากกาก็จมเข้าไปในร่างของเหล่าจางทันที
กระบวนการขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสิ่งใดกีดขวางแม้แต่น้อย ต้องขอบคุณที่ชาติก่อนโจวเจ๋อเป็นศัลยแพทย์ คุ้นเคยกับโครงสร้างของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นเปลี่ยนคนอื่นละก็ ปากกาอาจจะแทงโดนจุดสำคัญโดยตรง จากนั้น ‘เหล่าจาง ก็คงจะเสียชีวิตไปแล้ว’
ร่างของเหล่าจางสั่นเทิ้ม ต่อมา จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกโพลง ตอนแรกแววตาเรียบนิ่ง เพียงแค่เหนื่อยล้าและเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น เขามองโจวเจ๋อที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “เถ้า…” แต่ก่อนที่จะทันได้พูดออกมาอีกคำ ดวงตาของเหล่าจางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในชั่วพริบตา กลิ่นอายของความบ้าคลั่งเริ่มระเบิดออกมา “อวดดีนัก!”
ราวกับว่าจู่ๆ ความดุดันน่าเกรงขามจากสมัยโบราณโผล่พรวดมากะทันหัน การดำรงอยู่อย่างน่าเกรงขามของผู้ยิ่งใหญ่เผยกลิ่นอายลมปราณของมันออกมา ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวและน่าอึดอัดหดหู่ปกคลุมไปทั่วร้านหนังสือทันที!
จานเมล็ดแตงโมในมือของนักพรตเฒ่าตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘เพล้ง’ ตกแตกกระจุยกระจาย
ทนายอันรีบยืนขึ้นทันที ประหลาดใจเล็กน้อย พลังปราณนี้ มันผิดปกติแล้ว!
เขาเคยเจอร่างแยกของเซี่ยจื้อ น่ากลัวน่ะใช่ น่าเกรงขามน่ะใช่ แต่มันก็ยังห่างไกลจากระดับนี้นี่นา!
เด็กชายและสาวน้อยโลลิที่นั่งอยู่บนโซฟาไกลๆ ก็ยืนตัวตรงพร้อมกัน ความน่าสะพรึงกลัวที่น่าเกรงขามนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา
หญิงสาวตัวดำถึงกับขดตัวอยู่บนโซฟา ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ปกคลุมร่างกายของเธอราวกับถูกโอบไว้ในอ้อมกอด
เสียง ‘พรูด’ ดังขึ้น เจ้าลิงน้อยพ่นถั่วที่ยังอยู่ในปากออกมา
สวี่ชิงหล่างอ้าปากค้าง ใบหน้าที่ซีดเซียวและเหนื่อยล้าเผยให้เห็นอารมณ์ที่เรียกว่าความสิ้นหวัง พร้อมกับกระซิบเสียงต่ำ “นี่ไม่ใช่ร่างแยกของเซี่ยจื้อ นี่เป็นมัน เป็นมัน เป็นจิตวิญญาณของมัน!”
เวลานี้ ความรู้สึกของทุกคนในร้านหนังสือเป็นเหมือนกับพวกโจรในเฮยอวิ๋นได้วางแผนจับ ‘แกะอ้วน’ ตัวหนึ่งเพื่อกินอย่างอิ่มหมีพีมัน แต่ผลสุดท้ายดันจับได้เว่ยเหอซ่างจากกลุ่มอิสระแทน และก็เหมือนกับเรือล่าวาฬ พวกเขาจับปลาตัวใหญ่ได้ ดันไม่ใช่วาฬแต่เป็นก็อตซิลลา!
…………………………………………..…………..