บทที่ 1080 คนป่วยจวนหัวผู้นั้น
บทที่ 1080 คนป่วยจวนหัวผู้นั้น
ณ จวนฉี
หนานอิ๋นสาวใช้เดินเข้ามาพร้อมกับคนงามเจียงหนานผู้หนึ่ง
“คุณหนู แม่นางจื่ออิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฉีซืออี้กำลังวาดดอกไม้ให้สาว ๆ หลายคน เมื่อได้ยินคำพูดของหนานอิ๋นก็หันกลับมา
“พี่หญิงจื่ออิง เชิญนั่ง”
จื่ออิงสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงแวววาว ใบหน้าสวมผ้าปิดหน้าสีเดียวกัน ดวงตาคู่นั้นเย็นชา ทั้งยังดูสลับซับซ้อน
“ไม่ต้องละ” จื่ออิงเอ่ย “คุณหนูฉีบอกเมื่อไม่นานนี้ว่ายาขี้ผึ้งหมดแล้ว ข้าทำเสร็จพอดีจึงนำมาส่งให้ท่าน”
“ดียิ่งนัก” ฉีซืออี้เดินเข้ามาจับมือจื่ออิงแล้วกล่าวว่า “ยาขี้ผึ้งบำรุงหน้าที่พี่หญิงเตรียมไว้ให้ดีที่สุดจริง ๆ ดูผิวพรรณข้าสิ นุ่มขึ้นไม่น้อยใช่หรือไม่?”
“นั่นเป็นความงามตามธรรมชาติของท่าน” จื่ออิงเอ่ยเสียงเรียบ
“พี่หญิงจื่ออิง ท่านนี้คือหยางเซียงจวิน นางก็สนใจยาขี้ผึ้งบำรุงหน้าของพี่หญิงเช่นกัน ไม่สู้ท่านพูดคุยกับคุณหนูหยางหน่อยเถิด?” ฉีซืออี้บอกใบ้กับหยางเซียงจวิน
หยางเซียงจวินเป็นคนเย่อหยิ่งก้าวร้าวก่อนเกิดอุบัติเหตุ หลังเกิดอุบัติเหตุ อารมณ์นางยิ่งแปรปรวน ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
อย่างเช่นตอนนี้ที่คนอื่น ๆ กำลังศึกษาเครื่องประดับผม แต้มรูปดอกไม้สวย ๆ ไปจนถึงวิธีเกล้าผมของฉีซืออี้อยู่นาน ทว่านางเป็นเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยเมย ไม่แสดงความสนใจต่อเรื่องใดทั้งสิ้น
คราวนี้หยางเซียงจวินประสบเรื่องราวมาไม่น้อย
หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนที่เคยเป็นสหายกับนางก็รังเกียจนาง คนในสกุลนางไม่สนใจนางมากขึ้นเรื่อย ๆ บ่าวรับใช้บางคนถึงกับดูถูกนาง คิดว่านางไม่มีวันได้แต่งงาน ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ในสกุลหยางเท่านั้น และกลายเป็นหญิงขึ้นคานแล้ว
เดิมทีนางเป็นแม่นางที่สูงศักดิ์ที่สุดในสกุล ทว่าตอนนี้แม้กระทั่งบุตรสาวของอนุยังกล้ากล่าววาจาเสียดสีกระแทกแดกดันนาง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้หยางเซียงจวินโมโหร้ายยิ่งกว่าเดิม ว่ากันว่าในเรือนนางหากมีใครสักคนถูกหามออกไปบ้างก็เป็นเรื่องที่เห็นจนชินชา
จื่ออิงเหลือบมองหยางเซียงจวินแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
ทั้งสองหาสถานที่ปลีกวิเวกแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกัน
ไม่นานหลังจากนั้น หยางเซียงจวินก็กลับมา
นางสวมหมวกม่านจึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ อย่างไรก็ตาม จากการที่นางเต็มใจรั้งอยู่สกุลฉี ทั้งยังร่วมวงสนทนา เห็นได้ชัดว่าหยางเซียงจวินอารมณ์ดีขึ้นมาก
“พวกท่านรู้จักคุณชายรองจวนหัวผู้นั้นหรือไม่?” มีคนเอ่ยถามขึ้นมา
“มีอะไรหรือ?”
ฉีซืออี้สนใจใคร่รู้ขึ้นมา ‘คุณชายรองจวนหัว? นั่นไม่ใช่ผู้ที่เดิมทีมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูสองคนในสกุลสิงหรือ?’
“มีคนบอกว่าคุณชายรองจวนหัวผู้นั้นเป็นคนป่วย ถูกเลี้ยงดูมาข้างนอกตั้งแต่เล็ก ๆ เพิ่งกลับมาเมื่ออายุได้สิบห้าปี” คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เอ่ยขึ้นกล่าวต่อ “ไม่นานมานี้มีคนเห็นเขาพาภรรยาที่เพิ่งแต่งไปซื้อชาด”
“เขาไม่ได้เป็นคนป่วยหรือ?”
“ได้ยินว่าได้รับการรักษาจากหมอเทวดา สุขภาพจึงดีขึ้นมากแล้ว”
“ไม่นานมานี้ยังเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต เดิมทีตกหลุมรักแม่นางสกุลสิง แต่แม่นางทั้งสอง…”
ทุกคนหยุดพูดทันที
พวกนางจำข่าวลือระหว่างฉีซืออี้กับคุณชายใหญ่จวนอ๋องลู่ผู้นั้นได้
“แม่ครัวของเราทำขนมเก่งทีเดียว วันนี้ข้าให้นางทำของใหม่ ๆ ออกมา พวกท่านมาลองชิมดูสิ” ฉีซืออี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลี่เข่อหรงเอ่ยเบา ๆ “ซืออี้ ใกล้วันเกิดเจ้าแล้ว คราวนี้ตั้งใจจะฉลองอย่างไรหรือ?”
“หากเจ้าไม่เอ่ยถึง ข้าก็เกือบลืมไปแล้ว” ฉีซืออี้เอ่ยยิ้ม ๆ “อย่างไรเสียก็มีทุกปี ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราไปเที่ยวเล่นที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาสักเที่ยวเถอะ?”
“ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย” คุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขามีกิจกรรมสนุก ๆ มากมายก็จริง อีกทั้งของว่างและอาหารข้างในก็อร่อยดี เพียงแต่หากเล่นบ่อยเกินไปก็ไม่มีอะไรใหม่แล้ว หมู่นี้มีสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา ที่นั่นจึงจะน่าสนใจ!”
“ที่ใดหรือ?” ทุกคนห้อมล้อมเข้ามา
ฉีซืออี้เองก็ไม่รู้เช่นกัน
คุณหนูผู้นั้นลดเสียงลงกล่าวสองสามคำ
“นี่!” คุณหนูผู้หนึ่งยกมือปิดปากด้วยท่าทางเขินอาย “สถานที่เช่นนั้นหากถูกพบเข้า…”
“วางใจเถอะ เพียงแค่ใส่หน้ากากไว้ตอนเข้าไปก็ไม่มีผู้ใดรู้” คุณหนูผู้สูงศักดิ์เอ่ย “ที่นั่นจึงจะน่าสนใจ ขอเพียงเจ้าอยากได้สิ่งใด พวกเขาก็จะนำออกมา แน่นอนว่าเงิน…”
สิงเจียเวยครรภ์ไม่สงบจึงเกิดน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองอีกครั้ง
เพื่อเอาใจนาง ฉีเจินจึงให้คนส่งเครื่องประดับทองเครื่องประดับเงิน และเงินอีกร้อยตำลึงไปให้
“นายหญิง ที่อยู่ตรงหน้านั้นคืออนุจางหรือเจ้าคะ?” ท่าเหมยเดินตามสิงเจียเวย คอยถือของห่อเล็กห่อใหญ่ให้นาง ครั้นเห็นร่างที่คุ้นตาจึงถามขึ้น
สิงเจียเวยหันกลับไปมองก็เห็นร่างที่คุ้นตาดังคาดจริง ๆ
อนุจางเดินออกมาจากร้านตำรา
สิงเจียเวยเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่านางใส่ใจเรื่องของลูกชายตนเป็นอย่างมาก ทำทุกอย่างด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด เพียงแต่ก็คงไม่ถึงขั้นต้องซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ กับหินฝนหมึกกระมัง? คนหยาบก็คือคนหยาบ ยกออกหน้าออกตาไม่ได้จริง ๆ”
พลั่ก! เมื่อหันกลับไป สิงเจียเวยก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“ระวังเจ้าค่ะ” ทาเหม่ยรีบเข้าไปพยุงสิงเจียเวยอย่างรวดเร็ว
“ขออภัย” หญิงสาวที่ชนสิงเจียเวยรีบขอโทษขอโพยในทันที
ยิ่งเห็นท้องของสิงเจียเวยก็ยิ่งรู้สึกผิดจึงกล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสามครา
“เกิดอะไรขึ้น?” มีคนเดินออกมาจากด้านใน
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มมีนิสัยอ่อนโยน ประหนึ่งกล้วยไม้ ประหนึ่งต้นหยก รูปโฉมหล่อเหลาเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม เขาคงสุขภาพไม่ดี สีผิวจึงขาวซีดผิดปกติ สีหน้าของเขาดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าไม่ระวังจึงบังเอิญชนฮูหยินผู้นี้แล้ว” หญิงสาวมีสีหน้ารู้สึกผิด
สิงเจียเวยยกมือลูบท้องแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากเกิดอะไรกับลูกข้า เจ้าชดใช้ไม่ไหวเป็นแน่”
“ขออภัย ฮูหยินท่านนี้” บุรุษผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ภรรยาข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านกับลูกในท้องสบายดีกระมัง? ไม่เช่นนั้นไปตรวจที่โรงหมอสักเที่ยวเป็นอย่างไร?”
“น้องรอง” เสียงกระจ่างชัดดังขึ้น “เหตุใดเจ้าซื้อตำรานานเพียงนี้? ข้ากับภรรยารอเจ้ากับน้องสะใภ้นานแล้ว”
“เป็นท่าน!” สิงเจียเวยมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
คนตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากหัวเฉิงเจี๋ยคุณชายใหญ่สกุลหัว
หัวเฉิงเจี๋ยมองสิงเจียเวยแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดเป็นเจ้า?”
สตรีสกุลสิงน่ารำคาญที่สุด
โดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงหน้า นางยินดีเป็นอนุมากกว่าจะแต่งกับน้องชายของเขา นี่คิดว่าสกุลหัวของพวกเขาเป็นอะไร? บัดนี้คนข้างนอกล้วนบอกว่าสตรีสกุลสิงอยากเป็นอนุของบุรุษที่สามารถเป็นบิดาของนางได้มากกว่าแต่งงานไปเป็นภรรยาเอก กล่าวว่าสกุลหัวของพวกเขาท่าดีทีเหลว
แววตาของสิงเจียเวยแปลกพิกลไป
บุรุษตรงหน้าเป็นน้องชายของหัวเฉิงเจี๋ย อีกทั้งพวกเขายังหน้าตาคล้ายคลึงกัน หรือว่าบุรุษที่หมั้นหมายกับสกุลสิงคือคนผู้นี้หรือ?
หัวเฉิงอวิ๋นคุณชายรองสกุลหัว
“ฮูหยิน ท่านไม่เป็นไรกระมัง?” หัวเฉิงอวิ๋นกล่าว “หากไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าจะพาภรรยาไปก่อน”
“วางใจเถอะ นางไม่เป็นอะไร” หัวเฉิงเจี๋ยเอ่ยเสียงเย็น “ไปเถอะ ตกลงกันไว้ว่าจะไปเล่นหม่าฉิว*[1] ไยใช้เวลานานเพียงนี้?”
สิงเจียเวยหน้าแดงก่ำ
ไม่มีผู้ใดบอกว่าคุณชายรองสกุลหัวเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้
หากนางรู้…
หากรู้…
ดวงตาของสิงเจียเวยฉายความอับอายและความโกรธขึ้นมา
หัวเฉิงอวิ๋นเอ่ยกับภรรยา “พวกเราไปกันเถอะ”
หัวเฉิงเจี๋ยเห็นแววตาของสิงเจียเวยก็เอ่ยกระแทกแดกดัน “ไม่ต้องมองแล้ว น้องชายข้าไม่มีทางชอบเจ้า!”
[1] หม่าฉิว คือกีฬาโปโล หรือตีคลี